top of page

ลำดับขั้นตอนของพิธีกรรมลำทรง

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย ศ.สำเร็จ คำโมง
เจ้าของไข้เดินทางไปหาครูบา เพื่อขอรับการรักษา ครูบาจะให้ฝ่ายผูกแขนมาทดลองผูกแขน ให้คนไข้เบื้องต้นก่อน โดยสั่งให้เจ้าของไข้สังเกตอาการของคนไข้ภายหลังการผูกแขน ถ้าเห็นว่าดีขึ้นแสดงว่าการ รักษาด้วยพิธีกรรมจะหาย

ขั้นเตรียมการ

1) เจ้าของไข้เดินทางไปหาครูบา เพื่อขอรับการรักษา ครูบาจะให้ฝ่ายผูกแขนมาทดลองผูกแขน ให้คนไข้เบื้องต้นก่อน โดยสั่งให้เจ้าของไข้สังเกตอาการของคนไข้ภายหลังการผูกแขน ถ้าเห็นว่าดีขึ้นแสดงว่าการ รักษาด้วยพิธีกรรมจะหาย ถ้าสังเกตเห็นว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แสดงว่าการป่วยไข้เป็นเรื่องของโรคภัย ไม่ใช่

2) เจ้าของไข้กลับไปแจ้งผลและเชิญหมอลํามาจัดพิธีกรรมรักษา กระทําในกรณีแน่ใจว่า การป่วย ไข้นั้น ผีนั้นน่าจะมาเกี่ยวข้อง หรือว่าหมดทางเลือกที่จะรักษาแบบอื่น

3) แม่หมอนัดหมายวันเวลาที่จะจัดพิธีให้ได้ และสั่งให้เจ้าของไข้เตรียมจัดหาเครื่องคายไว้ตาม รายการที่กําหนดให้ ดังอธิบายไว้ในข้อ 6

ขั้นพิธีกรรม

เมื่อคณะหมอลําเดินทางมาถึงบ้านคนไข้ เจ้าของไข้ก็จะจัดตั้งเครื่องคาย วางลงบนเสื่อใหญ่ตรงกลห้อง โถงบ้าน บริวารหมอลําจะเป็นผู้ตรวจตราดูว่า จัดถูกต้องหรือยังเมื่อเห็นว่าถูกต้องแล้ว ก็เริ่มพิธีได้ ดังมีลําดับ ขั้นตอนต่อไปนี้

1) แม่หมอและคณะประแป้งแต่งตัวห่มสไบตามสีที่แม่หมอกําหนดแล้วเข้าไปนั่งคุกเข่าหน้าเครื่องบูชา ซึ่งเรียกว่า “เครื่องคาย” คายกราบลง 3 ครั้ง บริวารหมอ คนไข้และคนอื่นๆ กราบตาม

2) หมอแคนซึ่งเรียกว่าหมอม้าเริ่มเป่าลายใหญ่ เป็นทํานองลายลํายาวหรือทํานองอ่านหนังสือ ให้แม่ หมอขับลําทํานองอ่านหนังสือคลอ เนื้อหาของกลอนลําเป็นคําอัญเชิญเทพนามว่า “สงกา” ซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งนคร สิมมาทอง กับทั้งบริวารทั้งหลายซึ่งมีชื่อต่างๆกัน ตัวอย่างเช่นฝ่ายชายมีชื่อ สัสดี สีโห เสมียนกา กุมพล กุมภัณฑ์ หงส์ทอง สายยนต์ ขุนกัน ขุนไกร เป็นต้น โดยมีขุนหาญ เป็นผู้เปิดค่าให้เทพทั้งหลายลงมา ส่วนฝ่าย หญิงมีชื่อต่างๆ เช่น บัวทอง จันทา จันที ศิริวรรณ คําขาน ดาวเรือง สีดา ศรีแก้ว สุชาดา ผุสดี เกสร เป็นต้น โดยเรียกชื่อตนเองว่า “นางจําปาทอง” เป็นน้องสาวของพี่ “สงกา” เทพทั้งหลายมาจากเมือง “สิมมาทอง” แดน “ฟ้าหย่อนๆ” คือเป็นแดนไกลโพ้นและลําอ้อนวอนให้หมอแคนซึ่งเรียกว่า “หมอม้า” และมีชื่อเฉพาะว่า “เสมียน ม้านักคําหลาอ้ายพี่” ให้ขับพาหนะม้าทรงนําเทพและเทพธิดาทั้งหลายเหล่านั้นลงมาร่วมพิธีให้ได้

3) แม่หมอ ซึ่งขณะนี้คือนางจําปาทอง ธิดานครสิมมาทอง รินเหล้าจากขวดที่ตั้งเป็นกายลงในแก้ว จํานวนเล็กน้อยพร้อมกับลําอัญเชิญเทพและเทพธิดาต่างๆต่อไปอย่างไม่ขาดตอนเพื่อถามว่าลงมาแล้วพอใจใน เครื่องคายแล้วหรือยัง ดังกลอนลําว่า

“ครบใจหมอ พอใจอ้าย ซายผูดีแล้วหือไป

หือว่ามีแนวข้อง ในใจอันได้แหน่”

4) แม่หมอซึ่งขณะนี้คือนางจําปาทองเริ่มลําเสี่ยงทายจากไข่ โดยหยิบไข่ดิบจากถาดใหญ่ออกมาตั้ง บนเสื่อที่ตนนั่งทีละลูก ขณะนั้นก็จะลําถามหาสาเหตุของการเจ็บป่วยของคนไข้และทางบําบัดรักษาไปด้วย ถาม กลับไปกลับมาจนกระทั่งสามารถตั้งไข่ได้ทั้ง 2 ลูก โดยเอาด้านป้านตั้งเสื่อ และด้านแหลมชี้ขึ้น ถ้าตั้งได้ง่ายทาย ว่าอาการเจ็บไข้จะบําบัดรักษาได้ง่าย

5) แม่หมอซึ่งขณะนี้คือนางจําปาทอง เอามือตบเสือเพื่อให้ไข่ล้ม ขณะที่ลําไปเรื่อยๆ มีเนื้อความว่าถ้า คนไข้จะหายจากไข้ก็ขออย่าให้ไข่ล้ม ถ้าไข่ทั้งสองลูกล้มทั้งหมดก็จะนํามาตั้งใหม่ ถ้าล้มเพียงลูกเดียวก็จะจับลูก ที่ล้มนั้นใส่ฝ่ามือแล้วลําอ้อนวอนและเสี่ยงทายใหม่ว่าถ้าคนไข้จะหายป่วยให้ไข่ตั้งขึ้นในฝ่ามือ แล้วจะค่อยๆ พลิก ไข่ให้ตั้งติ้งกับฝ่ามือตน ขณะนั้นก็จะเรียกขวัญของคนไข้กลับมา โดยเรียกคนไข้ว่า “น้อง” เรียกตนเองว่า “ เอื้อยพี่ " คําเรียกขวัญนั้นล้วนแต่เป็นวาทะอันไพเราะนอบน้อมและยินยอมให้น้องทุกๆอย่างขอให้คืนกลับมา เท่านั้นเป็นพอเมื่อไข่ในมือยังไม่ตั้งก็จะลําเรียกขวัญไปเรื่อยๆ แต่ถ้าตั้งแล้วก็จะวางไข่ลงบนข้าวสารในถาดใหญ่

6) แม่หมอซึ่งก็คือนางจําปาทองยกขันห้าไปคารวะหมอแคนซึ่งเรียกว่า “หมอม้า” เป็นการแสดง ความขอบคุณที่ได้ขับม้าซึ่งก็คือเป่าแคน พาเทพและเทพธิดาทั้งหลายลงมาสู่ปริมณฑลพิธี นางจําปาทองกราบ หมอม้า 3 ครั้ง คนอื่นๆ ก็กราบตาม เสร็จแล้วหมอม้าจะมอบขันห้าคืนให้แก่นางจําปาทอง นางจําปาทองจะนํา ขันห้ามอบนั้นให้ผู้ป่วยซึ่งเรียกว่า “คนทรง” คนทรงก็จะมอบขันห้านั้นคืนแก่นางจําปาทองและกราบ 3 ครั้ง เป็นการแสดงการยอมรับเอาพิธีกรรมลําทรงเป็นที่พึ่ง ขณะนั้นหมอม้ายังเป่าแคนลายใหญ่ไปเรื่อยๆ

7) นางจําปาเริ่มลําต่อ มีเนื้อความเชิญให้เทพทั้งหลายมีอ้ายพี่ “สงกา” เป็นประธานพร้อมด้วย บริวารทั้งหลายมานั่งล้อมนางจําปาทองแล้วทาแป้งและน้ํามันด้วยกัน โดยนางจําปาทองจะเปิดกระป๋องแป้งหยิบเอา ก้อนแป้งดินสอพองมาละเลงใส่ฝ่ามือแล้วทาหน้าและคอตนเอง แจกแป้งให้บริวารทั้งหลายรวมทั้งคนทรงและ ผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหมดทากันถ้วนหน้า ต่อจากนั้นก็เปิดกระปุกน้ำามันทาผมแล้วทําอย่างเดียวกันกับแป้ง ช่วงนี้แม่ หมอจะหยุดพักการลําแล้วพูดจากันเป็นภาษาพูดธรรมดาเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ และวิธีรักษา หรือเรื่องทั่วไปก็ได้

8) แม่ศรีเมืองนําเหล้าในขวดที่จัดแบ่งไว้นอกเครื่องคายสําหรับไว้ต้อนรับเทพ มามอบให้แม่ หมอ แม่หมอจะรินเหล้าจํานวนเล็กน้อยจากขวดลงสู่แก้ว แล้วรินจากแก้วลงฝ่ามือตน 2 - 3 หยกเพื่อใช้ทาผม หลังจากนั้นก็จะส่งแก้วเหล้านั้นไปให้บริวารผ่านไปให้ทุกๆคนในพิธีรินใส่ฝ่ามือแล้วทาผมตน การทําเช่นนี้เป็น เสมือนหนึ่งว่าทุกคนได้ร่วมเสพสุรากับเทพแล้ว

9) แม่หมอยกเครื่องคายประเคนเทพ แล้วพ่อศรีเมืองและแม่ศรีเมืองทุกคนนําขันห้าที่ตนจัดไว้ มาประเคนเทพเช่นกัน เสร็จแล้วก็นําขันห้านั้นออกไปไหว้บุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วที่ข้างนอกอาคารเรือน

10) แม่หมอมอบขันห้าให้คณาญาติของคนทรงไหว้ขอขมาซึ่งกันและกันเพื่อเชื่อมความ ปรองดองในหมู่พี่น้อง

11) แม่หมอให้คนทรงนําขันห้าไปไหว้ขอขมาสามีซึ่งเรียกว่าพ่อศรีเมือง พ่อศรีเมืองรับแล้ว ไหว้ตอบเป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกันในสิ่งที่อาจได้ล่วงละเมิดกันไว้

12) แม่ศรีเมืองคนหนึ่งนําขันห้าไปมอบหมอม้าและแม่หมอตามลําดับ เพื่อขอให้ดําเนิน พิธีกรรมลําทรงต่อ

13) หมอม้าเป่าแคนลายอ่านหนังสือ แม่หมอลุกขึ้นยืนขับลํา มีเนื้อหาเป็นคําอ้อนวอนเทพ ให้ส่องเนตรดูสาเหตุแห่งการเจ็บไข้ได้ป่วยของคนทรง สักครู่ใหญ่แม่หมอก็จะได้คําตอบ และจะนําคําตอบนั้นมาลํา บรรยายให้คนทรงและพ่อศรีเมืองแม่ศรีเมืองทราบ พร้อมกับแนะแนวทางปฏิบัติเพื่อบําบัดรักษา ซึ่งโดยรวมแล้วจะ แนะให้กินยาของหมอที่เคยรักษาให้ต่อไปแต่คราวนี้จะมีคุณเพิ่มขึ้น ถ้าคนทรงทําจิตให้มั่นคง ทําบุญทําทาน ถือศีล และสวดมนต์ไหว้พระ พร้อมทั้งรักคู่ชีวิตญาติพี่น้องเหมือนเดิม ในกรณีที่คนทรงต่างคนต่างโรคเนื้อหาเกี่ยวกับ สาเหตุแห่งโรคก็จะต่างกัน

14) แม่หมอมอบขันห้าให้คนทรงนําไปกราบเทพตรงหน้าเครื่องคายแล้วให้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้โรคหาย และสัญญาว่าจะปฏิบัติตามคําแนะนําของแม่หมอทุกประการ

15) แม่หมอพาทุกคนในพิธีนําพันท้าไปมอบให้หมอม้าเป็นการเชิญให้เป่าแคนเปลี่ยน ลายใหม่สําหรับประกอบการร่วมกันฟ้อนรํารอบเครื่องคาย หมอม้ารับแล้วมอบคืนและเริ่มเปลี่ยนลายแคนให้มี จังหวะเร็วและคงที่ ส่วนแม่หมอจะแจกแป้งเม็ดดินสอพองและสีผึ้งให้ทุกคนแต่งหน้าทาปากเป็นการแต่งกายให้ งามก่อนร่วมฟ้อนรํา

16) แม่หมอลุกขึ้นขับลําเชิญชวนทุกคนให้ลุกขึ้นมาร่วมฟ้อนรําประกอบเสียงแคน และ ทุกคนรวมทั้งคนทรงปฏิบัติตาม แต่ในกรณีที่คนทรงลุกขึ้นฟ้อนรําไม่ไหวก็อาจตนมือเข้าจังหวะแคน หรือนั่ง หรือนอนดู แล้วพยายามปรับใจให้รู้สึกเพลิดเพลินแทน และบางกรณี ก็อาจให้คนสองคนหัวปีกคนทรงลุกขึ้นยืน ฟ้อนอยู่กับที่ก็มี แม่หมอจะฟ้อนนําทุกๆคนวนซ้ายรอบเครื่องคายหลายๆรอบ หมอแคน จะเป่าลายใหญ่ที่มี จังหวะเร็วและตกคงที่ ส่วนแม่หมอจะขับลําทํานองลายอ่านหนังสือสอดประสานขึ้นมาเป็นพักๆในกุญแจเสียงซึ่ง ภาษาดนตรีสากลเรียกว่า “คีย์” ที่ตรงกับแคน แต่ยังใช้จังหวะเนิบๆ ไม่ตกจังหวะตามแคน ภาษาดนตรีสากลเรียก การบรรเลงเช่นนี้ว่าใช้จังหวะ “รูบาโต” คือจังหวะต่างกันแต่เข้ากันได้ เนื้อหาในกลอนลําตอนนี้มักเป็นคํา อ่อนหวานปลุกปลอบประโลมใจให้เบิกบานและมีปรัชญาสอนใจซึ่งเรียกว่า “คําผะหยา” สอดแทรกอยู่

17) แม่หมอหยุดลําลงมานั่งกราบเทพตรงหน้าเครื่องคายแล้วให้แม่ศรีเมืองคนหนึ่งนํา ขันขวัญที่เตรียมไว้มาให้เพื่อเตรียมจัดพิธีเรียกขวัญของคนทรงมาลงในขันขวัญ

ขันขวัญ คือ ขันพิเศษอยู่นอกเครื่องคาย จัดให้มีฝ่ายผูกแขน จํานวนหนึ่งมีเทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ไข่ต้มสุก 1 ใบ ก้อนข้าวเหนียวนึ่ง 1 ก้อน กล้วย 1 ใบ อยู่ในขันนั้น

พิธีเรียกขวัญนี้นางจําปาทองซึ่งก็คือแม่หมอจะนั่งลําด้วยกลอนลําเรียกขวัญอยู่หน้าเครื่องคาย พักหนึ่ง แม่หมอก็จะทราบว่าขวัญได้ลงมาสู่ขันขวัญแล้ว แม่หมอก็จะยืนลําเชิญขวัญไปยังคนทรง โดยวางขันไว้ในอุ้งมือ ขวาแล้วแกว่งมือไปข้างหน้ามาข้างหลังและเดินวนซ้ายรอบเครื่องคาย ขณะนั้นพ่อศรีเมืองและแม่ศรีเมืองทุกคน ซึ่งหมายถึง เจ้าของไข้ที่เป็นบุตรธิดาภรรยาสามีตลอดจนบรรดาพ่อแม่พี่น้องญาติมิตรผู้ใกล้ชิดกับคนไข้ ต่างมี ผ้าขาวม้าหรือผ้าสไบพาดบ่า แต่จัดหยิบเอาชายหนึ่งมาเป็นเปลไว้รองรับขันขวัญ โดยจับมุมของชายผ้านั้นชาย ละมือ นางจําปาทองซึ่งก็คือแม่หมอจะขับลําพาเอาขันขวัญก้าวย่างไปรอบๆ คายและจะโยนขันลงไปที่เปลผ้า ของพ่อศรีเมืองหรือแม่ศรีเมืองคนใดคนหนึ่ง แล้วผู้ที่รับขันขวัญได้ก็จะนําขันขวัญนั้นไปมอบให้คนทรงโดยหยิบ ไข่ต้ม กล้วยและก้อนข้าวเหนียวใส่มือข้างหนึ่งของคนทรง แล้วนําฝ่ายผูกแขนจากขันขวัญออกมาผูกข้อมือคน ทรง หลังจากนั้นพ่อศรีเมืองแม่ศรีเมืองและญาติมิตรคนอื่นๆ ต่างก็จะรุมล้อมหยิบฝ่ายผูกแขนจากขันขวัญออกมา ผูกแขนและอวยพรคนทรงให้หายไข้ และอาจปอกไข่ ปอกกล้วย และหยิบคําข้าวป้อนให้คนทรงด้วย

18) แม่หมอเตรียมลําอัญเชิญเทพและบริวารกลับนครสิมมาทอง เป็นพิธีที่บอกถึง การจบพิธีกรรมลําทรง แม่หมอจะกราบเทพซึ่งสถิตอยู่ในเครืองคาย 3 ครั้งก่อน แล้วยกถาดเครื่องคายชุขึ้นถวาย เทพเป็นการสมนาคุณที่ได้เสด็จลงมา วางถาดแล้วจึงลําอัญเชิญเทพและบริวารกลับสู่นครสิมมาทองด้วยบทกลอน อ่อนหวาน ที่สําคัญยิ่งคือ ต้องเอ่ยนามเทพและบริวารที่เชิญมาให้ครบทุกนาม อย่าให้ตกหล่นเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นก็เชื่อว่าจะมีผู้ตกค้างอยู่อาจทําโทบหมอลําหรือคนไข้เอาได้ แม่หมอจะรู้สึกด้วยจิต และบอกได้เองว่า เทพได้คืนกลับไปครบหรือยัง ถ้าไปครบแล้วก็จะดับเทียนคู่ที่เคยติดสว่างอยู่กับขอบลาดใหญ่เครื่องคายนั้น เป็น อันเสร็จพิธีกรรมลําทรง

บรรณานุกรม
  • เรย์ ขันธศิริ. (2528). ดุริยางคศิลปะปริทัศน์(ตะวันออก). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

  • เวชขอนแก่น. (2540). โรงพยาบาล โรคจิต. ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.

  • จริยางค์. (2523). พระหลักวิชาการดนตรีลากลและการขับร้องเล่ม 1-3. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร,

  • บ่อคําแสง วงศ์ดาราและคนอื่น ๆ. (1987). วรรณคดีลาว, เวียงจันทน์ : สถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์สังคม กระทรวงศึกษา ลาว.

  • บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล. (2539). ฮีต คอง คะลํา วิถีของคนล้านช้างและไทยอีสาน.ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้ง.

  • ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์. (2533). ปทานุกรมดนตรีสากล. เชียงใหม่ : ฝ่ายเอกสารการพิมพ์สํานักอธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่.

  • พระครูพรหมฐาณวิกรม. (2539). คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์กรมการศาสนา.

  • พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.9). (2537). วิธีสมาทานและวิธีวิปัสสนากรรมฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จินดาอักษร.

  • พระราชสุทธิญาณมงคล. (2544). คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต. สิงห์บุรี : วัดอัมพวัน.

  • พูนพิศ อมาตยกุล. (2529). “จากเพลงไทยถึงเพลงลูกทุ่ง” ใน จากเพลง ไทยถึงเพลงลูกทุ่ง เอกสารหมายเลข 1. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพจํากัด.

  • พรชัย ศรีสารคาม. (2522). ก ผญา. มหาสารคาม : วิทยาลัยครูมหาสารคาม,

  • นิคมานนท์. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย. กรุงเทพฯ : อักษรา พิพัฒน์.

  • ณ ชินะตระกูล. (2533). คู่มือการทําวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.

  • ทูตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สํานักอักษรเจริญทัศน์.

  • เมกาโม พระมหา. (2537). การศึกษาเปรียบเทียบความจริงเรื่องจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับจิตในปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

  • วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น, (2540). สุขภาพจิตกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ขอนแก่น:ขอนแก่นการพิมพ์ ,

  • สภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2540).ของดีอีสาน.ขอนแก่น : ขอนแก่นการพิมพ์,

  • สถาบันการแพทย์แผนไทย. (2541). ชุมนุมแพทย์ไทยและสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2. นนทบุรี :สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.

  • สวิง บุญเจิม. (2536). มรดกอีสาน. อุบลราชธานี : อีสานออฟเซทการพิมพ์.

  • สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2532). ร้องรําทําเพลง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน.

  • สุรศักดิ์ พิมพ์เสน. (2532). การทําแคน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม.

  • สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช. (2540). ความเข้าใจเรื่องจิต. กรุงเทพฯมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทยาลัย.

  • สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2537). ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น ขอนแก่นการพิมพ์.

  • เสาวนีย์ สังฆโสภณ. (2541). ดนตรีเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์.

Comentários

Não foi possível carregar comentários
Parece que houve um problema técnico. Tente reconectar ou atualizar a página.
bottom of page