top of page

ตัวอย่างการรักษาคนป่วยด้วยวิธีลำทรง

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย ศ.สำเร็จ คำโมง
“...สาธุเดอ เทวบุตรอยู่ชั้นห้า เทวดาอยู่ชั้นสี่ แม่ธรณีอยู่แผ่นพื้น ให้นําซ้อนช่วยซู สาธุเดอสงกาอ้าย ซายผู้ดีเจ้าคุณพี่ ให้เจ้าหลิงหล่ำเยี่ยม จําปาน้องผู้เหนี่ยววอน เชิญเด้ออ้ายสงกา เจ้าคุณพี่ หลวงคีรี หมู่อ้าย ซายแก้วซูคน..."


ตัวอย่างที่ 1 กลอนลําเชิญเทพลงมาช่วยบําบัดรักษาไข้

1. แคนเป่าลายยาว

2. พอจบท่อนนํา (Intro) หมอลําจะลําทํานองลําอ่านหนังสือ ว่า

...สาธุเดอ เทวบุตรอยู่ชั้นห้า เทวดาอยู่ชั้นสี่ แม่ธรณีอยู่แผ่นพื้น ให้นําซ้อนช่วยซู สาธุเดอสงกาอ้าย ซายผู้ดีเจ้าคุณพี่ ให้เจ้าหลิงหล่ำเยี่ยม จําปาน้องผู้เหนี่ยววอน เชิญเด้ออ้ายสงกา เจ้าคุณพี่ หลวงคีรี หมู่อ้าย ซายแก้วซูคน จุมพลอ้าย สายยนต์ กะพวกพี่ สัสดี กุมพี กัมภัณฑ์ ซุคนเพรียบพร้อม ขุนหาญอ้าย ชายงาม ให้เปิดด่าน ผักตูเหล็ก ให้เจ้าเปิดเป็นหม่อง ผักตูทอง ให้เจ้าเปิดเป็นป่อง ให้เจ้าเปิดป่องไว้ ไขป่องท้าง ทางน้องสิท่องลงมีแต่ “คนทรง” (คนไข้) น้องกลอยพระทัย บ่ฮู้เรื่องบ่ฮู้จักเครื่องใช้ นายเฒ่เจ้าแต่งมาเอาแต่สงกา อ้ายซายงามสิผายโผดโทษนางมีหมื่นชั้น ผะอวนด้ายสิโผดผาย..

ความหมาย :กลอนนี้ใช้อ้อนวอนเทพที่มีนามว่า “สงกา” สถิตย์อยู่ที่เมืองสิมมาทอง ตามคติความเชื่อของคณะ นางดาว พานโน ตัวนางดาวขณะลำจะเป็น “นครจําปาทอง” ซึ่งเป็นน้องของท้าวสงกา นางจําปาทองนี้ ได้รับคําสั่งให้ลงมาทําหน้าที่รักษาเยียวยาคนป่วยใช้ของมนุษย์โลก โดยจะมีพี่ชาย คือ“สงกา” ลงมาช่วย แต่จะไม่มา พร้อมกัน ต้องรอให้นางจําปาทองที่เป็นน้องสาวเรียกหาเสียก่อนจึงจะลงมา นางจําปาทองใช้ลำเชิญที่สูงกาพร้อมทั้งบริการให้เสด็จองมาช่วยบําบัดรักษาไข้ เทียบได้กับ “การป่าวสัคเค” กลอนบทนี้จึงเป็นกลอนที่ อัญเชิญเทวดาของพิธีพุทธ

อิทธิพลของกลอนลําบทนี้ต่อจิตใจของคนใช้ แม่หมอหรือครูบาจะลําบทนี้ด้วยเสียงอ่อนหวาน โหยไห้ชวนให้น่าสงสาร ขณะนั้นก็จะจุดเทียน 2 เล่ม ให้สว่างไสว แสงเทียนจะถูกลมพัดวูบไปวูบมาเหมือนมีจิตวิญญาณ ทําให้พิธีกรรมประสมกับเสียงแคนและเสียง ลํา ดูขลังและน่าศรัทธาเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง


ตัวอย่างที่ 2 กลอนลําอ้อนวอนให้สงกาบอกสาเหตุแห่งความเจ็บไข้ ทํานองลําอ่านหนังสือ

“...สงกา อ้ายชายงามยศใหญ่ นางเอิ้นใส่ บ่ได้เอิ้นใช้ ตอกอีที่ทูนหัว นางอยากปรึกษาฮู้ นําครู ผู้ฉลาด นักปราชญ์ ผู้รู้ ให้สอนน้องผู้บ่เคย ให้เจ้าเขย อย่าขังไว้ ในใจคิดฮ่ำ ให้คิดนำ หมู่น้อง ทองสร้อยผู้อ่อนเยาว์ เพิ่นขอดี นําเจ้า ขอเซานำพี่ เพิ่นขอดีนํานาถอ้าย ชายแก้ว แก่นสงวน มีแต่จําปาข้อย คนเดียว ข้อยกะเปลี่ยว นางจั่งฮ้องเหนี่ยวเอิ้น เชิญอ้าย พี่พระองค์”“ ลูกเพิ่นเจ็บ หลานเพิ่นใข้ เทิงปีกะบ่ส่วงลูกเพิ่นไข้ เทิงมื้อ กะบ่หาย หือว่า “นาย” ( เทพ ) ในห้อง สิมมาทอง มาค้างอยู่ อันทรงนาง ( คนไข้ ) เพิ่นบ่ฮู้ คือเผึ้งเปี่ยงบ่สี มันกะเต็มทีหล้า ทรงนาง (คนใช้ ) น้อยอ่อนอ่อน ตาดํากะบ่แจ้ง ตาแดงบ่สว่าง ( นี้คืออาการป่วยขณะลํา) พิษพยาธิอยู่ค้าง คือน้อง ผัดบ่เหย...”
สายสมรน้อง ทรงนาง ( คนไข้ คิดหนักหน่วง มีแต่หนักหน่วงแน่น คือช้าง หน่วงหลัง มีแต่สังฮอมไห้ เทิงดวงใจ และพยาธิ นางกะหาหมอกล้า ยาคํา เอามาใส่ ยาฮากไม้ กินได้ กะบ่ถอง คือเพิ่นลองดีให้ เสียไปลายเปล่า นางกะเลย อยากเว้า นําเจ้า บ่าวพี่ซาย...

ความหมาย : กลอนบทนี้ นางจําปาทอง (แม่หมอ) ใช้ลําอ้อนวอนออดอ้อนเทพสงกา และรําพึงรําพันด้วย สําเนียงเย็นยะเยือกชวนขนลุก เพื่อปลุกความขลัง มีเนื้อความบอกว่าสงกาเทพที่เป็นประธานในพิธีลงมาแล้ว นางจําปาจึงกําลังปรึกษาหารืออาการไข้ของคนไข้ผู้นี้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะเคยรับการรักษาแบบแพทย์แผน ปัจจุบันและแพทย์แผนโบราณมาแล้วแต่ก็ยังไม่หายขาด หรือว่ามีผีหรือเทพจากเมืองสิมมาทองนั้นมาสิงอยู่

อิทธิพลของกลอนลําบทนี้ต่อจิตใจของคนไข้ : ทํานองลําอยู่ในมาตราเสียงหมวดไมเนอร์ เสียงลําออดอ้อนและมีไดนามิกเบา ชวนให้จิตใจห่อเหี่ยว เมื่อ เนื้อความบอกถึงการมาถึงของสงกา ก็จะชวนให้ผู้ฟังรู้สึกเกรงฤทธิ์เดช


ตัวอย่างที่ 3 กลอนปลอบประโลมคนไข้ ทํานองลําอ่านหนังสือ

“จําปาข้อย หอมฮวย เอื้อยบ่ว่า ขาหักเอื้อยกะสิเลี้ยง ตาบอดเบี้ยงบ่เห็นฮูง ทางไป (กะตามเด้อ) จําปาไท้ ทางพระมัย เอื้อยบ่ปล่อย มีแต่สิเกี่ยวอิ่นอ้อย นางน้อง ให้ม่วนหู”
“... ข่อยบ่ปะให้ ไม้หลาวล้ม กลางบ่อนให้เขาฮอน ข้อยสิคอนเอาฮ่าง เหมิดสุทาง เกลี้ยงอ่อยห่อย"
“เอื้อยบจกคอข้อง หนีไปยาว คออึ่ง บ่ได้จกคออึ่งเพ้า หนีไปปั้น อึ่งบักยาง...”
“ ว่าตั้งแต่คําก้อนล้าน ( หมายถึงคนไข้ ) นี้อีพี่ คนสวย” ขายนวยใบ ส่วงเซา เบาเนื้อ”
“…แม้นว่าผิดท่อภู พี่กะสิล้างผิดท่อซ้าง กะสีอ่อน ยอมแข็ง พี่สิปุ่นแปลงให้ เหมิดชูแนว เกลี้ยงอ่อยหอย ขอแต่คําค่าล้าน ( คนไข้ ) ผะอวนน้อง ได้ชื่นบาน ”
“…บ่มีไผเผิ่นสิปะนาห้วย หนีไปดำ นาซ่าว” บ่มีผู้ได๋ปะนาข้าวเจ้า หนีไปซ้น ป่ากลอย”

ความหมาย : กลอนปลอบประโลมใจคนไข้นี้ มีจํานวนมาก ใช้ลําเป็นเวลานานมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของ เวลาในพิธีกรรม เพื่อทําให้คนไข้รู้สึกอบอุ่น พอใจ และมีอารมณ์ดี เพราะในเนื้อความนั้น นางจําปาทองซึ่งก็คือ แม่หมอบอกว่าจะไม่ทอดทิ้งคนไข้ จะดูแลรักษาจนกว่าจะหาย

อิทธิพลของกลอนลําบทนี้ต่อจิตใจของคนไข้ : ในช่วงที่แม่หมอลํากลอนต่าง ๆ เหล่านี้ บริวารแม่หมอตลอดจนญาติพี่น้องที่ล้อมอยู่ ก็จะช่วยกันพูด แทรกในเชิงปลอบอกปลอบใจอยู่ตลอดเวลา ทําให้คนไข้สุขภาพจิตคลี่คลายได้


ตัวอย่างที่ 4 กลอนถามสาเหตุแห่งการป่วยไข้ ทํานองอ่านหนังสือ

“ ขงทางไฮเพิ่น มันคา บ่นอ ขอทางนา เพิ่นมาข้อง บ่น้อ เคทั้งห้อง เฮือนซานเพิ่นอ้วนซุ่ม บ่น้อ คันว่าใต้ลุ่มพื้น เทิงค่าว ขื่อ สะยัว หือว่าผีแม่เฒ่า ตายาย มาค้างอยู่ หือว่าผีพี่น้อง มาค้าง อยู่นำหือว่ากรรมของน้อง มีมา เจ้าจั่งป่วย นางจั่งเจ็บป่วยไข้ ในเนื้อ ปส่วงหาย หือว่าตายายเฒ่า ถามกิน บ่ออกปาก จั่งได้ลําบากแค้น หลานแก้ว แก่นสมร.."

ตัวอย่างที่ 5 กลอนบอกเหตุแห่งการป่วยไข้ ทํานองอ่านหนังสือ

“ ไฮ่เพิ่นกะว่าบ่คา แม่เมืองเอย (หมายถึงเจ้าของไข้า นาเพิ่นกะว่าบ่ข้อง เคหังห้อง เฮือนซาน กะบานซุ่ม ชุมพี่น้อง บ่มาค้าง อยู่ดอม มีแต่สอง กษัตริย์ไท้ (หมายถึง สงกา และ จําปาทอง) สายคอ มาค้างอยู่ แม่เมืองเอย...”

(หมายความว่าไม่มีผีหรือเทพมาสิงแต่อย่างใดแต่ป่วยด้วยเหตุอื่นที่เทพสงกาและนางจําปาทองจะช่วยได้)

“…ข้อยอยากถามข่าวเรื่อง เมืองบ้าน หากอยู่ดีฤา (ถามถึงครอบครัว) นางอยากถามฮอดญาติพี่น้อง ลุงป้า ย่าเฮา ไผสังมาบากแค้น แสนปิ้น ปิ่นทวี ไข้นั่งบ่บรรเทา บ่ส่วงเซา เบาเนื้อ...”

ความหมาย : ตอนแรก นางจําปาทอง ถามเทพสงกาว่าคนไข้ป่วยด้วยสาเหตุใด เป็นเพราะผีไร่ ผีนา ผีเรือน ผีบรรพบุรุษ หรือผีอื่น ๆ มาเข้าร่างใช่หรือไม่ สงกาบอกว่าไม่ใช่ ไม่มีผีใดเกี่ยวข้องเลย มีแต่พวกญาติพี่น้องใน ครอบครัวเดียวกันไม่สามัคคีกันเท่านั้น

อิทธิพลของกลอนลําบทนี้ต่อจิตใจของคนไข้ : คนพื้นบ้านมีคติความเชื่อเรื่องผีเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว พอบอกว่าไม่มีผีก็สบายใจส่วนการแตกกันภายในครอบครัวด้วยเหตุใดนั้น ก็เป็นการง่ายจะปรับความเข้าใจกันด้วยการปฏิบัติตามคําแนะนําของนางจําปาทอง (แม่หมอ) ต่อไป


ตัวอย่างที่ 6 คําสั่งสอนให้สามัคคีกัน ทํานองอ่านหนังสือ

“แหกับข้อง สิลงคอง เว้ากันค่อง ทางแหกะมุดน้ำ ทางข้องกะล่องนํา...”

ความหมาย : ญาติพี่น้องต้องทำอะไรที่ไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนแหกับข้องไปหาปลาด้วยกัน เป็นเครื่องมือหาปลาของคน ส่วนข้องก็คอยล่องลอยตามรับเอาปลา

“ค้นว่ากลองกับฆ้อง มันกะล่อง นํากันกลองบ่มีจองหอง ผัดล่องลง นําฆ้อง...”

ความหมาย: ให้ทําเหมือนกับกลองและฆ้องเวลาบรรเลงต้องคล้องจองประสานเสียงกัน

อิทธิพลของกลอนลําบทนี้ต่อจิตใจของคนไข้ : ตอนที่จะลําเพื่อสั่งสอนนี้ บรรดาผู้ร่วมพิธีทั้งหลายได้ติดตามเนื้อเรื่องของกลอนลํา คล้อยตามมา โดยลําดับ กับทั้งอยากให้คนไข้หายป่วย เลยพร้อมที่จะรับฟังและปฏิบัติตาม มีอารมณ์ร่วมและปฏิบัติตาม


ตัวอย่างที่ 7 ผะหยาหรือสุภาษิตเตือนใจทั่วไป

“ คันเจ้าเป็นไพหญ้า มุงหลังคาอย่าให้ฮั่ว อย่าให้เหมือยหมอกย้อย ฮำหน้าเพิ่นผู้ใด...”

ความหมาย : ให้ทําตนเหมือนหญ้ามุงหลังคาต้องมุงให้มิดสนิท อย่าไม้หลังคารั่วแม้แต่หมอกบาบางก็อย่าให้ย้อย ผ่านลงมาเปียกหน้าผู้อยู่อาศัยได้

“ศรีเมืองเฒ่า ของเฮาให้เว้า ม่วนม่วน อมแต่น้ำอ้อยย้วย ความขมต้วย อย่าสิมี เป็นดังเขาสุเมรุตั้ง กลางเมือง คูอาจ เป็นดังผาสาทซั้น ฮู่งเหลื้อม คู่เมือง บ่ให้เคืองใจหล้า หลานนอน ลูกอ่อนอ่อนอย่าสิฮักผู้นั้น ซึ่งผู้นี้ ให้เสมอ...ก้ำเกิ้งกัน”

ความหมาย : สอนผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ให้พูดแต่สิ่งดี ให้มีความเที่ยงตรงมั่นคงยุติธรรม ให้รักลูกหลานเท่ากันหมด

“อันว่าพ่อแม่นี้ ฮักฮิ่ง แสนสนัด เพิ่นกะหวังคงคอย ต่อผะอวน องค์น้อย คนเจ้าเป็นแนวนามเซื้อ ขนมหวาน พออยากอมเซี่ยงคันเจ้าเป็นจั่งพั้วดอกไม้ สิถือไว้แม่นบ่วาง..”

ความหมาย : สอนลูกให้ตระหนักถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกว่ามากแค่ไหน ถ้าลูกเป็นขนมคงจะอมไว้ในปากถ้าเป็นดอกไม้คงถือไม่วาง

“…คันว่าเป็นสาวนี้ ธรรมเนียม ให้มันอ่องตีนผมให้ล่ำเกี้ยง ตีนซิ่นให้เพียง”

ความหมาย: สุภาษิตสอนหญิงอีสาน ว่าเรือนผมการแต่งกายนั้นต้องให้ดูเรียบร้อยอยู่เสมอ

“เห็นฮอยพี่ ให้เจ้า ก้มดูเห็นฮอยครู ให้เจ้า ก้มกราบเห็นฮอยเพิ่นลงอาบน้ำ ให้ฟายขึ้น ใส่หัว”

ความหมาย : สอนให้เคารพผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์

“…บ้านเพิ่นอยู่ต่างบ้าน บ้านแขก กะลันตัง เจ้าอย่าฝังหลักแดน ส่วย กะเลิง ลาว ญ้อ คั้นเพิ่นพอใจเว้า นําเฮา กะให้เว้าม่วนม่วนขาหักกะให้เว้า ตาบอดกะให้เว้า นําขาเจ้าให้ม่วนหู..”

ความหมาย : สอนให้ไม่ถือตัว อย่าแบ่งชนชั้น ให้ทําดีต่อทุก ๆ คน

“คันเพิ่นมายามน้อง สาวผู้ดี ให้เว้าม่วนม่วน อย่าให้เพิ่นเล็งเห็นไส้ หัวใจ นกขี่ถี่ ปากฮ้องอยู่ถืดทึ้ง ตาสิ่ง ใส่อีปู ความปากให้เจ้าหวานจั่งอ้อย ใจส้ม กะซ่างมัน...”

ความหมาย : ให้รู้จักต้อนรับขับสู้ โอภาปราศรัยต่อคนทั่วไปด้วยปิยะวาจา แม้ว่าใจจะไม่ยินดีเท่าไรก็อย่าได้แสดงออก

อิทธิพลของกลอนลําบทนี้ต่อจิตใจของคนไข้ : ทําให้จิตใจของผู้ฟังอ่อนโยนลงตามคําสอนเพราะอยู่ในช่วงที่กําลังมีอารมณ์คล้อยตามแล้ว


ตัวอย่างที่ 8 คําอวยพร และเรียกขวัญ ทํานองอ่านหนังสือ

“พยาธิข้อง ขอนขวางคอง กะให้ล่อง พยาธิค้าง ให้ไหลน้ำล่องหนี บ่อนไข้กะให้ลง บ่อนโพง กะให้แวบ เจ็บในให้ถอนออก เจ็บนอก ให้ถอนสาให้คนทรง (คนไข้) มีอายุมั่น พันปี อย่าได้ขาด พยาธิโรคอ้าย อย่ามาผ่าย เบียดเบียน ”

ความหมาย : คําอวยพรขอให้พยาธิหายไปจากร่างกายที่ใดอักเสบพุพองก็ให้ยุบลง ที่ใดเจ็บทั้งนอกทั้งในก็ให้ถ่ายถอน

“..ขวัญเจ้าไปอยู่ไฮ่ กะให้มา ขวัญเจ้าไปอยู่นา กะให้มา สามื้อนี้วันนี้ ให้เจ้ามาอยู่เฮือนแอ้ม แป้นหญ้าคา มุ่งถี่ หมู่พี่น้อง วงศ์เชื้อ จั่งแม่นหลาย ให้เจ้ามาเด้อหล้า สาวอําคา เอื้อยบ่ว่า เอื้อยสิขันอาสาฮับต้อน คําแพงหล้า ให้ด่วนมา มาฮอดไฮ่ เจ้าอย่าซ้น กอคา มาฮอดนา เจ้าอย่าซ้น กอหญ้า มาฮอดบะป่าแต้ คําน้อง อย่าสิแว…”

ความหมาย : เป็นคําเรียกขวัญแบบโบราณ ให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ที่บ้านอันอบอุ่น อย่าไปหลบซ่อนอยู่ที่ที่ไม่ปลอดภัย

อิทธิพลของกลอนลําบทข้างบนนี้ต่อจิตใจของคนไข้ : ทําให้คนไข้รู้สึกอบอุ่นและสบายใจ มีจิตใจเข้มแข็งขึ้น


ตัวอย่างที่ 9 กลอนเลิกพิธีกรรมลําทรง แล้วเชิญเทพกลับ ทํานองอ่านหนังสือเชิญเทพกลับ

ฟ้าฮ่วนฮ้อง น้อยอ่อน อินถะหวา สาธุพรรณนานาง ให้ต่าวคืน เมื่อบ้าน เมื่อเทิงอําคาซ้ำ หางตาดํา น้องพี่ โฉมเฉลาสร้อย คําบง แตงอ่อน สีดาทองหมู่น้องโงโค้ง อ่วยเมื่อ เมื่อเทิงพิมพาไท้ สุดใจ เจ้าคุณแม่ คุณพระยาพ่อแจ่มเจ้านายเฒ่า ให้ต่าวเมื่อ เมือทั้งกลขานม้า นายคุลี ข้ามหวด ให้เจ้ากวดหมู่พี่น้อง โงโค้ง อ่วยเมื่อ ขุนหาญอ้าย ซายงาม ให้เปิดด่าน ผักตูเหล็กให้เจ้าเปิดให้น้อง ต่าวบ้าน บ่าวผู้ดีเอย เจ้าอย่าอัดแกบแน่น กะแจแป้น อย่าใส่ไล จําปาไท้ สีคืนเมือ โด่งโด่ง ไผสิเมื่อส่งน้อง นางแก้ว แก่นสมร พี่เอย ข้อยสิเมื่อส่งหล้าบุปผานาง เนื้ออ่อนอ่อน (คนป่วย) สาวผู้ดีเอย นางนี้ได้มาดเค้า สิโงโค้ง อ่วยเมือ อย่าให้เพิ่นได้มาเฝือมั่น ทรงนาง(คนไข้) ให้นักหน่วง อย่าให้เพิ่นได้มาอยู่ซ้อน ทรงน้อง(คนไข้า ให้หล่าเหลือง นางบ่อให้เคืองคําฮ้อน แนวได้ จักอย่าง ความได๋ดีข้อยกะเว้าจ้อยจ้อย จาน้อง จนม่วนหู คันว่าคนทรง(คนไข้) หล้าสาวอัญญา ให้เจ้าจำจื่อให้เจ้าจําชื่อ นางสิจําจื่อไว้ เมื่อหน้า สิบหลง นางสิบ่หลงทางเข้า ภูสะเภา เป็นย่านย่าน นางเต้นข่วมหลักนางบหักข่วมฮั้ว โคมค้าง หมากดอ คันว่าคนทรงหล้า(คนไข้) สาวอัญญา ยังน้อยอ่อนอ่อน ความหลักนางกะปได้ ความรู้ กะบ่มี หมอผู้ดีน้อง จําปาทอง (ผู้ลํา) ได้เอิ้นสั่ง นางกะเอิ้นสั่งน้อง ทองสร้อย ให้จื่อเอา ให้ลาวเซาสาเด้ออ้าย(เทพสงกา) ซายงาม ผู้เพิ่นป่วย ให้อีสาวนางงาม(คนไข้) เพิ่นนี้งามอ้วยซ้วย ดีได้ดังหวัง ตาดําให้ลาวได้แจ้ง ตาแดงให้ลาว ได้สว่าง พิษพยาธิอยู่ค้าง คีงน้อง ให้ฮ่วงหาย ให้เจ้าบายไปทิ้ม ทะเลหลวง แม่น้ำล่วง ให้อีพี่ (เทพสงกา) เอาไปทิ้ม ทะเลกว้าง แม่น้ำหลวง ป๊ะแต่ควงเสน่หาน้อง ทรงนาง (คนไข้) ไว้แปนเปล่า คั้นว่าเลิกจากน้อง ให้คีงอ่อน ปานเทา คั้นว่าเลิกจากเจ้า ให้คงเบา ปานนุ่น คีงอ่อนอ้วน ให้คือฝ้าย ดีดผง คั้นว่าทรงของน้อง หมอผู้ดี อีพี่ ให้ลาวสวัสดีคอม หม่อมผะอวน องค์อ้าย กายานางอย่าให้เศร้า ผิวพรรณ อย่าให้เก่า เนื้ออ่อนอ้วน ผะอวนน้อง ให้ดังหลัง อย่าได้สังฮอมให้ ทั้งมโน ดวงใจน้องนี้เป็นไปทั่ว เจ็บหัวทั้งปวดท้อง ผะอวนอ้าย(เทพสงกา) ให้เกี่อยหนี หมอผูดีให้เจ้าเอาไปทิ้ม เมืองปราจีน บ่อนบ่ถืกถิ่น ให้เพิ่นเอาหินก้อนล้าน ตันไว้ อย่าให้มา ให้เพิ่นได้เลิกจากหน้า ป๋ะทรงนาง(คนไข้) เกี้ยงอ่อยหอย ให้เพิ่นเลิกจากหน้า ป๋ะน้อง ให้เปล่าแปน จิตอี่นาง อย่าได้หนี ไปอยู่บ้านแห่น แนนอย่าหนีไปอยู่บ้านห้วย บินบน เสมอว่าว อย่าให้มื้อหนึ่งหนาว อย่าให้คราวหนึ่งฮ้อน นอนกลิ้งจั่งลูกคลี มันสิเต็มที่น้อง คือเฮือ ฮั่วยาซีนางมายาทางหัว อย่าตั๋วลง ทางท้าย

ความหมาย : เป็นบทกลอนเชิญเทพทุกรูปทุกนามที่ลงมาและมาอาศัยอยู่ในร่างคนไข้ ให้กลับที่สิงสถิตเดิม ณ เมือง สิมมาทองและขอพระเทพเหล่านั้นให้นําความเจ็บไข้กลับไปทิ้งและปกปักรักษาคนไข้ด้วย

อิทธิพลของกลอนลําบทนี้ต่อจิตใจของคนไข้ : ทําให้คนไข้ เจ้าของไข้ และบริวารทั้งหลายรู้สึกสบายใจ และมีกําลังใจ ด้วยในใจความจะบอกว่าเทพ จะยังดูแลคนไข้อยู่เสมอ

บรรณานุกรม
  • เรย์ ขันธศิริ. (2528). ดุริยางคศิลปะปริทัศน์(ตะวันออก). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

  • เวชขอนแก่น. (2540). โรงพยาบาล โรคจิต. ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.

  • จริยางค์. (2523). พระหลักวิชาการดนตรีลากลและการขับร้องเล่ม 1-3. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร,

  • บ่อคําแสง วงศ์ดาราและคนอื่น ๆ. (1987). วรรณคดีลาว, เวียงจันทน์ : สถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์สังคม กระทรวงศึกษา ลาว.

  • บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล. (2539). ฮีต คอง คะลํา วิถีของคนล้านช้างและไทยอีสาน.ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้ง.

  • ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์. (2533). ปทานุกรมดนตรีสากล. เชียงใหม่ : ฝ่ายเอกสารการพิมพ์สํานักอธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่.

  • พระครูพรหมฐาณวิกรม. (2539). คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์กรมการศาสนา.

  • พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.9). (2537). วิธีสมาทานและวิธีวิปัสสนากรรมฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จินดาอักษร.

  • พระราชสุทธิญาณมงคล. (2544). คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต. สิงห์บุรี : วัดอัมพวัน.

  • พูนพิศ อมาตยกุล. (2529). “จากเพลงไทยถึงเพลงลูกทุ่ง” ใน จากเพลง ไทยถึงเพลงลูกทุ่ง เอกสารหมายเลข 1. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพจํากัด.

  • พรชัย ศรีสารคาม. (2522). ก ผญา. มหาสารคาม : วิทยาลัยครูมหาสารคาม,

  • นิคมานนท์. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย. กรุงเทพฯ : อักษรา พิพัฒน์.

  • ณ ชินะตระกูล. (2533). คู่มือการทําวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.

  • ทูตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สํานักอักษรเจริญทัศน์.

  • เมกาโม พระมหา. (2537). การศึกษาเปรียบเทียบความจริงเรื่องจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับจิตในปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

  • วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น, (2540). สุขภาพจิตกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ขอนแก่น:ขอนแก่นการพิมพ์ ,

  • สภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2540).ของดีอีสาน.ขอนแก่น : ขอนแก่นการพิมพ์,

  • สถาบันการแพทย์แผนไทย. (2541). ชุมนุมแพทย์ไทยและสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2. นนทบุรี :สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.

  • สวิง บุญเจิม. (2536). มรดกอีสาน. อุบลราชธานี : อีสานออฟเซทการพิมพ์.

  • สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2532). ร้องรําทําเพลง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน.

  • สุรศักดิ์ พิมพ์เสน. (2532). การทําแคน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม.

  • สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช. (2540). ความเข้าใจเรื่องจิต. กรุงเทพฯมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทยาลัย.

  • สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2537). ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น ขอนแก่นการพิมพ์.

  • เสาวนีย์ สังฆโสภณ. (2541). ดนตรีเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์.

Comments


bottom of page