top of page

ภาษาถิ่นอีสาน

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

รวบรวมโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
ภาษา คือ ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งสามารถส่งและเก็บข่าวสารต่าง ๆ แก่นสำคัญของภาษาก็ คือ ระบบของเสียงซึ่งกำหนดความหมายไว้ เสียงเหล่านี้จะนำมาลำดับให้เกิดความหมายตามหลักไวยากรณ์ แต่ละภาษาย่อมแตกต่างกันที่หน่วยเสียงและการนำมาลำดับเป็นประโยค

ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน การเกิดขึ้นของภาษายังไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่นอน แต่มีนักวิชาการบางคนคาดว่าภาษาของมนุษย์คงจะเริ่มขึ้นพร้อมกับมนุษย์ในยุคหิน และบางคนก็คาดว่าการรู้จักใช้ภาษาของมนุษย์ คงเกิดขึ้นมาประมาณ 100,000 ปีมาแล้ว ซึ่งตรงกับระยะที่มันสมองของมนุษย์เติบโตมาถึงขีดสุด และมนุษย์ได้สร้างวัฒนธรรมด้านต่างๆ ขึ้นมาใช้ เพื่อความอยู่รอดในธรรมชาติของตนเอง ซึ่งผู้เรียบเรียงได้แบ่งหัวข้อในการศึกษาภาษาถิ่น โดยเน้นภาษาถิ่นอีสาน ออกเป็น 15 ประเด็น ดังนี้

1.ความหมายของภาษา

2.ลักษณะของภาษา

3.ความสำคัญของภาษาไทย

4. การศึกษาประวัติความเป็นมาของภาษาตามแนวภาษาศาสตร์เชิงประวัติ

5. ความหมายของภาษาถิ่น

6. สาเหตุที่ทำให้เกิดภาษาถิ่น

7. คุณค่าและความสำคัญของภาษาถิ่น

8. ลักษณะของภาษาถิ่น

9. ภาษาตระกูลไท

10. ภาษาถิ่นภาคอีสาน

11. สภาพทั่วไปของภาษาถิ่นอีสาน

12. อักษรธรรมอีสาน

13. อักษรไทยน้อย

14. ปัญหาของการสูญเสียภาษา

15. แนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาถิ่น

16. สรุปภาษาถิ่นอีสาน


1. ความหมายของภาษา

ภาษา คือ ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งสามารถส่งและเก็บข่าวสารต่าง ๆ แก่นสำคัญของภาษาก็ คือ ระบบของเสียงซึ่งกำหนดความหมายไว้ เสียงเหล่านี้จะนำมาลำดับให้เกิดความหมายตามหลักไวยากรณ์ แต่ละภาษาย่อมแตกต่างกันที่หน่วยเสียงและการนำมาลำดับเป็นประโยค และการแบ่งออกเป็นหน่วยคำไม่เหมือนกัน คำบางคำในภาษาหนึ่งไม่มีคำแปลที่ตรงกันในภาษาหนึ่ง เนื่องจากมีการแบ่งสิ่งต่าง ๆ ในประสบการณ์ของมนุษย์ออกเป็นหน่วยคำไม่เหมือนกัน

ภาษา คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้ผู้ที่ตนต้องการติดต่อด้วยเข้าใจโดยใช้เสียงที่พูด หรือลายลักษณ์อักษรที่มีความหมายตามที่ตกลงรับรู้กัน เมื่อได้ยินหรืออ่านแล้ว ก็จะรับรู้และเข้าใจกัน ภาษาต้องมีพร้อมด้วยองค์สอง (อุทัย หิรัญโต, 2526) คือ

1. เสียงพูด ที่นึกไว้แล้วพูดออกมา แต่เสียงที่หลุดออกมาเพราะด้วยมีอารมณ์สะเทือน ไม่ใช่เสียงพูดตามความหมายนี้

2.ความหมายซึ่งผู้พูดและผู้ฟังหรือผู้ได้ยินเข้ารับรู้ตรงกัน คือ ฟังออกและผู้ฟังต้องพูดตอบ โต้ตอบ เสียงพูดเรียกว่าอาการภายนอก เพราะปรากฏเป็นเสียงออกมา ส่วนความหมายเรียกว่าอาการภายใน เพราะเป็นเรื่องในใจ ลักษณะสองประการนี้ย่อมมีความสัมพันธ์กันและแยกออกจากกันหาได้ไม่

ภาษา หมายถึง ระบบสื่อสารที่มนุษย์ใช้เสียงพูดของมนุษย์เองเป็นสื่อ ภาษาเหล่านี้บางภาษานอกจากจะใช้เสียงเป็นสื่อแล้ว ยังใช้ตัวอักษรหรือตัวสัญลักษณ์เป็นสื่อแทนได้อีกด้วย กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ คือ บางภาษามีภาษาเขียนด้วย (นิทรรศการสัญจรฉลอง 700 ปี ลายสือไทย, 2520)

จากความหมายดังกล่าวข้างต้น พอสรุปได้ว่า ภาษา หมายถึง สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่มนุษย์ได้สร้างหรือกำหนดขึ้น เพื่อการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ ความหมายหรือความต้องการต่อกันและกัน โดยใช้เสียงพูดหรือลายลักษณ์อักษรเป็นสื่อ

2. ลักษณะของภาษา

ถ้าหากมองในแง่ของการสื่อความหมาย คือ การติดต่อสื่อสาร เราก็ไม่น่าจะกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ตรงที่มีภาษาใช้สื่อความหมายกันได้ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายก็สามารถสื่อความหมายกันได้ โดยไม่ต้องใช้ภาษา เช่น ผึ้งใช้การไต่วนเวียนไปมาบนรัง เป็นรูปล้อจักรยานบิด หรือที่ทางภาษาศาสตร์ เรียกว่า รำเคียว (the sickle dance) เพื่อบอกให้ผึ้งตัวอื่น ๆ รู้ว่ามีแหล่งอาหารอยู่ห่างจากรวงออกไปราว 20 – 60 ฟุต หรือไต่เป็นรูปวงกลม แล้วไต่ผ่าวงกลมเป็นรูปงูเลื้อย เพื่อบอกระยะทางให้เพื่อนรู้ว่าแหล่งอาหารอยู่ไกลแค่ไหน ลักษณะการไต่อย่างนี้ ทางภาษาศาสตร์เรียกว่า รำกระดิกหาง (the tail – wagging) นอกจากผึ้งแล้ว สัตว์อื่นๆ เช่น สุนัข ลิงชิมแปนซี นกแก้ว นกขุนทอง เป็นต้น ก็สามารถใช้ระบบการสื่อความหมายกันได้ (สำรอง กาญน์จารุ, 2527)

ความจริงคำพูดแต่ละคำของมนุษย์นั้น มีความหมายในตัวมันเองโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้อย่างไร ในประโยคความหมายนั้น ก็จะคงอยู่เช่นเดิมแม้ว่าเมื่อรวมกับคนอื่นความหมายอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง ก็ตาม แต่เมื่อแยกศัพท์ออกมาแต่ละตัวแล้ว ความหมายเฉพาะตัวก็จะอยู่เหมือนเดิม คุณสมบัติเช่นนี้เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของภาษามนุษย์ เรียกว่า “ความเป็นเอกเทศ” (discreetness) ของเสียง ซึ่งมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง กล่าวสั้น ๆ ก็ได้ว่า ภาษามนุษย์ คือ ระบบความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับความหมาย คุณสมบัติข้อนี้เอง ที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์

จากการที่นักภาษาศาสตร์ ซูเซต ฮาเอน เอลกิน แห่งมหาวิทยาลัยซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา ได้กล่าวสรุปว่า ภาษามนุษย์ทุก ๆ ภาษา จะมีลักษณะใหญ่ ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในสิบอย่าง ต่อไปนี้

1. ภาษา (ยกเว้น ภาษาสัญลักษณ์) ประกอบด้วยเสียงที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง

2. เสียงที่มีความหมายสมบูรณ์ในภาษามนุษย์จะมีประมาณ 10 – 70 เสียง

3. ภาษามนุษย์จะมีทั้งเสียงสระ เสียงพยัญชนะ สำหรับจำนวนสระนั้นอย่างน้อยจะมีสองตัว

4. ภาษาต้องมีวิธีสร้างคำบอกเล่า คำถาม คำสั่งและคำอุทาน

5. ภาษาต้องมีวิธีสร้างประโยคปฏิเสธ

6. ภาษาต้องมีคำซึ่งเป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยา

7. ภาษาจะมีคำบ่งความสัมพันธ์แห่งการกระทำระหว่างคำนามและกริยา

8. ภาษาต้องมีคำบ่งกาล และลักษณะของคำกริยา

9. ภาษาต้องมีปรากฏการณ์ทางไวยากรณ์ ซึ่งอนุญาตให้มีการละข้อความต่างๆ ของประโยคได้ รวมทั้งกฎซึ่งอนุญาตให้มีการโยกย้ายสับเปลี่ยนข้อความต่าง ๆ ได้อีกด้วย

10. ภาษามนุษย์ต้องมีวิธีรวมประโยคเล็กเป็นประโยคใหญ่ อย่างน้อยสองวิธี (วิธีหนึ่ง เรียกว่า การรวมหรือการเชื่อมด้วยคำเชื่อมต่าง ๆ อีกวิธีหนึ่งเรียกว่า การซ้อนหรือการสร้าง เป็นประโยคซ้อน)

3.ความสำคัญของภาษาไทย

3.1 เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร การดำเนินชีวิตประจำวันและในการประกอบอาชีพจะมีการติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องราว ความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการของแต่ละฝ่าย ซึ่งได้แก่ผู้ส่งสาร ซึ่งจะส่งสารโดยแสดงพฤติกรรมในรูปของการพูด การเขียน หรือแสดงด้วยท่าทาง ส่วนผู้รับสารจะรับสารด้วยการฟัง การดู หรือการอ่าน แต่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือรับสารก็ตาม เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เป็นสะพานเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน คือ ภาษา

3.2 เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ บรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์ สะสม อนุรักษ์และถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมให้เป็นมรดกของชาติโดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อ คนรุ่นหลังจึงใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการศึกษาแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ และรับสิ่งที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาตนเอง ทั้งการพัฒนาสติปัญญา กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดความรู้และประสบการณ์ที่งอกงาม กลายเป็นผู้ที่มี ชีวทัศน์และโลกทัศน์ที่สอดคล้องกับยุคสมัย สามารถติดตามความเจริญก้าวหน้าของศาสตร์ต่าง ๆ จึงรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกปัจจุบัน ซึ่งนำมาพัฒนาประเทศชาติได้อย่างดี

3.3 เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ในประเทศไทยนอกจากจะมีภาษาไทยกลางซึ่งเป็นภาษาประจำชาติแล้ว เรายังมีภาษาถิ่นต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาษาที่ติดต่อกันเฉพาะในกลุ่ม และเมื่อกำหนดให้ภาษาไทยกลางเป็นภาษามาตรฐานเป็นภาษาที่ใช้ร่วมกัน ทำให้การสื่อสารเข้าใจตรงกันทั้งในการศึกษา ในทางราชการ และในสื่อสารมวลชน การใช้ภาษาไทยกลางช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันในสังคมไทยโดยส่วนรวม

3.4 เป็นเครื่องมือในการบันทึกและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของบรรพบุรุษในรูปของวรรณคดีและวรรณกรรม การอ่านและการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมแต่ละสมัย ทำให้ชนรุ่นหลังรับรู้และเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่ง เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ เข้าใจเหตุการณ์ เข้าใจลักษณะสังคม และสังคมของผู้คนในสมัยนั้น ๆ

3.5 เป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติ การที่ประเทศไทยมีภาษาไทยกลางเป็นมาตรฐานที่ใช้ร่วมกัน มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีอารยะธรรม การใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเกิดความผูกพันเป็นเชื้อชาติเดียวกัน ทำให้เกิดความปรองดองและร่วมมือกันที่นะพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป

3.6 เป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจ ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงไพเราะเมื่อผู้เขียนได้นำมาแต่งเป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง เมื่อใครได้อ่านได้ฟังก็จะเกิดความรู้สึกชื่นบาน เกิดความจรรโลงใจ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอะไรก็ตามซึ่งเป็นเรื่องราวที่ช่วยให้เกิดความจรรโลงใจ และความชื่นบานนี้จำเป็นต้องอาศัยภาษาเป็นสื่อ ภาษาไทยจึงมีความสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตคนไทยมีความสดชื่น รื่นรมย์ มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เคร่งเครียด เกิดความคิดสร้างสรรค์ และสังคมดำรงอยู่ได้ด้วยดี

4. การศึกษาประวัติความเป็นมาของภาษาตามแนวภาษาศาสตร์เชิงประวัติ

ภาษา หมายถึง เสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อความหมาย คิด ความรู้สึก และในการที่จะให้ผู้ที่เราพูดด้วยทำสิ่งที่เราต้องการ และแทนสิ่งที่เราพูดถึง ดังนั้นการศึกษาเราอาจจะศึกษาได้เป็น 2 แนว (ป๋วย อึ้งภากรณ์, 2514) คือ

ประการแรก เราอาจจะศึกษาภาษาพื้นเมืองของตนเองหรือภาษาต่างประเทศ เพื่อจะได้มีความรู้ความสามารถที่จะนำภาษานั้น ๆ มาใช้ได้ถูกต้อง คือ สามารถที่จะพูด ฟัง อ่าน และเขียนภาษานั้นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ศึกษาภาษาเพื่อจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับสื่อความคิด ความรู้สึกและความต้องการฯลฯ ในการศึกษาภาษาพื้นเมืองนั้น เมื่อเป็นเด็ก ก็เริ่มหัดพูดหัดอ่านหัดฟังก่อน ต่อมาเมื่อเข้าโรงเรียนแล้ว จึงหัดอ่านและเขียน คนไทยทุกคน (ยกเว้นค้นใบ้) ก็พูดภาษาไทยได้ ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง สามารถนำภาษาไทยมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ แต่ผู้ที่ได้รับการศึกษาเท่านั้นที่จะสามารถอ่านและเขียน ยิ่งได้รับการศึกษามากขึ้นก็จำเป็นต้องฝึกอ่านและเขียนมากขึ้น ทั้งนี้เพราะภาษาพูดมักจะเป็นข้อความสั้น ๆ ไม่สลับซับซ้อนมากเท่ากับภาษาเขียน

ประการที่สอง เราอาจจะศึกษาภาษาเพื่อให้รู้และเข้าใจลักษณะของภาษาในฐานะที่มันสามารถ ทำหน้าที่เป็นสิ่งหรือตัวกลาง ให้มนุษย์ได้ใช้ติดต่อสื่อสารกันได้ คือ ศึกษาการทำงานและหน้าที่ของกลไกซึ่งเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ที่สำคัญของภาษาเราอาจจะศึกษาลักษณะของภาษาแต่ละสมัย เช่น สมัยปัจจุบัน สมัยอยุธยา สมัยสุโขทัย เป็นต้น หรือจะศึกษาประวัติความเป็นมาของภาษาก็ได้

นักภาษาศาสตร์สมัยใหม่เป็นผู้ที่สนใจจะศึกษาภาษาตามแนวที่สอง คือ ต้องการจะรู้ว่า ภาษานั้นประกอบขึ้นด้วยอะไรบ้าง มีส่วนใดสัมพันธ์กับส่วนใดบ้าง ศึกษาทั้งลักษณะที่เป็นสากลซึ่งมีอยู่ในทุกภาษาและลักษณะเฉพาะของแต่ละภาษา การที่จะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องราวของภาษาได้ นักภาษาศาสตร์ก็ต้องอาศัยการนำภาษามาวิเคราะห์ และในการวิเคราะห์ก็ต้องอาศัยหลักเกณฑ์และทฤษฏีต่าง ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ นักภาษาศาสตร์จึงจำเป็นต้องคิดค้นทฤษฏีต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ภาษาด้วย และเป็นที่ยอมรับกันว่า ภาษาย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในชั่วอายุคนหนึ่งจึงไม่ค่อยรู้สึก เพราะต่างก็รู้สึกว่าภาษาของบรรพบุรุษก็ใช้เหมือนกับที่เราใช้เอง และที่ลูกหลานเราใช้ แต่เมื่อนับย้อนไปหลาย ๆ ชั่วอายุคนเราจะรู้สึกได้ทันทีว่า ภาษาที่คนสมัยก่อนใช้กับที่คนปัจจุบันใช้นั้นแตกต่างกัน

ในเมื่อภาษาเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การที่เราจะเข้าใจภาษาให้ถ่องแท้ เราก็ควรจะทราบประวัติความเป็นมาของภาษาด้วยว่า แต่ละภาษาได้มีวิวัฒนาการมาอย่างไร ดังนั้น จึงมีการแบ่งภาษาศาสตร์ออกได้เป็น 2 สาขา คือ การศึกษาลักษณะของภาษาที่ใช้กันอยู่ในแต่ละสมัย หรือในแต่ระยะเวลาหนึ่งจัดเป็นภาษาศาสตร์วรรณนา (Descriptive Linguistics) ส่วนการศึกษาภาษาหนึ่ง ๆ ตั้งแต่ 2 สมัย หรือ 2 ระยะเวลาขึ้นไป ก็จัดเป็นภาษาศาสตร์เชิงประวัติ (Historical Linguistics)

ในการศึกษาประวัติของภาษานั้น อาจจะกล่าวได้ว่าแบ่งเป็น 2 ขั้น

1. ถ้าจะศึกษาประวัติของภาแต่ละภาษาย้อนไปในอดีตให้ไกลเท่าที่มีหนังสือเป็นหลักฐานอยู่ ก็เรียกว่า เป็นการศึกษาภาษาเชิงประวัติ

2. ถ้าจะศึกษาประวัติของภาษาแต่ละภาษาไปในอดีตให้ไกลกว่านั้น คือ ไปถึงสมัยซึ่งไม่มีหลักฐานอยู่เลย ก็เรียกว่า เป็นการศึกษาภาษาเชิงเปรียบเทียบ หรือไม่ก็เรียกควบกันไปว่า การศึกษาภาษาเชิงเปรียบเทียบและเชิงประวัติ

5. ความหมายของภาษาถิ่น

ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาที่ใช้สื่อความหมายตามท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งจะแตกต่างกันในถ้อยคำสำเนียงแต่ก็สามารถจะติดต่อสื่อสารกันได้ และถือว่าเป็นภาษาเดียวกัน เพียงแต่แตกต่างกันตามท้องถิ่นเท่านั้น และภาษาถิ่นบางที่มักจะเรียกกันว่า ภาษาพื้นเมือง ทั้งนี้ เพราะไม่ได้ใช้เป็นภาษามาตรฐานหรือภาษากลางของประเทศ

6. สาเหตุที่ทำให้เกิดภาษาถิ่น

ภาษาถิ่น เกิดจากสาเหตุการย้ายถิ่นฐาน เมื่อกลุ่มชนที่ใช้ภาษาเดียวกันย้ายถิ่นฐานไปตั้งแหล่งใหม่ เนื่องจากเกิดภัยธรรมชาติ มีการรุกรานของศัตรู เมื่อแยกย้ายไปอยู่คนละถิ่นนานาภาษาที่ใช้จะค่อยเปลี่ยนแปลงไป เช่น เสียงเปลี่ยนไป คำและความหมายเปลี่ยนไป ทำให้เกิดภาษาถิ่นขึ้น

7. คุณค่าและความสำคัญของภาษาถิ่น

7.1 ภาษาถิ่นเป็นวัฒนธรรมทางภาษาและเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น

7.2 ภาษาถิ่นเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้สื่อสารทำความเข้าใจและแสดงความเป็นญาติ เป็นพวกเดียวกัน

ของเจ้าของภาษา

7.3 ภาษาถิ่นต้นกำเนิดและเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทยและวรรณคดีไทย การศึกษาภาษาถิ่น

จะช่วยให้การสื่อสารและการศึกษาวรรณคดีได้เข้าใจลึกซึ่งยิ่งขึ้น

7.4 การศึกษาและการใช้ภาษาถิ่น จะช่วยให้การสื่อสารได้มีประสิทธิภาพและสร้างความเป็นหนึ่งของคนในชาติ

8. ลักษณะของภาษาถิ่น

8.1 มีการออกเสียงต่างถิ่น เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ ความห่างไกลขาดการติดต่อสื่อสารกันเป็นเวลานานมาก ๆ ย่อมทำให้ออกเสียงต่างกันไป

8.2 การผสมกันทางเชื้อชาติเพราะอยู่ใกล้เคียงกันทำให้มีภาษาอื่นมาปน เช่น ภาษาอีสาน

มีภาษากลาง และเขมร มาปนเพราะมีเขตแดนใกล้กัน ทำให้ภาษาเปลี่ยนไปจากภาษากลาง

8.3 การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน ทำให้ภาษาเปลี่ยนจากภาษากลาง

8.4 หน่วยเสียงของภาษาถิ่นมีส่วนคล้ายกันและแตกต่างกัน หน่วยเสียงของภาษากลางมี 21 เสียง ภาษาถิ่นมีหน่วยเสียงตรงกันเพียง 17 เสียง นอกนั้นก็จะแตกต่างกัน เช่น ภาษาถิ่นเหนือ และอีสานไม่มีหน่วยเสียง ช และ ร ภาษาถิ่นใต้ ไม่มีหน่วยเสียง ง และ ร เป็นต้น

8.5 หน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาถิ่น แตกต่างกันไป ภาคใต้มีเสียงวรรณยุกต์ 7 เสียง ภาคเหนือและอีสาน มีเสียงวรรณยุกต์ 6 เสียง ตัวอย่างการกลายเสียงวรรณยุกต์

ม้า (กลาง) ภาคใต้ออกเสียงเป็น หม่า

ข้าว (กลาง) ภาคอีสานออกเสียงเป็น ข่าว

ช้าง (กลาง) ภาคเหนือออกเสียงเป็น จ๊าง

8.6 การกลายเสียงพยัญชนะในภาษาถิ่นเหนือ ใต้ อีสาน นั้นมีส่วนแตกต่างกันหลายลักษณะ เช่น

8.6.1 ภาษาไทยเหนือ จะมีค่าที่กลายเสียงพยัญชนะจากภาษาไทยกลางอยู่หลายตัวภาษาไทยกลางเป็น ช ไทยเหนือจะเป็น จ เช่น ช้าง เป็น จ๊าง ฉะนั้น เป็น จะอั้น ใช่ เป็น ไจ้ ภาษาไทยกลางใช้ ร ไทยเหนือจะเป็น ฮ เป็น รัก เป็น ฮัก ร้อง เป็น ฮ้อง โรงเรียน เป็น โฮงเฮียน ภาษาไทยกลางเป็น คิดเป็น กึ้ด คิ้ว เป็น กิ๊ว ภาษากลางใช้ ท ภาษาไทยเหนือใช้ ต เช่น ทาน เป็น ตาน ท่าน เป็น ต้าน และภาษาไทยเหนือ นอกจากจะใช้พยัญชนะต่างกันแล้ว ยังไม่ค่อยมีตัวควบกล้ำ เช่น ขี้กลาก เป็น ขี้ขาด โกรธ เป็น โขด นอกจากนี้ จะมีคำว่า โปรด ไทยเหนือ โปด ใคร เป็น ไผ เป็นต้น

8.6.2 ภาษาไทยอีสาน ก็มีกลายเสียงหรือมีหน่วยเสียงต่างกับภาษาไทยกลางหลายตัวตัวอย่าง ช ใช้ ซ แทนเสียง ร ใช้ ฮ แทนเสียง ญ และ ย จะออกเสียงนาสิก แทนภาษาไทยกลาง ช้าง ไทยอีสานเป็น ซ่าง เรา เป็น เฮา เลือด เป็น เฮือด หญิง เป็น ญิง (นาสิก) ใหญ่ เป็น ใญ้ ภาษาไทยอีสานจะไม่มีคำควบกล้ำ คล้ายเหนือ เช่น กล้วย เป็น ก้วย ปลา เป็น ป๋า ของ เป็น ข้อ เปรต เป็น เผด และภาษาไทยอีสานมีการสลับรับเสียงด้วย เช่น ตะกร้อ เป็น กะต้อ ตะกร้า เป็น กะต้า ตะกรุด เป็น กะตุด เป็นต้น

8.6.3 ภาษาไทยใต้ ก็มีการกลายเสียงพยัญชนะจากภาษาไทยกลางเหมือนกัน ภาษาไทยกลางเป็น ง ภาษาไทยใต้จะเป็น ฮ เสียง ฐ จะเป็น ล (บางจังหวัด) และญ จะออกเสียงนาสิก ตัวอย่าง ภาษาไทยกลาง คำว่า เงิน ภาษาไทยใต้ เป็น เฮิง งาน เป็น ฮาน รัก เป็น หลัก เป็นต้น นอกจากนี้พยัญชนะและคำอื่นที่ภาษาไทยกลาง

8.7 ภาษาถิ่นเหนือใต้และอีสานมีการกลายเป็นเสียงจากภาษาไทยกลางหน่วยเสียง

8.7.1 ภาษาไทยเหนือ จะกลายเสียงสระ อิ เป็น อึ เช่น คิด เป็น กึ้ด สระอึเป็นสระเออ เช่น ถึงเป็น เถิง สระอะ เป็น สระอา เช่น มะปราง เป็น หม่าผาง มะละกอ เป็น หมากก้วยเต็ด สระเอ เป็นสระแอ เช่น เอว เป็น สระแอว เป็นต้น

8.7.2 ภาษาไทยอีสาน มีการกลายเสียงสระเช่น สระเอือ เป็น เอีย เช่น เนื้อเป็น เนี้ย สระอัว เป็น สระสระโอ เช่น วัว เป็น โง ตัว เป็น โต สระอึ เป็น สระเออ เช่น ครึ่ง เป็น เคิ่ง สระอา เป็นสระอัว เช่น ขวา เป็น ขัว เป็นต้น

8.7.3 ภาษาไทยอีสาน มีการกลายเสียสระ เช่น ภาษาไทยกลางใช้ สระ อิ อี ภาษาถิ่นใต้ใช้ สระเอะ เอ เช่น สี่ เป็น เส ซีก เป็น แซก สระเอะ เอ ใช้เป็น สระแอะ แอ เช่น เด็ก เป็น แด็ก เป็นต้น

8.8 ความหมายของคำในภาษาถิ่นแตกต่างไปจากภาษากลาง เช่น คำว่ารักษา ภาษาถิ่นใต้มีความหมายว่า เลี้ยง เช่น นำลิงไปรักษา หมายถึง นำลิงไปเลี้ยง บัวลอย ภาษาถิ่นเหนือ หมายถึง ผักตบชวาแพร ภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง ผ้าเช็ดหน้า ภาษาถิ่นใต้ เรียกผ้าเช็ดหน้าว่า ผ้านุ้ย เป็นต้น

ดังนั้น ภาษาถิ่น จึงหมายถึง ภาษาที่พูดแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น มีความคล้ายคลึงกันและแตกต่างกันอย่างเป็นระบบ ในด้านเสียง คำศัพท์และระบบไวยากรณ์ ทั้งสามารถสื่อสารกันได้เข้าใจ

9. ภาษาตระกูลไท

ภาษาไทย เป็นภาษาหนึ่งอยู่ในภาษาตระกูลภาษาไท ซึ่งไม่ได้มีพูดอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่พูดอยู่ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นไปจนถึงตอนใต้ของประเทศจีน สามารถแบ่งประเด็นกลุ่มเชื้อชาติและภาษาตระกูลไท (พจนี ศิริอักษรสาสน์, 2545) ได้ดังนี้

1 ผู้ที่พูดภาษาตระกูลนี้มีอยู่ถึง 8 ประเทศ ด้วยกัน คือ จีน พม่า อินเดีย เวียดนาม เขมร ลาว ไทย และมาเลเซีย

2 อาณาบริเวณที่มีผู้พูดภาษาตระกูลไทอาศัยอยู่นั้น ได้แก่ บริเวณทางใต้ของประเทศจีน ได้แก่ มณฑลยูนนาน กวางสี ไกวเจา ไทลื้อ ปายี ไทย้อย จ้วง เทียนเจา ลิงยุน และวูมิง

3 ที่เกาะไหหลำมีภาษาไทกลุ่มกะได คือ ชาวไทที่พูดภาษาลี อองเบ ลักกะ และลาตี

4 ในประเทศอินเดียที่รัฐอัสสัมมีไทคำตี่ ไทรง ไทโนรา ไทอ้ายตน ไทพาเก

5 ในประเทศพม่าเขตเหนือสุดที่อำเภอ Lakhimpur มีไทคำตี่

6 ที่รัฐฉานมีไทใหญ่ (เงี้ยว) ไทลื้อ ไทขืน

7 ในประเทศเวียดนามมีไทดำ ไทแดง ไทขาว ไทโท้ ไทนุง ไทจุงตรา ไทญัง ไทปานี

8 ในประเทศกัมพูชามีไทลาว

9 ในประเทศลาว มีไทลาว ไทพวน ผู้ไท ญ้อ ไทดำ

10 ในประเทศไทยมีไทยสยาม ไทยล้านนา (ไทยถิ่นเหนือ) ไทยอีสาน ไทยถิ่นใต้ ไทแสก ไทหย่า ไทยดำ ฯลฯ

11 ในประเทศมาเลเซียมีไทยปักษ์ใต้ และภาษาตากใบ

ถึงแม้ว่าภาษาไท จะพูดกันอยู่เป็นบริเวณกว้างขวางทั้งยังมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน แต่เราก็สามารถจัดให้อยู่ในภาษาตระกูลไทได้เนื่องจาก ภาษาเหล่านี้มีลักษณะทางเสียงศัพท์ ไวยากรณ์ที่คล้ายคลึงกัน

9.1 ลักษณะของภาษาตระกูลไท

9.1.1 เสียง

ในระบบเสียงของภาษาไท จะมีระบบเสียงที่สำคัญอยู่ 3 ระบบ คือ ระบบเสียงพยัญชนะ ระบบเสียงสระ และระบบเสียงวรรณยุกต์ ภาษาถิ่นไทจะมีจำนวนหน่วยเสียงที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกัน เช่น ภาษาไทยกลาง มีหน่วยเสียงพยัญชนะ 21 หน่วยเสียง หน่วยเสียงสระเดี่ยว 18 หน่วยเสียง หน่วยเสียงวรรณยุกต์ 5 หน่วยเสียง ภาษาถิ่นเหนือมีหน่วยเสียงพยัญชนะ 20 หน่วยเสียง หน่วยเสียงสระเดี่ยว 18 หน่วยเสียง หน่วยเสียงวรรณยุกต์ 6 หน่วยเสียง ระบบเสียงวรรณยุกต์เป็นสิ่งสำคัญมากในการศึกษาภาษาตระกูลไท เพราะหน่วยเสียงวรรณยุกต์ในแต่ละภาษามีอย่างน้อยที่สุดไม่น้อยกว่า 5 หน่วยเสียง และไม่มากกว่า 7 หน่วยเสียง

9.1.2 คำศัพท์

ภาษาไทเป็นภาษาคำโดด (Isolating language) คำศัพท์ส่วนใหญ่ในภาษาเป็นคำพยางค์เดียว และเป็นคำสมบูรณ์ สามารถนำไปเรียงเข้าประโยคได้โดยไม่ต้อง มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำ ภาษาตระกูลไทจะมีคำศัพท์ที่ใช้ร่วมกันเรียกว่าคำร่วมเชื้อสาย อยู่จำนวนหนึ่ง คำเหล่านี้จะเป็นคำศัพท์สามัญที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เมื่อนำคำศัพท์มาเปรียบเทียบกันจะพบว่ามีเสียงและความหมายที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่

9.1.2.1 คำเรียกญาติ ได้แก่ พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ฯลฯ

9.1.2.2 คำเรียกส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ หัว ผม หน้า ตา ฯลฯ

9.1.2.3 คำเรียกชื่อทางภูมิศาสตร์หรือธรรมชาติ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ

9.1.2.4 คำเรียกเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหากิน ได้แก่ มีด ขวาน จอบ เสียม ไถ เบ็ด ฯลฯ

9.1.2.5 คำเรียกชื่อเครื่องใช้ในบ้าน ได้แก่ หม้อ ไห ถ้วย ชาม ฯลฯ

9.1.2.6 คำกริยาที่สำคัญและจำเป็น ได้แก่ กิน นอน นั่ง ยืน ฯลฯ

9.1.2.7 คำขยายคำสำคัญและจำเป็น ได้แก่ อ้วน ผอม เร็ว ช้า ฯลฯ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปความจำเป็นต้องใช้คำใหม่ก็สร้างคำใหม่ได้โดยการนำ คำมูลมาประสมกันเกิดเป็นคำใหม่ หรือยืมคำจากภาษาอื่นเข้ามาทำให้ปัจจุบันมีคำหลายพยางค์ใช้อยู่ในภาษาไทด้วย

9.1.3 ไวยากรณ์

ด้านการเรียงคำเข้าเป็นประโยค ภาษาตระกูลไทจะมีการเรียงคำในประโยคเป็นแบบประธาน กริยา กรรม และเนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำศัพท์เพื่อบอกลักษณะทางไวยากรณ์ เช่น เพศ พจน์ ฯลฯ จึงต้องเรียงลำดับคำให้ถูกต้องเพราะถ้าสลับตำแหน่ง ความหมายของประโยคจะกลายเป็นตรงกันข้าม เช่น ปลากินมด ความหมายตรงกันข้ามกับมดกินปลา คำขยายในภาษาไทยจะอยู่หลังคำที่ถูกขยาย เช่น เด็กอ้วน สวนสัตว์ วิ่งเร็ว คำว่า อ้วน สัตว์ เร็ว ขยายคำว่า เด็ก สวน และวิ่ง โดยอยู่ในตำแหน่งหลังคำที่ถูกขยายและในนามวลีที่มีคำบอกจำนวนนั้น จะต้องมีคำลักษณะนาม อยู่ด้วย

9.2 การแยกกลุ่มย่อยภาษาไทกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้

ในภาษาไททั้ง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเหนือ กลุ่มกลาง และกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้นั้น กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้มีข้อมูลมากที่สุดและมีผู้ศึกษาภาษาในกลุ่มนี้มากที่สุดทั้งภาษาถิ่นไทยก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งมาร์วิน บราวน์ ศึกษาภาษาทั้งสิ้นรวมภาษาเป็นภาษาในกลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ทั้งสิ้น ภาษาเหล่านี้เป็นภาษาที่ศึกษาจากผู้พูดซึ่งในประเทศไทย บราวน์ กล่าวว่า ภาษาทั้ง 66 ภาษานั้น เป็นภาษาที่อยู่ในกลุ่ม 7 กลุ่ม ต่อไปนี้

9.2.1 ภาษาชาน(Shan) ได้แก่ ภาษาชานของผู้พูดในจังหวัดเชียงรายที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุงในพม่า

9.2.2 ภาษาไทยถิ่นเหนือ (Northern Thai) ได้แก่ ภาษาถิ่นในอำเภอเมืองของจังหวัดเชียงใหม่ แพร่ น่าน ลำปาง เชียงราย เป็นต้น

9.2.3 ภาษาพวน (Phuan) ได้แก่ ภาษาที่พูดกันในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย โดยเฉพาะแถบจังหวัดลพบุรี ภาษาที่บราวน์ใช้เป็นตัวอย่าง คือ ภาษาพวนที่อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

9.1.4 ภาษาไทยถิ่นกลาง (Central Thai) ได้แก่ ภาษาที่พูดในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย เช่น ภาษาไทยถิ่นกรุงเทพฯ สุพรรณบุรี และโคราช

9.1.5 ภาษาผู้ไท (Phu Thai) ได้แก่ ภาษาที่พูดที่อำเภอเมือง และอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร

9.1.6 ภาษาลาว (Lao) ได้แก่ ภาษาที่พูดในแถบอีสานของประเทศไทย และบางส่วนของประเทศลาวภาษานี้ แบ่งเป็นภาษาย่อย 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มย่อยหลวงพระบาง ซึ่งพูดที่หลวงพระบาง แก่นท้าว อำเภอ ด่านซ้าย และอำเภอเมือง จังหวัดเลย 2) กลุ่มย่อยเวียงจันทร์ ได้แก่ ภาษาพูดที่เวียงจันทน์ ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดอุบลราชธานี ที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นต้น 3) กลุ่มย่อยญ้อ ได้แก่ ภาษาญ้อที่อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

9.1.7 ภาษาไทยถิ่นใต้ (Southerm Thai) ได้แก่ ภาษาที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

9.3 ภาษาตระกูลต่าง ๆ และภาษาตระกูลไทในประเทศไทย

จากรายงานผลการวิจัยของสุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ (2544) ที่ได้ศึกษาวิจัยภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย พบว่า ภาษาในประเทศไทยมีทั้งสิ้นมากว่า 60 กลุ่ม มีผู้พูดภาษาไทยมากที่สุด คือ ร้อยละ 39 รองลงไป คือ ภาษาลาวอีสาน ร้อยละ 28 ภาษาคำเมือง ร้อยละ10 ภาษาถิ่นใต้ร้อยละ 9 ภาษาเขมรถิ่นไทยร้อยละ 3 ภาษาไทยโคราช ผู้ไท กูย ญ้อ ไทยเลย ลาวหล่ม กะเหลี่ยง แต่ละภาษาร้อยละ 1 และภาษาอื่น ๆ ภาษาละไม่ถึงร้อยละ 1 ซึ่งกลุ่มชาติพันธ์ภาษาในประเทศไทยทั้งหมดกว่า 60 กลุ่มจัดอยู่ในตระกูลภาษา 5 ตระกูล ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนในอาเซียอาคเนย์ ดังนี้

9.3.1 ภาษาตระกูลไท (Tai language family) มีจำนวน 24 กลุ่มภาษา ประกอบด้วยภาษากะเลิง คำเมือง โซ่ง ญ้อ ไทยขืน ไทยกลาง ไทยโคราช ไทยตากใบ ไทยเลย ไทลื้อ ไทหย่า ไทใหญ่ ปักษ์ใต้ ผู้ไท พวน ยอง โย้ย ลาว ครั่ง ลาวแง้ว ลาวตี้ ลาวเวียง ลาวหล่ม ลาวอีสาน แสก ภาษาตระกูลนี้เป็นภาษาพูดของคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย และเป็นกลุ่มภาษาที่มีการกระจายทั่วไปในส่วนต่าง ๆทั่วประเทศ นอกเหนือจากในประเทศไทยยังพบผู้พูดภาษาตระกูลไทในลาว พม่า เวียดนาม และ จีน รวมทั้งบางหมู่บ้านในตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทยมีผู้พูดเป็นจำนวนร้อยละ 94 ของประชากรในประเทศ

9.3.2 ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic language family) มีจำนวน 22 กลุ่ม ภาษาหลัก ประกอบด้วย กะซอง กุย-กวย ขมุ เขมรถิ่นไทย ชอง ชะโอจ ซาไก ซำเร โซ่ โซ่ ญัฮกุร เญอ บรู ปลัง ปะหล่อง มอญ มัล-ปรัย มลาปรี ละเม็ด ละเวือะ ว้า เวียดนาม โดยทั่วไปเชื่อกันว่ากลุ่มชนที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก เป็นกลุ่มชนชั้นดั้งเดิมในดินแดนอาเซียอาคเนย์ ภาษาออสโตรเอเชียติก ในอาเซียอาคเนย์ทั้งหมด มีประมาณ 150 ภาษา กระจายอยู่ในบริเวณกว้างทั่วดินแดนอาเซียอาคเนย์ ภาษาเหล่านี้มีคุณค่าอย่างยิ่งด้านประวัติศาสตร์ และความเข้าใจในมนุษย์ชาติของดินแดนแถบนี้ ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ที่พบในประเทศไทยในปัจจุบันทั้งหมดเป็นภาษากลุ่มมอญ เขมร มีทั้งกลุ่มเล็กน้อยและกลุ่มใหญ่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มีผู้พูดเป็นจำนวนร้อยละ 4.3 ของประชากรในประเทศ

9.3.3 ภาษาตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan language family) มีจำนวน 11 กลุ่มภาษาหลัก ประกอบด้วย กว๊อง กะเหรี่ยง จึงพ่อ จีน จีนฮ่อ บิซู พม่า ละหู่ ลีซู อะข่า อึมปี ผู้ที่ผู้ภาษาตระกูลนี้เป็นชนกลุ่มใหญ่ทางตอนเหนือของอาเซียอาคเนย์ติดต่อกับจีน มีจำนวนกว่า 200 ภาษา ในประเทศไทยพบในเขตภาคเหนือ และตะวันตกเป็นส่วนมาก ส่วนภาษาจีนต่าง ๆ จะพบในเขตเมืองด้วย ภาษาในตระกูลนี้มีผู้พูดเป็นจำนวนร้อยละ 1.1 ของประชากรในประเทศ

9.3.4 ภาษาตระกูลออสโตรเนเซียน หรือ มาลาโยโพลีเนเชียน (Austronesian of Malayopolynesian language family) มีจำนวน 3 กลุ่มภาษาหลัก ประกอบด้วยมาเลย์ มอเก็น อุรักละโวย กลุ่มชนที่พูดภาษาออสโตรเนเชียนส่วนมาก เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่อยู่ในเขตหมู่เกาะทางตอนใต้ของอาเซียอาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ฯ ภาษาตระกูลนี้ในประเทศไทยพบในเขตภาคใต้เป็นส่วนมาก มีผู้พูดเป็นจำนวนร้อยละ 0.3 ของประชากรในประเทศ

9.3.5 ภาษาตระกูลม้ง- เมี่ยน (Hmong-Mien or Miao-Yao language family) มีจำนวน 2 กลุ่มภาษาหลักประกอบด้วยม้ง เมี่ยน เป็นกลุ่มชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อยู่ทางตอนเหนือของอาเซียอาคเนย์ ในประเทศไทยพบในภาคเหนือเป็นส่วนมาก มีผู้พูดเป็นจำนวนร้อยละ 0.3 ของประชากรในประเทศ

10. ภาษาถิ่นภาคอีสาน

ประชาคมในภาคอีสาน ได้สืบทอดวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขงร่วมกับประชาคมในอาณาจักรล้านช้าง มาตั้งแต่สมัยอดีต ฉะนั้น จึงมีลักษณะร่วมกันอยู่มากทางด้านวรรณกรรม ตัวอักษร ตลอดจนภาษาที่ใช้สื่อสารพูดจากัน ถึงแม้ว่าทั้งภาษาถิ่นอีสานและภาษาลาวต่างก็เป็นภาษาถิ่นไทยด้วยกัน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่าภาษาอีสานกับภาษาลาวมีความคล้ายคลึงกันมาก ซึ่งต่างกันที่สำเนียงพูดที่ผิดเพี้ยนกันไปเท่านั้น

จึงพบว่ารูปแบบของตัวอักษรต่างไปจากเดิม และมีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า อักษรตัวธรรม และอักษรไทยน้อย ซึ่งมีรูปคล้ายอักษรลาวในปัจจุบัน และอักษรทั้งสองนี้ได้หมดความสำคัญต่อประชาคมอีสานเมื่อมีการใช้ พ.ร.บ. ประถมศึกษา พ.ศ.2464 สมัย ร.6 คือ คนรุ่นหลังได้เรียนรู้อักษรไทยตามระบบโรงเรียน (ธวัช ปุณโณทก, 2531)

11. สภาพทั่วไปของภาษาถิ่นอีสาน

เนื่องจากประชาคมอีสานมีประวัติศาสตร์ห่างเหินกับราชธานีในสมัยอดีต และได้สืบทอดวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขงมาช้านาน จึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ภาษาถิ่นอีสานมีความแตกต่างไปจากภาษาภาคกลาง และอีกประการหนึ่งมีการอพยพโยกย้ายประชรมาตั้งภูมิลำเนาในท้องถิ่นอีสานในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งประชากรเหล่านั้น บางกลุ่มพูดภาษาแตกต่างไป ซึ่งมีทั้งประชากรที่พูดภาษาถิ่นแบบ ต่าง ๆ ของไทย และประชากรที่พูดภาษา เขมร ส่วย แต่อย่างไรก็ตาม ประชากรส่วนใหญ่ในภูมิภาคอีสาน พูดภาษาถิ่นอีสาน ถึงแม้ว่าจะมีสำเนียงบางจังหวัดแตกต่าง ผิดเพี้ยนกันบ้าง แต่ก็พอจัดเป็นกลุ่มเดียวกันได้

ภาษาถิ่นอีสานนั้น หมายถึง ภาษาที่ชนกลุ่มใหญ่ในภาคอีสานใช้พูดจากัน ภาษาถิ่นอีสานใช้กันทั่วไปใน 20 จังหวัดของภาคอีสาน ซึ่งเป็นภาษาที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ คือ มีลักษณะโดยทั่วไปเหมือนกัน เช่น การใช้คำ และหน่วยเสียงพยัญชนะ สระ เหมือนกัน จะแตกต่างกันบ้างในหน่วยเสียงวรรณยุกต์ คือ ออกเสียงวรรณยุกต์มีระดับเสียงผิดเพี้ยนกันบ้าง เช่น ภาษาในท้องถิ่นจังหวัด เลย ชัยภูมิ และนครพน สกลนคร จะมีวรรณยุกต์ต่างกับกลุ่มอื่น ๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นตน

นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นย่อยอีก เช่น ภาษาผู้ไท ซึ่งตั้งภูมิลำเนาปะปนอยู่ใน อ.เรณูนคร จ. นครพนม และ อ.วาริชภูมิ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร และ อ.สหัสขันธ์ กุจฉินารายณ์ ภาษาผู้ไทนี้มีความแตกต่างกับภาษาถิ่นอีสาน อยู่บ้างในการออกเสียงและใช้คำแตกต่างกัน จึงสามารถที่จะจัดเป็นภาษาถิ่นของไทยอีกกลุ่มหนึ่งได้ (ธวัช ปุณโณทก, 2537) ดังนี้

11.1 ภาษาย้อ ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของจังหวัดสกลนคร ภาษาย้อมีหน่วยเสียงไม่ต่างไปจากภาษาถิ่นอีสาน มากนัก และการใช้คำมีผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่สำเนียง คือ ออกเสียงวรรณยุกต์ผิดเพี้ยนไป ค่อนข้างมาก

11.2 ภาษาแสก ภาษาพวน เป็นภาษาถิ่นไทยอีกชุดหนึ่ง ทั้งสองภาษานี้มีความคล้ายคลึงและแตกต่างกับภาษาอีสานอยู่ทั้งสองประเด็น แต่ประชากรที่พูดภาษาทั้งสองมีไม่มากนัก

11.3 ภาษาของชนกลุ่มน้อยในภาคอีสาน ได้แก่ ภาษาเขมร ส่วย กะเลิง โซ่ และชาวบน ภาษาเหล่านี้จัดอยู่ในตระกูลภาษาเขมร –มอญ ถึงแม้ว่าภาษาดังกล่าวจะเป็นภาษาตระกูลเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันมากจนไม่สามารถที่จะใช้สื่อสานกันเข้าใจ จึงไม่เป็นภาษาถิ่นของกันและกัน

11.4 ภาษาเขมร คือ ภาษาที่มีประชากรใช้กันมากรองจากภาษาอีสาน คือ ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดสุรินทร์ บางส่วนของจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดบุรีรัมย์

11.5 ภาษาส่วย เป็นภาษาชนกลุ่มน้อยที่ใช้พูดกันมากพอ ๆ กับภาษาเขมรลักษณะโครงสร้างของภาษาเป็นกลุ่มเดียวกับภาษาเขมร มีคำตรงกับภาษาเขมรจำนวนหนึ่งและคำอีกจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนมากใช้ต่างไปจากภาษาเขมร ประชากรที่พูดภาษาส่วยมีภูมิลำเนาอยู่กระจายเป็นกลุ่ม ๆ ในจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ

11.6 ภาษาชาวบน เป็นภาษาของชนกลุ่มน้อย มีผู้พูดภาษานี้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่มีถิ่นฐานอยู่บริเวณเทือกเขาดงพระยาเย็นกระจัดกระจายตั้งแต่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา จนถึง จ.เพชรบูรณ์ รวมประชากรที่พูดภาษาชาวบนน้อยกว่าหมื่นคน

11.7 ภาษากะเลิง กะโส้ ชนกลุ่มน้อยที่อยู่จังหวัดสกลนคร กะเลิงอยู่กระจัดกระจายและเกือบจะไม่มีใครพูดภาษากะเลิงได้ในปัจจุบัน ส่วนโซ่ยังเป็นกลุ่มตั้งภูมิลำเนาอยู่ อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร และยังใช้ภาษาโซ่พูดจากันอยู่ (จำนวนน้อย)

ฉะนั้น ภาษาอีสาน จึงหมายถึงเฉพาะที่ใช้กันในภาคอีสานที่เป็นภาษาของชนส่วนใหญ่

12. อักษรธรรมอีสาน

12.1 ความเป็นมาของตัวอักษรธรรมอีสาน

หลักฐานทางรูปตัวอักษรที่ปรากฏในศิลาจารึกที่พบในภาคอีสานนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา พบว่า มีรูปอักษรเพิ่มขึ้นมาอีกสองแบบ นั่นคือ อักษรธรรมอีสาน และอักษรไทยน้อย อักษรธรรมอีสานเป็นอักษรที่พัฒนามาจากอักษรมอญโบราณ ในบริเวณจังหวัดลำพูนปัจจุบัน หรือ อาณาจักรหริภุญไชยในอดีต ราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 รูปอักษรตัวธรรมเป็นรูปอักษรที่ชาวล้านนา ได้พัฒนามาจากรูปอักษรมอญโบราณมาเป็นรูปอักษรพื้นเมืองที่เรียกว่า ตัวเมือง หรือ อักษรยวนและโดยเหตุที่อักษรตัวเมือง หรือ อักษรยวนนี้นิยมใช้เขียนบันทึกเรื่องราวทางศาสนา และวรรณกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อักษรตัวธรรม อักษรตัวธรรมได้แพร่เข้ามาสู่อาณาจักรล้านช้างและดินแดนลุ่มน้ำโขงตอนกลาง ดังมีจารึกวัดสังคโลกเทวาลัย ที่พบบริเวณเมืองหลวงพระบาง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ลงศักราช ตรงกับ จ.ศ.889 หรือ พ.ศ. 2070 และจารึกวัดสุวรรณคูหา อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย ลงศักราชตรงกับ พ.ศ. 2106 เป็นหลักฐานยืนยัน

การใช้รูปอักษรในจารึกภาคอีสาน นับจากพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมานั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังกล่าวมาบ้างแล้ว นั่น คือ อักษรธรรมอีสานนิยมจารึกจดจารเรื่องทางธรรมในพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงนิยมเรียกชื่ออักษรธรรมอีสานอีกอย่างหนึ่งว่า หนังสือธรรม แบบหนึ่ง และอักษรไทยอีสานหรืออักษรไทยน้อยอีกแบบหนึ่งซึ่งนิยมใช้บันทึกจดจารเรื่องทางโลก อักษรทั้งสองแบบนี้ได้พบจารึกในภาคอีสาน ดังนี้

จารึกวัดโอกาส จังหวัดนครพนม

จารึกวัดไตรภูมิ จังหวัดนครพนม

จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา 1 จังหวัดอุดรธานี

จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา 2 จังหวัดอุดรธานี

จารึกวัดใต้เทิง 1 และ 2 จังหวัดอุบลราชธานี

จารึกพระเจ้าอินแปง จังหวัดอุบลราชธานี

จารึกพระมหาพรหมเทโวโพธิสัตว์ จังหวัดสกลนคร

จากรึกวัดพระธาตุศรีสองรัก 2 จังหวัดเลย

จารึกวัดพระธาตุศรีสองรัก 1 ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

จารึกเจ้าครูศีลาภิรัตน์ จังหวัดนครพนม

จารึกมุจลินทอาราม 1 และ 2 จังหวัดขอนแก่น

จารึกวัดพังเพา จังหวัดขอนแก่น

จารึกวัดคงกระพันชาตรี จังหวัดหนองคาย

จารึกวัดไชยเชฏฐา จังหวัดหนองคาย

จารึกวัดมณีโคตร จังหวัดหนองคาย

จารึกวัดศรีมงคล จังหวัดหนองคาย

จารึกวัดศรีบุญเรือง จังหวัดหนองคาย

จารึกจอมมณี จังหวัดหนองคาย

จารึกวัดผดุงสุข 1 และ 2 จังหวัดหนองคาย

จารึกวัดแดนเมือง1 และ 2 จังหวัดหนองคาย

จารึกวัดวิชัยอาราม จังหวัดขอนแก่น

สาเหตุที่ชื่อว่าตัวอักษรธรรมนั้น เพราะใช้ตัวอักษรชนิดนี้ในการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเช่น พระไตรปิฎก พระธรรมคัมภีร์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นอักษรชั้นสูง อักษรศักดิ์สิทธิ์ ตัวอักษรชนิดนี้ใช้ในประเทศลาวก็เรียกว่าตัวธรรมลาว ใช้ในภาคอีสานก็เรียกว่า ตัวธรรมอีสานตามแต่ละท้องถิ่นจะเรียกแต่ก็ คือ ตัวอักษรชนิดเดียวกันนั่นเอง

12.2 อักขรวิธีอักษรธรรมอีสาน

อักขรวิธีของอักษรธรรมอีสานแตกต่างจากอักขรวิธีของอักษรไทยปัจจุบันบางอย่าง โดยอักขรวิธีของอักษรธรรมอีสาน จะวางพยัญชนะต้นซึ่งเป็นพยัญชนะตัวเต็มไว้บนบรรทัด และวางสระไว้รอบพยัญชนะต้น คือ ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านบน ด้านล่าง เหมือนอักขรวิธีไทยปัจจุบัน ส่วนพยัญชนะตัวสะกดและพยัญชนะตัวควบกล้ำ จะวางไว้ใต้บรรทัด โดยใช้รูปพยัญชนะครึ่งตัวหรือครึ่งรูป ซึ่งเรียกว่า “ตัวเฟื้อง” หรือ “ตัวห้อย” ส่วนพยัญชนะตัวสะกดที่ไม่มีรูปครึ่งตัว จะเขียนด้วยตัวเต็ม

12.3 พยัญชนะ

พยัญชนะอักษรธรรมอีสานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

12.3.1 พยัญชนะตัวเต็ม คือ พยัญชนะที่เขียนเต็มรูปตามรูปแบบปกติ มี 37 รูป ทำหน้าที่เป็นพยัญชนะต้น เขียนไว้บนบรรทัด

12.3.2 พยัญชนะตัวเฟื้อง หรือ ตัวห้อย (บางทีเรียกว่า “ตัวเชิง” เหมือนอักษรขอม) คือ พยัญชนะที่เขียนครึ่งรูป หรือครึ่งตัว โดยเขียนไว้ใต้บรรทัด ยกเว้น ตัวเฟื้อง ร จะวางไว้หน้าพยัญชนะตัวเต็ม และ ตัวเฟื้อง ง (ไม้อังแล่น) จะวางไว้บนพยัญชนะ ทำหน้าที่เป็นพยัญชนะตัวสะกดและพยัญชนะควบกล้ำ สระอักษรธรรมอีสาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สระลอย และสระจม

12.4 ตัวสะกด

ตัวสะกดในอักขรวิธีอักษรธรรมอีสานนั้น นิยมสะกดด้วยพยัญชนะตัวเฟื้อง หรือ ตัวห้อย และเขียนไว้ใต้บรรทัด ส่วนพยัญชนะที่ไม่มีตัวเฟื้องเมื่อทำหน้าที่เป็นพยัญชนะตัวสะกดจะใช้รูปพยัญชนะตัวเต็มเขียนไว้ใต้บรรทัด ส่วนพยัญชนะตัวเฟื้องที่มีรูปต่างจากพยัญชนะตัวเต็มมีทั้งหมด 16 ตัว

12.5วรรณยุกต์

วรรณยุกต์ในอักษรธรรมอีสานไม่มีรูป แต่มีเสียงวรรณยุกต์ครบทั้ง 5 เสียงเหมือนภาษาไทย โดยที่ผู้อ่านต้องฝันหาเสียงเอาเองตามความหมายของประโยคหรือข้อความนั้น ๆ เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้คนโบราณอีสานเรียกว่า “หนังสือ หนังหา” คือ หาความหมายเอาเองตามคำปริบทที่แวดล้อมของคำนั้น

12.6 อักขรวิธีพิเศษ

อักขรวิธีพิเศษ หมายถึง อักษรธรรมอีสานที่มีวิธีประสมอักษรที่แตกต่างจากกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างไปจากคำเดิมหรือคำอ่านมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ คนอีสานสมัยโบราณต้องการที่จะประหยัดเวลาและแรงงาน ตลอดถึงจำนวน ขนาดและขอบเขตของใบลานที่ใช้จารท่านจึงคิดบัญญัติศัพท์พิเศษขึ้นใช้ บางทีก็เพื่อแสดงภูมิความรู้ ฉะนั้นจึงเป็นปัญหามากสำหรับผู้เริ่มหัดอ่าน และจะต้องจดจำเป็นกรณีพิเศษ



หมายเหตุ

ตัวอย่างอักษรธรรม ซึ่งผู้เรียบเรียงได้ประพันธ์เนื้อหาสาระจากวรรณกรรมอีสานเรื่อง ท้าวขูลู นางอั้ว ตอนนางอั้วผูกคอตายใต้ง่าจวงจัน (ภาคผนวก ก)

13. อักษรไทยน้อย

13.1 ความเป็นมาของตัวอักษรไทยน้อย

อักษรไทยน้อย มีรูปสัณฐานใกล้เคียงกับอักษรที่ใช้ในล้านช้าง หรือประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบันนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนักปราชญ์โบราณจึงได้ยืมชื่อไทยน้อยมาใช้เรียกชื่อรูปอักษรชนิดนี้ คำว่าไทยน้อยในที่นี้จึงหมายรวมถึงคนไทยที่อยู่ในดินแดนสิบสองปันนา ล้านช้าง และล้านนาด้วย

อักษรไทยน้อยเป็นอักษรกลุ่มตระกูลไทย มีรูปลักษณะคล้ายกับอักษรไทยสมัยพระยาลิไทมาก เมื่อเทียบรูปอักษรตัวต่อตัวพบว่ามีที่แปลกจากกันเพียงตัว ถ เท่านั้น เมื่อได้ศึกษาเปรียบเทียบรูปอักษรไทยน้อยกับอักษรไทยสมัยพระยาลิไท โดยละเอียดพบว่า มีลักษณะที่เหมือนกันมากด้วยความเหมือนกัน เช่นนี้จึงเป็นเหตุให้นักปราชญ์หลายท่านลงความเห็นถึงความเป็นมาของรูปอักษรไทยน้อยว่าน่าจะมีแนวทางการพัฒนามาสองทางด้วยกัน คือ

แนวทางที่ 1 มาจากสุโขทัยโดยตรงแล้วเข้าสู่อาณาจักรล้านช้าง แนวความคิดนี้ได้อ้างเอาศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่กล่าวไว้ว่า เมืองเวียงจันทน์ เวียงคำ เมืองชะวาหรือหลวงพระบางเป็นส่วนหนึ่งของของอาณาจักรสุโขทัยและเมืองบริวารอย่างล้านช้าง ซึ่งครอบคลุมถึงภาคอีสานของไทย ก็น่าจะใช้อักษรเหมือนหรือพัฒนาการมาจากอักษรเมืองแม่ นั่นคือ เมืองสุโขทัย และยิ่งในรัชสมัยพระยาลิไทพระองค์ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ นักศาสนา ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักฐานที่กล่าวไว้ในหนังสือตำนานมูลศาสนา ซึ่งกล่าวถึงการเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เรียบเรียงโดยพระเถระชาวเชียงใหม่ สองรูป คือ พระพุทธกาม และพระพุทธญาณเจ้า ในระหว่างปี พ.ศ. 2000 ถึง 2011 ในหนังสือตำนามูลศาสนาได้กล่าวถึงพระภิกษุชาวเมืองสุโขทัย 8 รูป ที่ไปศึกษาพระพุทธศาสนาสำนักพระอุทุมพรมหาสวามี แห่งเมืองพันตามลัทธิลังกาวงศ์แบบรามัญ ระยะเวลาดังกล่าวตรงกับรัชสมัยของพระยาลิไท ผู้ทรงกำลังฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ครั้นบรรดาพระเถระทั้ง 8 รูปกลับมาถึงเมืองสุโขทัยแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในรัฐที่เป็นรัฐของชนชาติไทย ดังนี้

“ล้ำขาเจ้าทั้ง 8 ตน เจ้าปิยทัสสีเอาศาสนาไปประดิษฐานในอโยธยา คนทั้งหลายก็ให้เป็น มหาสวามีนั้นแล เจ้าสุวัณณคีรีเอาศาสนาไปประดิษฐานในเมืองชะวาคนทั้งหลายก็ให้เป็นมหาสาวมีนั้นแล เจ้าเวสสภูเอาศาสนาไปประดิษฐานในเมืองน่าน คนทั้งหลายก็ให้เป็นมหาสวามีนั้นแล เจ้าอานนท์ก็ปฏิบัติอยู่ในป่ามะม่วงในเมืองสุโขทัยแทนที่เจ้าสุมนะนั้นแล เจ้าสุมนะเอาศาสนาไปประดิษฐานในเมืองเชียงใหม่นั้นแล เจ้าทั้งหลายคือ เจ้าพุทธสาคร 1 เจ้าเขมะ 1 เจ้าสัทธาติสสะ 1 นั้น ช่วยกันปฏิบัติอยู่ในเมืองกลางคือว่า 2 แควนั้นแล”

ข้อความในหนังสือตำนานมูลศาสนาที่ยกมานี้ กล่าวถึงพระยาลิไทยได้ส่งสมณะทูต คือ พระสุวัณคีรี ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองชะวาหรือหลวงพระบาง การที่พระสุวัณคีรีไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองหลวงพระบางสิ่งที่ท่านนำไปด้วยก็คือ คัมภีร์พระพุทธศาสนาดังนั้นคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็น่าจะบันทึกคัมภีร์ด้วยอักษรสุโขทัยหรืออย่างน้อยก็น่าจะมีรูปอักษรสุโขทัยสมัยพระยาลิไทปะปนไปด้วย ไม่ในส่วนที่บันทึกคัมภีร์ก็น่าจะเป็นส่วนที่ใช้เขียนอธิบายข้อความในคัมภีร์หรือนิทานชาดก นิทานพื้นบ้าน ความเห็นเช่นนี้ก็สอดคล้องกับหลักฐานจารึกลายเขียนสีแดง ที่ผนังถ้ำนางอัน ซึ่งห่างจากเมืองหลวงพระบางไปทางทิศตะวันตก 25 กิโลเมตร เป็นตัวแทนของอักษรพระยาลิไทที่เข้าไปสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง ในสมัยนั้นข้อความในจารึกนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความสั้น ๆ แต่ก็พอที่จะแสดงให้เห็นรูปสัณฐานของตัวอักษรได้เป็นอย่างดี

แนวทางที่ 2 การเข้ามาโดยทางอ้อม คือ การแพร่เข้ามาจากสุโขทัยผ่านเข้ามาอาณาจักรล้านนาก่อนแล้วจึงเข้าสู่อาณาจักรล้านช้างลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา จากข้อความตอนหนังในหนังสือมูลศาสนาระบุว่า เจ้าอานนท์ก็ปฏิบัติอยู่ในป่ามะม่วงในเมืองสุโขทัยแทนที่เจ้าสุมมะนั้นแล เจ้าสุมนะเอาศาสนาไปประดิษฐานในเมืองเชียงใหม่โพ้นนั้นแล

แนวทางที่ 2 นี้มีจารึกวัดแดนเมืองซึ่งระบุว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.2073 อันเป็นระยะเวลาที่ห่างกันมาก พบว่ามีอักขรวิธีของอักษรธรรมเข้าไปปะปนบ้าง พร้อมทั้งรูปอักษรมีลักษณะคล้ายรูปอักษรฝักขาม แต่รูปสัณฐานส่วนใหญ่ของตัวอักษรก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนักยังคงรูปสัณฐานพอให้สืบค้นไปหารูปอักษรสุโขทัยสมัยพระยาลิไทได้

เนื้อความที่ยกมานี้ก็สอดคล้องกับประวัติศาสตร์สมัยพระเจ้ากือนาแห่งอาณาจักรล้านนาในสมัยพระเจ้ากือนา พระองค์ได้ส่งสมณทูตมานิมนต์พระสุมนเถระจากอาณาจักรสุโขทัยสมัยพระเจ้าลิไทยสมัยพระยาลิไทยเข้าไปด้วย มีศิลาจารึกวัดพระยืน จังหวัดลำพูดที่ระบุว่าพระสุมนเถระได้สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ.1931 เป็นเครื่องยืนยัน และรูปอักษรที่จารึกไว้นี้ นักปราชญ์ทางด้านอักษรโบราณหลายท่านต่างมีความเห็นว่าเป็นอักษรต้นแบบของอักษรไทยฝักขามในภาคเหนือ นั่นคือ รูปสัณฐานและอักขรวิธีของอักษรยังคงรักษาลักษณะอักษรสมัยพระยาลิไทไว้ได้อย่างครบถ้วน ต่อมาภายหลังรูปอักษรพื้นเมืองที่เรียกว่าอักษรตัวธรรม อักษรยวน หรืออักษรตัวเมือง ได้เข้ามาปะปน หลักฐานจารึกที่ค้นพบในระยะหลังพบว่ามีมากขึ้นเรื่อย ๆจนมาเด่นชัดหรือกลายเป็นรูปอักษรอีกชนิดหนึ่ง คือ อักษรฝักขาม จารึกวัดสุวรรณวิหาร จังหวัดเชียงรายที่ระบุว่าสร้างเมื่อปี พุทธศักราช 1954 ต่อมา ในสมัยพระเจ้าติโลกราช การศาสนาและอักษรศาสตร์ของอาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรืองมากได้เริ่มมีการจารึกด้วยอักษรฝักขามและมากขึ้นในเวลาต่อมา

พระเจ้าติโลกราชครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ.1984-2031 พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองมาก พระภิกษุศึกษาเล่าเรียนภาษาบาลีจัดเจนในพระไตรปิฎก ต่อมาในสมัยพระเมืองแก้วปกครองอาณาจักรล้านนาระหว่างปี พ.ศ. 2037-2068 ในปี 2068 พระเมืองแก้วได้พระราชทานพระไตรปิฎก 60 คัมภีร์ พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้พระเทพมงคลเถระพร้อมพระภิกษุผู้ติดตามไปเผยแพร่ศาสนาที่อาณาจักรล้านช้าง ซึ่งตรงกับสมัยของพระโพธิศาลราช พระโพธิสาลราชได้อภิเษกกับพระราชธิดาของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ต่อมาพระโอรสของพระองค์ที่เกิดจากพระราชธิดาของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ คือ พระเจ้าไชยเชษฐาได้ครองเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.2091-2093 ได้กลับมาสู่ล้านช้างพร้อมทั้งนำเอาพระแก้วมรกต พระแทรกคำ และนักปราชญ์ราชบัณฑิตติดตามมาเป็นจำนวนมาก

จากการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้เห็นว่าตั้งแต่สมัย พระเมืองแก้วเรื่อยมาจนถึงสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรล้านนาและล้านช้างเป็นไปอย่างราบรื่น ต่างถ่ายโอนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน และวัฒนธรรมที่เด่นชัด คือ เรื่องของพระพุทธศาสนา อาณาจักรล้านนาได้ถ่ายโอนในเรื่องของศาสนา พระคัมภีร์ทางศาสนาพร้อมทั้งส่งผู้นำทางศาสนาไปเผยแพร่อีกด้วย จากจุดนี้เองทำให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในสิ่งที่ไปควบคู่กับคัมภีร์ศาสนานั่นคือ เรื่องตัวอักษรที่จดจารลงไปในใบลาน แน่นอนว่ารูปอักษรที่ใช้เป็นหลักในการจดจารก็คือ รูปอักษรธรรมล้านนา แต่นอกเหนือจากอักษรธรรมล้านนาแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าอักษรฝักขามที่ใช้อย่างกว้างขวางในเมืองล้านนาเชียงใหม่สมัยนั้นจะแพร่กระจายไปพร้อมกับเอกสารทางพุทธศาสนา และวิชาการในครั้งนั้นด้วย

จากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่กล่าวไว้ว่า เมืองเวียงจันทน์ เวียงคำ เมืองชะวาหรือหลวงพระบางเป็นส่วนหนึ่งของของอาณาจักรสุโขทัยและเมืองบริวารอย่างล้านช้าง ซึ่งครอบคลุมถึงภาคอีสานของไทย ก็น่าจะใช้อักษรเหมือนหรือพัฒนาการมาจากอักษรเมืองแม่ นั่นคือ เมืองสุโขทัย และยิ่งในรัชสมัยพระยาลิไทพระองค์ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ นักศาสนา (ในหนังสือของ อดุลย์ ตะพัง, 2543)

ซึ่งจากข้อความข้างต้น อาจารย์ ดร.สุเนด โพทิสาน ในเอกสารการสอนวันที่ 23 มกราคม 2559 เรื่องประวัติศาสตร์ภาษาลาว-อักษรลาว มีความเห็นต่างว่า บริเวณลุ่มน้ำโขงในอดีตยังใช้อักษรขอมและมอนมาบันทึกเรื่องลาวของตนเองอยู่ และไทยสยามยังใช้อักษรเขมรอยู่เมื่อสมัย พ.ศ.1700 รวมถึงในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็ยังใช้อักษรเขมรด้วยเช่นกันเพราะในช่วงนั้นยังไม่มีอักษรไทยสยาม และจากการศึกษาของนักอักขระวิทยาพบว่า อักษรลาวได้พัฒนามาก่อนอักษรไทยสยามพระยาลิไทแห่งสุโขทัย (พ.ศ.1899-1919) ดังเห็นได้จากจารึกที่เขียนด้วยสีที่ฝาถ้ำนางอัน เมืองหลวงพระบาง หรือศิลาจารึกพระธาตุฮาง เมืองท่าแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ปี 1350 พ.ศ.1893 ก่อนอาณาจักรล้านช้าง ที่มีรูปแบบตัวอักษรและอัครวิธีในยุคของพระยาลังธิราช ปี ค.ศ.1271

13.2 อักขรวิธีอักษรไทยน้อย

อักษรไทยน้อย หรืออักษรลาวเดิม เป็นอักษรที่นิยมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคดีโลกโดยเฉพาะกฎหมาย พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ หรือวรรณกรรมนิทานพื้นบ้าน ไม่นิยมเขียนเรื่องเกี่ยวกับคดีธรรม โดยเฉพาะเรื่องที่เขียนด้วยภาษาบาลี เพราะมีตัวอักษรน้อยไม่พอต่อการเขียน แต่นิยมเขียนภาษาถิ่น (ภาษาลาวและภาษาไทยถิ่นอีสาน) ซึ่งจะมีพยัญชนะที่ตรงกับเสียงภาษาถิ่นเท่านั้น อักขรวิธีของอักษรไทยน้อยส่วนมากจะเหมือนกันกับอักขรวิธีของไทยปัจจุบันและอักขรวิธีลาว (เพราะอักษรไทยน้อยเป็นต้นแบบของอักษรลาว) จะแตกต่างตรงที่มีอักขรวิธีอักษรธรรมปะปนอยู่บ้าง การใช้สระเอียที่มีตัวสะกดจะใช้เชิง ย ตัวเดียว หรือการใช้ตัวเฟื้องในอักษรธรรมมาประสมกับพยัญชนะของอักษรไทยน้อย เป็นต้น โดยอักขรวิธีของอักษรไทยน้อยจะวางพยัญชนะต้นไว้บนบรรทัด และวางสระไว้รอบพยัญชนะต้น คือด้านหน้า ด้านหลัง ด้านบน ด้านล่างเหมือนอักขรวิธีไทยปัจจุบัน พยัญชนะตัวสะกดก็วางไว้บนบรรทัดเดียวกันกับพยัญชนะ(ยกเว้น ตัว ย สะกด) ส่วนพยัญชนะตัวควบกล้ำ จะวางไว้ใต้บรรทัด

13.3พยัญชนะอักษรไทยน้อย

พยัญชนะเดี่ยวอักษรไทยน้อยมี 27 รูป

13.4 พยัญชนะควบกล้ำ

พยัญชนะควบกล้ำ หรือพยัญชนะตัวนำและพยัญชนะตัวตามที่ปรากฏมากที่สุดมี 6 รูป คือ เมื่อพยัญชนะตัวตาม ตามหลังพยัญชนะตัวนำ มักจะเปลี่ยนรูปโดยตัวตามจะใช้ครึ่งตัว (น และ ม) หรือใช้ตัวเฟื้องของอักษรธรรม (ย และ ล)

13.5 หลักการเขียนพยัญชนะอักษรไทยน้อย

การเขียนอักษรไทยน้อยโดยทั่ว ๆ ไปนั้น นิยมเริ่มเขียนตั้งแต่หัวตัวอักษรเหมือนกับอักษรไทย แต่ต่างกันที่อักษรไทยน้อยนิยมเขียน ใต้เส้นบรรทัดซึ่งแตกต่างกับการเขียนอักษรไทยในปัจจุบันที่เขียนบนเส้นบรรทัด

13.6 สระ

สระอักษรไทยน้อยใช้เขียนไว้รอบพยัญชนะตัวเต็ม คือ ด้านหน้า เรียกว่า สระหน้า ด้านหลัง เรียกว่า สระหลัง ด้านบน เรียกว่า สระบน ด้านล่าง เรียกว่า สระล่าง เหมือนสระอักษรไทยปัจจุบัน มี 23 รูป

13.7 ตัวสะกด

ตัวสะกดในอักขรวิธีอักษรไทยน้อยนั้น นิยมสะกดด้วยพยัญชนะเต็มโดยเขียนไว้บรรทัดเดียวกันกับพยัญชนะต้น โดยมีตัวสะกด 8 เหมือนอักขรวิธีภาษาไทยปัจจุบัน

13.8วรรณยุกต์

วรรณยุกต์ในอักษรไทยน้อยไม่มีรูปเหมือนกับอักษรธรรมอีสาน แต่มีเสียงวรรณยุกต์ครบทั้ง 5 เสียง เหมือนภาษาไทย โดยที่ผู้อ่านต้องฝันหาเสียงเอาเองตามความหมายของประโยคหรือข้อความนั้นๆ เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา เหมือนกันกับอักษรธรรมอีสานทุกประการ (แต่อักษรลาวซึ่งพัฒนาจากอักษรไทยน้อยไปเป็นอักษรประจำชาติได้เพิ่มวรรณยุกต์เหมือนอักขรวิธีไทย และปรับปรุงพยัญชนะบางตัวเพื่อให้สะดวกแก่การพิมพ์)

13.9วิธีประสมอักษร

วิธีประสมอักษรของอักษรไทยน้อยเหมือนกับอักขรวิธีภาษาไทยปัจจุบัน คือ วางสระไว้รอบพยัญชนะต้น ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านล่าง และด้านบน พยัญชนะตัวสะกดก็เขียนไว้บนบรรทัดเดียวกันกับพยัญชนะต้น โดยใช้พยัญชนะเต็ม (ยกเว้น ตัว ย สะกดที่ใช้ตัวเฟื้อง ย) ส่วนพยัญชนะควบกล้ำจะใช้พยัญชนะตัวเฟื้องของอักษรธรรมอีสานมาปะปนบ้าง และการใช้สระเอียที่มีตัวสะกดจะใช้เชิง ย ตัวเดียว เหมือนอักขรวิธีอักษรธรรมอีสาน




หมายเหตุ

ตัวอย่างอักษรไทยน้อย ซึ่งผู้เรียบเรียงได้นำเนื้อหาวรรณกรรมอีสาน เรื่อง พระเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ 9 กัณฑ์มัทรี มาลำเป็นเทศน์แหล่อีสาน โดยคัดลอกจาก สำนักเทศน์แหล่อีสาน 3 ธรรมาสส์ วัดเซกาเจติยาราม (พระอารามหลวง) ต.เซกา อ.เซกา จ.บึงกาฬ (ภาคผนวก ข)

14. ปัญหาของการสูญเสียภาษา

14.1 เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาษา

1) การเปลี่ยนแปลงด้านเสียง

อาจจะเป็นเสียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ การลงน้ำหนัก หรือโครงสร้างของพยางค์ ได้แก่ การสูญเสียง การเพิ่มเสียง การเปลี่ยนเสียง การรวมเสียง และการแยกเสียง

2) การเปลี่ยนแปลงด้านคำศัพท์

คือ การเปลี่ยนแปลงคำ ถ้อยคำ สำนวน การเปลี่ยนแปลงศัพท์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การสูญศัพท์ และการเพิ่มศัพท์

3)การเปลี่ยนแปลงด้านไวยากรณ์

หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของคำ ระเบียบของถ้อยคำ (บุรุษ พจน์ เพศ มาลา กาล) และการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง

4) การเปลี่ยนแปลงด้านความหมาย

ได้แก่ ความหมายแคบเข้า ความหมายกว้างออก และความหมายย้ายที่

14.2 ปัญหาการใช้ภาษาไทยของวัยรุ่น

วัยรุ่นไทยสมัยนี้นิยมใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อการติดต่อที่รวดเร็วและเนื่องจากความเร็วในการสื่อสารและความยากลำบากในการพิมพ์ตัวอักษรทำให้วัยรุ่นทำให้คำเหล่านั้นสั้นลงจนกลายเป็นภาษาวิบัติ

ภาษาวิบัติ เป็นคำเรียกของการใช้ภาษาไทยที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ตรงกับกับหลักภาษาในด้านการสะกดคำคำว่า 'ภาษาวิบัติ' ใช้เรียกรวมถึงการเขียนที่สะกดผิดบ่อย รวมถึงการใช้คำศัพท์ใหม่หรือคำศัพท์ที่สะกดแปลกไปจากเดิม คำว่า "วิบัติ" มาจากภาษาบาลี หมายถึง พินาศฉิบหาย หรือความเคลื่อนทำให้เสียหาย

ในประเทศไทย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติทำให้ เด็กไทย ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันได้มีการใช้คำว่าภาษาอุบัติแทนที่ภาษาวิบัติที่มีความหมายในเชิงลบ โดยภาษาอุบัติ หมายถึง ภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตอบสนองวัฒนธรรมย่อย เช่นเดียวกับภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศัพท์สแลง

ทั้งนี้ การเปิดใช้พจนานุกรมเพื่อค้นหาคำที่ควรใช้ให้ถูกต้องอาจเป็นทางเลือกที่ดี ทางบัณฑิตยสถานได้กำหนดคำที่ใช้อย่างเป็นทางการหรืออยู่ในรูปแบบมาตรฐาน หากใช้ผิดอาจกลายเป็นคำวิบัติได้ ซึ่งคำวิบัติไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของภาษาแต่อย่างใด เป็นเพียงการใช้ภาษาให้แตกต่างจากปกติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจใช้จากรุ่นสู่รุ่นไปจนกว่าคำวิบัตินั้นจะหายไปจากสังคมนั้น ๆ

ภาษาวิบัติเป็นการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่ผู้ใหญ่ในสังคมไม่ชอบ แม้ภาษาจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้ภาษาเปลี่ยน การให้เหตุผลว่าภาษาไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นภาษาของชาติที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และปัญหาของภาษาไทยในปัจจุบัน คือ การใช้ภาษาไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ไวยากรณ์ การใช้ศัพท์หรือการเรียบเรียง เป็นต้น และการไม่ศึกษาภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เองที่จะเป็นเหตุให้เกิด "ภาษาวิบัติ"

ผู้เรียบเรียงขอยกกรณีตัวอย่างที่เป็นข่าว ดังนี้

“เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ช่วงที่มีผู้สร้างภาพยนตร์ไปตั้งเป็นชื่อ หอแต๋วแตกแหวกชิมิ กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย ระบุ คำว่า "ชิมิ" หากเป็นการใช้ภายในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นการล้อกันเล่นซึ่งเป็นปกติของภาษา และจะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่การนำไม่ใช้เชิงสาธารณะดังที่ไปตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์ ถือว่าไม่เหมาะสมนัก เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 กนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า สถานการณ์ภาษาไทยในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นวิกฤต และวัยรุ่นใช้ภาษาแช็ตเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต และสื่อสารภายในวัยรุ่นเท่านั้น ยังไม่พบนำมาใช้ในการเขียนหรือการทำงานแต่อย่างใด”

ตัวอย่าง คำสะกดผิดได้ง่าย เป็นรูปแบบของคำที่มีการสะกดผิด ซึ่งเกิดจากคำที่มีการผันอักษรและเสียงไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์

1. สนุ๊กเกอร์ (สนุกเกอร์)

2. โน๊ต(โน้ต)

คำที่สะกดผิดเพื่อให้แปลกตา

1. หน่องเตย(ใบเตย อาร์ สยาม)

2. นู๋(หนู)

3. ชะมะ,ชิมิ (ใช่ไหม)

4. ช่ะ (ใช่ปะ, ใช่เปล่า, ใช่หรือเปล่า ตามลำดับ)

5. มว๊ากกกก (มาก)

6. ป่าว , ป่ะ, ปล่าว(เปล่า)

7. คัย,ไค,ครัย (ใคร)

8. เตง,ตะเอง (ตัวเอง)

9. เก๊า, เก๊าท์, (เขา)

10. เทอ,เทอร์ (เธอ)

11. ชั้ล , ช้าน (ฉัน)

12. ค้ะ , คร๊ , คร้ะ , ค่า (ค่ะ)

13. คร้าบ , คับ , คัฟ , คร๊าฟ (ครับ)

14. บร๊ะ (พระ)

15. เกรีeu (เกรียน)

16. uou (นอน)

17. Inw (เทพ)

18. วาน (วัน)

19. จิง (จริง)

คำที่สะกดผิดเพื่อแสดงอารมณ์

1. เป็นอะไร (เปงราย, เปนรัย, เปงรัย)

2. ทำไม (ทามมาย, ทามมัย)

3. จังเลย (จังรุย, จังเยย, จุงเบย)

4. บอกตรง ๆ (บ่องตง)

5. นิดนึง (นิสนึง, นิสนุง)

6. คือแบบ(คีบับ, เคบับ)

7. น่ารำคาญ (น่ามคาน)

8. น่ารักอะ (น่าร๊อคอ้า)

9. จริง ๆ (จีจี,จิงๆ)

10. สุด ๆ (ฝุด ๆ)

11. ไม่รู้ (มะรุ)

12. อะไรหรือ (ไรเหรอ, ไรหรา, ไรเหลอ, ไรหรอ, อาไยหยอ)

คำเลียนเสียง โดยส่วนใหญ่จะเพิ่มทัณฑฆาต หรือซ้ำตัวอักษร

1. อ๊าย (แอร๊ยย, อร๊ายยย, อั้ยยะ)

2. กรี๊ด (กี๊สส)

3. โฮก(โฮกกก)

4. โอ้ (โอ้วส์)

5. มัน(มันส์)

ภาษาเหล่านี้เป็นภาษาที่วัยรุ่นทำให้เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยจนอาจจะทำให้ไม่มีเค้าโครงเดิมของภาษาไทยอีกต่อไป ฉะนั้นแล้ววัยรุ่นไทยควรช่วยกันถนอมและรักษาภาษาไทยเอาไว้ให้เหมือนอย่างที่มันเป็นมาตลอด

15. แนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาถิ่น

15.1.1 แนวทางในการอนุรักษ์ภาษาถิ่น

1) ควรนำภาษาท้องถิ่นเข้าสู่ระบบโรงเรียนให้เข้ากับแต่ละพื้นที่ เพื่อส่งเสริมภาษาถิ่นในด้านการเรียนการสอนโดยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น ภาษา ท่าทาง สำนวน หรือแม้กระทั่ง วัฒนธรรมท้องถิ่น ก็จะช่วยปลูกฝังให้เด็กสามารถเรียนรู้ รับรู้ การมีอยู่ คุณค่าและความสำคัญของภาษาถิ่น

2) ควรการปลูกฝังความความรู้ ความเข้าใจภาษาถิ่นตั้งแต่เด็กโดยการนำภาษาถิ่นไปใช้ในการเรียนการสอน

3) ควรการปลูกฝังให้เด็กมีความกล้าที่จะแสดงออก ในการพูดภาษาถิ่น

4) ควรมีการส่งเสริม สนับสนุน ภาษาถิ่น โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย

5) ควรมีการรณรงค์ และ ส่งเสริมการใช้ภาษาถิ่นอย่างแพร่หลาย

15.1.2 แนวทางในการฟื้นฟูภาษาถิ่น

1) ช่วยกันรณรงค์ ส่งเสริมให้ เด็กวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน เห็นว่าภาษาท้องถิ่นมีความสำคัญ และมีคุณค่า เป็นภาษาที่สวยงาม เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและมนุษยชาติ ที่เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษาเพื่อให้ภาษาถิ่นคงอยู่ต่อไป โดยเริ่มจากสถาบันครอบครัว เพราะเด็กบางคนพูดภาษาถิ่นแต่ในบ้านหรือในครอบครัว แต่พอออกไปนอกบ้านไปอยู่ในสังคมเมือง สังคมใหญ่ๆ ก็จะพูดภาษากลาง จนในที่สุดก็จะลืมและละเลยภาษาถิ่นไป เพราะพูดภาษากลางจนเคยชิน จะหลงเหลือก็แค่สำเนียงเล็กๆน้อยๆ

ดังนั้นสถาบันครอบครัวเป็นสิ่งแรกที่ควรปลูกฝังให้เด็กเห็นว่าภาษาถิ่นมี ความสำคัญอย่างไร และปลูกฝังให้เด็ก ไม่อายกล้าที่จะพูดภาษาถิ่นในสังคม หรือในครอบครัว ส่วนสถาบันที่สองคือคนในสังคม ที่ไม่ควรทำรังเกียจหรือเห็นว่าคนพูดภาษาถิ่นเป็นสิ่งแปลกประหลาด เราควรยกย่องด้วยซ้ำ เพราะ ภาษาถิ่นมีคุณค่าควรแก่การรักษาไว้

2) กระทรวงศึกษาธิการควรมีนโยบายอย่างเริ่งด่วนให้มีการบรรจุหลักสูตรภาษาถิ่นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนภายในโรงเรียน โดยเริ่มตั้งแต่การปลูกฝังให้เด็กเล็กๆ ตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม จนถึง มหาลัย ซึ่งเมื่อโตแล้ว เด็กสามารถคิดเองเป็นและ สามารถรับรู้ได้ว่า ควรดูแลรักษา ควรปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้ภาษาถิ่นของเราหายไป อย่างไร้ค่า ไร้ความหมาย

3)นักวิชาการควรมีการศึกษาวิจัยภาษาถิ่นอย่างจริงจังเพื่อนำมาใช้ในสังคมอย่างเร่งด่วน เพราะภาษาถิ่นเป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งที่ควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะการศึกษาภาษาถิ่นจะช่วยให้เข้าใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มชนได้ทางหนึ่ง ภูมิปัญญาของชาวบ้านด้านต่างๆ เช่น เพลงกล่อมเด็ก นิทาน ปริศนาคำทาย ชื่อบุคคล ชื่อพืชและชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของเครื่องใช้ ชื่ออาหารเครื่องดื่ม บทสวดในพิธีกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารถ่ายทอดทั้งสิ้น

16.สรุป ภาษาถิ่นอีสาน

จากการที่ผู้เรียบเรียงได้ศึกษาภาษาถิ่นอีสานทั้งประวัติความเป็นมา และอักษรที่เป็นต้นตอของอีสาน ก็ยิ่งทำให้ทราบว่าอักษรถิ่นอีสานกำลังเริ่มมีการฟื้นฟูด้วยระบบของรัฐบาล ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า อักษรถิ่นอีสานเป็นภูมิปัญญาดั่งเดิมของคนอีสาน ได้แก่ อักษรไทยน้อย และอักษรธรรม ซึ่งจะเห็นได้จากในปี พ.ศ. 2555 กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรม ได้มีพิธีประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2555 จำนวน 5 รายการด้วยกัน คือ 1) อักษรธรรมล้านนา 2) อักษรไทยน้อย 3) อักษรธรรมอีสาน 4) ภาษาชอง 5) ภาษาญัฮกุร และ 6) ภาษาก๋อง ซึ่งในรายการขึ้นทะเบียนมรดกดังกล่าวได้มี อักษรอีสานได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเรียบร้อยด้วยเช่นกัน คือ อักษรไทยน้อย และอักษรธรรมอีสาน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งวัตถุประสงค์ของการขึ้นทะเบียนในครั้งนี้ ก็เพราะว่า ภาษาและอักษรเป็นมดรกทางภูมิปัญญาของชุมชน เสี่ยงต่อการสูญหาย หรือเผชิญกับภัยคุกคาม เป็นต้น

ถึงแม้ว่าอักษรอีสานได้ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาแล้วก็ตาม ถ้าหากยังไม่นำมาปฏิบัติใช้กันให้แพร่หลาย ประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็คงอาจจะไม่เต็มที่ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนควรเพิ่มบทบาทด้านอักษรประจำท้องถิ่นอีสาน คือ อักษรไทยน้อย และอักษรธรรมอีสาน ให้ยอมรับกันได้แบบสากล เช่น มีการบรรจุลงในหนังสือเรียนของนักเรียนชั้นประถม มัธยม ให้เป็นวิชาบังคับเรียน เพียงเท่านี้ภาไทยน้อย และภาษาธรรมอีสาน ก็จะยังคงอยู่และยั่งยืนสืบไป

บรรณานุกรม
  • ธวัช ปุณโณทก. (2537). วรรณกรรมภาคอีสาน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • ______. (2531). ภาษาถิ่นของไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • นิทรรศการ. (2526). สัญจรฉลอง 700 ปี ลายสือไทย พุทธศักราช 2526. กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

  • ป๋วย อึ้งภากรณ์. (2514). ภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

  • พจนี ศิริอักษรสาสน์. (2545). ภาษาถิ่นของไทย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • เพ็ญพักตร์ ลิ้มสัมพันธ์. (2527). อักษรธรรมอีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 2. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร.

  • มนัส สุขสาย. (2543). ตำราเรียนอักษรโบราณอีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กาฬสินธุ์ : มูนมังไทยอีสาน.

  • เลนสกี, เกอร์ฮาร์ด. (2523). มนุษย์กับสังคม. (ยุทธ ศักดิ์เดชยนต์, ผู้แปล). กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

  • สวัสดิ์ วงศ์วิเศษ. (2518). ตำราเรียนอักษรโบราณ. กรุงเทพฯ : วงษ์สว่าง.

  • สำรอง กาญจน์จารุ. (2527). เมื่อผมเรียนภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ: พุทธจักร.

  • อดุลย์ ตะพัง. (2543). ภาษาและอักษรอีสาน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • อุทัย หิรัญโต. (2526). สารานุกรมศัพท์ทางสังคมวิทยามานุษยวิทยา. กรุงเทพฯ:โอเดียนสโตร์.

Comments


bottom of page