top of page

ความเชื่อเกี่ยวกับหมอลำทรง

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย ศ.สำเร็จ คำโมง
ความเชื่อความศรัทธาของมนุษย์เป็นรากฐานทําให้เกิดพิธีกรรมต่าง ๆ ส่วนใหญ่ของพิธีกรรมที่ประกอบ ขึ้นมักเกี่ยวข้องกับการแสดงความเคารพบูชา การเซ่นสรวงบวงพลีการอ้อนวอนขอขมาลาโทษและการขอพร วอนไหวเพื่อสําเร็จกิจที่ตนประสงค์


ความเชื่อความศรัทธาของมนุษย์เป็นรากฐานทําให้เกิดพิธีกรรมต่าง ๆ ส่วนใหญ่ของพิธีกรรมที่ประกอบ ขึ้นมักเกี่ยวข้องกับการแสดงความเคารพบูชา การเซ่นสรวงบวงพลีการอ้อนวอนขอขมาลาโทษและการขอพร วอนไหวเพื่อสําเร็จกิจที่ตนประสงค์ ด้วยเหตุนี้ การประกอบพิธีกรรมเกือบทั้งหมดจึงหนีไม่พ้นจากการนําเอา ดนตรีเข้ามาบรรเลงสนับสนุน เพราะเสียงดนตรี จะช่วยเติมความงดงามอ่อนหวานให้แก่เสียงอ้อนวอนและคํา บวงสรวงเซ่นไหว้นั้น

มนุษย์โลกตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ถือว่าเสียงดนตรีเป็นเสียงศักดิ์สิทธิ์ มีความลึกลับ สามารถใช้เรียก เชิญสิ่งดี ๆ มา หรือขับไล่สิ่งชั่วร้ายหนีได้ ดนตรีจึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา เรียกว่า “Ritual music และเป็นเครื่องสัญญาณสื่อสารระหว่างกันและกันในกลุ่มชนเดียวกัน ชนชาติที่มีอารยะธรรมเก่าแก่ล้วนมีดนตรี แบบRitual music ทั้งสิ้น เช่น พวกอียิปต์โบราณ พวกซีเรียน พวกกรีกโบราณ และพวกฮินดู เป็นต้น

ชาวไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกกลุ่มชน ก็รู้จักนําดนตรีเข้ามาใช้บรรเลงร่วมในพิธีกรรมต่าง ๆ มา ตั้งแต่ครั้งโบราณแล้วเช่นกัน ตัวอย่างเช่น กลุ่มชนเผ่าผู้ไทยใช้แคนและหรือซองไม้ไผ่บรรเลงสนับสนุนการ ขับร้องทํานองลําเหยาในพิธีเหยา กลุ่มชนเผ่าไทยเขมรใช้ปี่ไฉนกับกลองกันตรึมบรรเลงในพิธี โจลมาม็อด ( เข้าผี มด ) และกลุ่มชนเผ่าไทยลาวใช้แคนบรรเลงสนับสนุนเสียงลําในพิธีกรรมลําทรง ลําผีฟ้า ฯลฯ เป็นต้น การใช้ เครื่องดนตรีบรรเลงสนับสนุนการขับร้องและ การอ้อนวอนในพิธีกรรมนั้น ก็มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันกับที่คน สมัยโบราณเคยทํามาแล้ว กล่าวคือ มีความเชื่อในเสียงดนตรีว่าสามารถใช้สื่อสารกับสิ่งลึกลับ สามารถเรียกเชิญ สิ่งดี ๆ และขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง

ความหมายของหมอลำทรง
  • ลําทรง (นางเทียมก็เรียก) หมายถึง พิธีกรรมที่ใช้เสียงแคนและเสียงขับลําอัญเชิญเทพ หรือวิญญาณ ศักดิ์สิทธิ์มาเทียมร่างทรง คือตัวหมอลําเอง เพื่อให้เทพช่วยบอกสาเหตุแห่งการเจ็บไข้แลชี้ทางบําบัดรักษา

  • แม่เมือง นางจําปาทอง หมายถึง แม่หมอที่เป็นหมอลําเจ้าพิธีกรรม

  • สงกา หมายถึง เทพผู้ใหญ่องค์หนึ่งที่มีฤทธิ์อํานาจบําบัดรักษาไข้ได้

  • สิมมาทอง หมายถึง นครใหญ่ในมิติอื่นที่แม่หมอลํารู้และเห็นในนิมิต นางจําปาทองเป็นเจ้าหญิงแห่ง นครนี้ และท้าวสงกาก็เป็นเจ้าชายแห่งนครนี้

  • แม่ศรีเมือง หมายถึง เจ้าของไข้ที่เป็นผู้หญิง อาจเป็นมารดา หรือภรรยา หรือพี่น้อง หรือลูกสาวของคนไข้

  • พ่อศรีเมือง หมายถึง เจ้าของไข้ที่เป็นผู้ชาย อาจเป็นบิดา หรือสามี หรือพี่น้อง หรือลูกชายของคนไข้

  • คนทรง หมายถึง คนไข้

  • หมอม้า หมายถึง หมอแคน

  • คาย หมายถึง เครื่องเซ่นต่าง ๆ ในพิธีกรรม

  • ขันขวัญ หมายถึง วันที่ใช้ในขั้นตอนเรียกขวัญของผู้ป่วย ในขันต้องบรรจุวัสดุต่างๆตามที่เจ้าพิธีกําหนด มีไข่ไก่ต้มสุก ปั้นข้าวเหนียวนึ่งสุก กล้วยน้ำว้าสุก และฝ่ายผูกแขน เป็นต้น

พิธีกรรมลําทรง

พิธีกรรมลําทรง” เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พิธีลงนางเทียม" เป็นพิธีกรรมที่ชาวไทยอีสานใช้ บําบัดรักษาไข้ ตามคติความเชื่อเรื่อง “ผี” โดยเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธีแพทย์ แผนปัจุบันแล้วไม่หายขาด หรือไม่มีทางรักษาได้เลยนั้น เป็นอาการที่ “ผี " กระทํา จึงต้องหันมารักษาด้วย วิธีกรรมลําทรงหรือลงนางเทียม ในพิธีกรรมลําทรงนั้นชาวไทยอีสานเชื่อว่าผีที่เข้ามากระทําให้คนเจ็บป่วยไข้ คือ ผีที่สิงสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ในโลกมนุษย์มี ผีเมือง ผี ผีป่า ผีนา (ผีตาแฮก) ผีเสื้อ ผีเสื้อน ผีบ้าน ผีเฮือน ผีปู่ตา ผีน้ำ เป็นต้น

  • ผีเมือง สถิตอยู่ที่ศาลมเหสักข์ มเหศักดิ์หลักเมือง

  • ผีภู สถิตอยู่ที่ภูเขา

  • ผีป่า สถิตย์อยู่ที่ป่า

  • ผีนา หรือผีตาแฮก สถิตย์อยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ หรือจอมปลวกใหญ่ในที่นาทุกๆ

  • ผีเชื้อ คือผีที่เป็นผีบรรพบุรุษของแต่ละครอบครัว

  • ผีบ้าน คือผีประจำหมู่บ้าน

  • ผีเฮือน คือ ผีที่สถิตย์อยู่ในอาคารบ้านเรือนแต่ละหลัง

  • ผีปู่ตา คือผีบรรพบุรุษของชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันซึ่งถือว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน

  • ผีน้ำ คือ ผีที่ปกครองดูแลสายน้ำและแหล่งน้ำต่างๆ (ประมวล พิมพ์เสน, 2540)

ผีที่เอ่ยนามมาทั้งหมดนี้เป็นผีดี แท้ที่จริงนั้นเชื่อว่าเป็น “เทพ” แต่ก็เรียกว่า “ผี” เพื่อจะได้ฟังแล้ว น่ากลัว โดยปกติจะปกป้องรักษาผู้เป็นเจ้าของที่ทางที่ผีเหล่านี้สถิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของที่ทางที่ ประพฤติอยู่อยู่ในศีลในธรรม ในฮีต จารีต ) ในคอง ( ขนบประเพณี และรู้จักนอบน้อม ทําการเซ่นสรวงบวง พลี แต่การที่ผีเหล่านี้มากระทําให้ผู้คนเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นเพราะคนๆนั้นหรือผู้เกี่ยวข้องกับคนๆนั้น ประพฤติผิด จึงทําการลงโทษ การจัดพิธีกรรมลําทรงจึงเป็นการจัดพิธีเพื่อขอขมาลาโทษผีที่กระทําให้ป่วย นั้นๆ เป็นสําคัญ

องค์ประกอบของพิธีกรรมลําทรง

การที่จะจัดให้มีพิธีกรรมลําทรงได้นั้น ต้องมีส่วนขององค์ประกอบ 10 ส่วน ดังนี้

  • ผู้ป่วย ร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ขอรับการบําบัดรักษาด้วยพิธีกรรม ลําทรงนั้น เคยเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันมาแล้วทั้งสิ้น บางรายก็หายขาดแล้ว บางรายก็ยัง ไม่หายขาด และบางรายอาการหนักจนแพทย์แผนปัจุบันบอกว่าไม่มีทางรักษา การตกลงใจใช้พิธีกรรมลําทรง ช่วยบําบัดรักษาเพิ่มเติมนั้นเป็นเพราะ “ ความเชื่อ ” เป็นทุนเดิมตามขนบประเพณีที่สืบทอดกันมาในสังคม พื้นถิ่น บางรายไม่ได้ป่วยอะไรก็ยินยอมเข้าเป็นบริวารลําทรงด้วยการเข้าร่วมพิธีกรรมด้วยความเชื่อว่า “ ผี ฯ หรือ “เทพ” จะได้ปกปักรักษาป้องกันไม่ให้ป่วยไข้ได้ ส่วนรายที่มีอาการหนักแล้วจึงเข้ารับการรักษานั้น เป็นเพราะญาติพี่น้องเห็นว่าพิธีการลําทรงเป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยบําบัดรักษา ซึ่งพอจะมีความหวังได้หายจาก ป่วยไข้อยู่บ้าง ดีกว่าปล่อยให้คนไข้โดดเดี่ยวนอนรอวันตาย

  • ผู้ป่วย” เมื่ออยู่ในพิธีกรรมลําทรง หมอลําทรงเรียกเขาว่า “ผู้ทรง” ( เป็นบุรุษที่ 3 ) และเรียกผู้ป่วยหญิง เป็นบุรุษที่ 2 ว่า “บัวนาง” เรียกผู้ป่วยชายเป็นบุรุษที่ 2 ว่า “อ้ายพี่” ส่วนหมอลําจะเรียกตัวเองเป็นบุรุษที่ 1 ว่าด้วยชื่อของเทพ หรือผู้ที่ลงมาเข้าทรงในตัวหมอลําเอง ซึ่งมีอยู่หลายชื่อ เช่น จําปาทอง กุมภัณฑ์ ดาวเรือง ปู่องค์หลวง ขุนแผน ญาพ่อฟ้าหยาด ฯลฯ เป็นต้น

  • เจ้าของไข้ คือ พ่อ แม่ ญาติพี่น้องหรือลูกเต้าเหล่าหลานของผู้ป่วยที่ไปเชิญหมอลําทรงมาทําพิธีกรรม เมื่ออยู่ ในพิธีกรรมหมอลําจะเรียกเจ้าของไข้ที่เป็นชายว่า “พ่อศรีเมือง” ที่เป็นหญิงว่า “แม่ศรีเมือง

  • เจ้าพิธีกรรมลําทรงหรือหัวหน้าหมอลํา มีทั้งชายและหญิง คือ หมอลําผู้ที่เป็นร่างทรง หรือร่างเทียม บางคณะ เรียกหัวหน้าว่า “ครูบา” บางคณะเรียกว่า “แม่หมอ” หรือ “พ่อหมอ” ตามเพศ ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าคณะลําทรง หรือครูบาได้นั้น ต้องได้รับการมอบหมาย ให้สืบทอดพิธีกรรมลําทรงมาจาก “เทพ” เท่านั้น ไม่ใช่มาจากการไปฝึกหัดลําแต่อย่างใด ข้อกำหนด คือ ผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะลําทรงเป็นผู้ที่เคยเจ็บป่วยหนักถึงขั้นปางตาย รักษาเยียวยา มาแล้ว ทั้งทางแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน เปลี่ยนหมอ เปลี่ยนโรงพยาบาลมาแล้วเป็นจํานวนมาก เสียเวลานานหลายปี และเสียค่าใช้จ่ายจํานวนนับหมื่นก็ไม่หายจากโรค ครั้นได้รับการรักษาด้วยวิธีกรรมลํา ทรงจึงได้พบว่า สาเหตุแห่งการเจ็บป่วยนั้นเป็นเพราะเทพ หรือผีมีความประสงค์ที่จะให้เขาเป็นผู้สืบทอดมรดก พิธีกรรมลำทรง เพื่อจักเป็นหมอรักษาไข้ให้แก่มวลชนต่อไป ไม่นานถัดจากวันนั้นเขาก็หายจากไข้ จึงได้ตําแหน่งให้ด้วยการจัดทิ้งบูชาเทพหรือผีให้ ทิ้งนั้นคลายหิ้งพระ แต่บนทิ้งไม่มีพระ มีแต่จานใส่ดอกไม้และ เทียนบูชาเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงว่าเมื่อใดที่ครูบากราบไหว้บูชาและอัญเชิญ เทพหรือผีลงมาทันที ส่วน ความสามารถในการลําและฟ้อนนั้น เทพหรือผีเป็นผู้บอกให้ขณะอยู่ในพิธีกรรม ไม่ได้ฝึกลําฝึกฟ้อนมาจาก สํานักหมอลําแต่อย่างใด ( ดาว พานโน และคนอื่นๆ, 2541)

  • บริวารหมอลํา ผู้ใดที่ยินยอมรับการบําบัดรักษาด้วยพิธีกรรมลําทรงผู้นั้นคือผู้ที่ยินยอมเป็นบริวารของเทพและของครูบาทั้งสิ้น ดังนั้น ครูบาแต่ละคนแท้จริงแล้วมีบริวารนับพัน แต่เมื่อจะไปจัดพิธีกรรมให้คนไข้แต่ละรายนั้น ครูบาจะเลือก เอาผู้มีประสบการณ์เรื่องพิธีกรรมไปด้วยราว 3 - 4 คน เพื่อจะได้ช่วยจัดการดําเนินพิธีกรรมได้ถูกต้อง นอกจากนั้นยังช่วยเป็นพิธีกร ช่วยลําเสริมและช่วยแก้ปัญหาต่างๆ เมื่ออยู่ในพิธีบริวารแต่ละคนต่างก็มีชื่อเฉพาะ เป็นชื่อเทพหรือเทพธิดา เพื่อบ่งบอกว่า เมื่ออยู่ในพิธีกรรมนั้นพวกเขาก็มีเทพหรือเทพธิดาชื่ออะไรลงมาถือทรงใน ตัวเขา ซึ่งครูบาจะเป็นผู้ร้องเรียก

  • หมอแคน คือผู้ชํานาญการเป่าแคน เมื่ออยู่ในพิธีกรรม มีชื่อเรียกว่า “หมอม้า” ด้วยความเชื่อว่า “เสียงแคน” เป็นสื่อให้เทพหรือเทพีเสด็จลงมาได้ จังหวะเพลงแคนขณะที่ครูบาคําอัญเชิญเทพหรือเทพี่นั้นเป็นจังหวะกระชั้น และกระนั้น คล้ายจังหวะม้าวิ่งเมื่ออยู่ในพิธีกรรมนั้น บุคลอื่นๆนับถือว่า หมอม้า คือเทพผู้ขับขี่ม้าพา เทพและเทพีลงมา ดังจะเห็นได้จากการที่ครูบาต้องนําขันห้า ( ขันบูชาที่จัดดอกไม้ 5 คู่ และเทียน 5 คู่ จัดวางใส่ ไว้) ไปมอบให้หมอแคนแล้วกราบ 3 หน แล้วคนอื่นๆ ที่ร่วมพิธีกรรมก็จะกราบตาม และครูบาหมอลําก็จะ เรียกชื่อเฉพาะของหมอแคนว่าเป็นเทพชื่อใด เช่น ชื่ออ้ายพี่สีทอง อ้ายพี่หงส์ทอง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี บางความเชื่อที่ว่า “ หมอม้า ” หมายถึง “ หมอเหล้า ” “ ม้า” คือ “ เหล้า” ดังจะเห็น ได้จากชื่อของหมอม้าเป็นไปตามชนิดของเหล้าที่อยู่ในเครื่องบูชา เครื่องคาย) เช่นถ้าใช้เหล้าโรงเหล้าขาว) ก็ เรียกหมอม้าว่า “ม้าขาว” ถ้าใช้เหล้าแดงก็เรียกว่า “ม้าแดง” ถ้าใช้เบียร์ก็เรียกว่า “ม้านิล” เป็นต้น ( ประมวล พิมพ์เสน, 2540)

ในพิธีกรรมลําทรงครั้งหนึ่งๆ ค้นพบว่าต้องใช้หมอแคนระหว่าง 1 – 3 คน เพราะพิธีกรรมกิน เวลานาน หมอแคนจะเหนื่อย ต้องผัดกันเป่าไม่ให้เสียงแคนขาดตอน เสียงแคนขาดตอนเมื่อใดก็จะเป็นอันว่า พิธีกรรมชะงัก อารมณ์ของครูบา ของบริวาร ของคนป่วยกับทั้งผู้ร่วพิธีทั้งหลายย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยและใน พิธีลงข่วงซึ่งเป็นพิธีรวมญาติและบริวารลําทรงของแต่ละครูบาในเดือน 5 ของทุกปีนั้น จะพบว่าใช้หมอแคนถึง 7 -8 คน

เครื่องบูชาในพิธีกรรม

ภาษาพื้นถิ่นเรียกว่า “คาย” ถือเป็นสิ่งสําคัญยิ่งในพิธีกรรม ต้องจัดให้ถูกต้องตามความต้องการของ เทพหรือเทพีแต่ละเจ้าที่ลงมาถือทรง ซึ่งอาจทําให้เครื่องคายแตกต่างกันไปได้บ้างในพิธีกรรมของครูบาแต่ละเจ้า แต่โดยรวมแล้วมักประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้ :

  • ถาดใหญ่ใบหนึ่ง ภายในถาด จะจัดวางสิ่งของต่างๆ ไว้ดังนี้

1) ตรงกลางถาดเป็น ขันน้ำหอม ที่ทําจากฝานว่านหอม 7 ฝา ลอยลงไปในน้ําสะอาด ที่ใช้ ว่านหอม 7 ฝา ถือเอาตามคติโบราณที่ว่า “คนเรามีชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน

2) ด้านซ้ายและขวาของขันน้ำหอมนั้นจัด คําหมาก ( สีเสียด) มวนยาสูบ พลูพัน สําหรับ ประกอบการกินหมาก วางไว้ต้อนรับเทพ เป็นคู่ ข้างละ 3 คู่

3) ด้านนอกสุด จัดดอกจําปาลาว 1 คู่ และเทียน 1 คู่ ใส่ไว้ใน กรวยใบตอง ( เรียกว่าซวย ) วางเก เรียงเกยขอบถาดไว้รวมจํานวน 5 กรวยแทน “ขันธ์ 5” ของมนุษย์

4) ถัดจากคําหมากทั้งซ้ายขวาเข้ามาทางครูบานั่ง จัดวางแป้งทาหน้า ชนิดเม็ดและสีผึ้ง (ภาษาถิ่นเรียกว่า นวด ) เรียงไว้จํานวนหนึ่ง และบริเวณใกล้ขอบถาดค้านในชิดกับที่ครูบานั่ง มีข้าวสารเทไว้ กองหนึ่ง มีไข่เป็ดดิบ 2 ใบ วางไว้บนกองข้าวสารนั้น

ค่าตอบแทนมักจะได้รวมทั้งคณะประมาณ 500 – 1,000 บาท เป็นของครูบา 50% เป็น ของหมอม้า 30% ที่เหลือเป็นของบริวาร และเจ้าภาพ มักจัดพาหนะรับส่งให้ต่างหาก

5) ที่ขอบถาดด้านชิดกับครูบา ติดเทียนเล่มเล็กคู่หนึ่ง ไว้พร้อมที่จะให้ครูบาจุดเพื่อเริ่มพิธีและ เมื่อเทียนเล่มใดจะหมดหรือดับ ครูบาจะต้องจุดเทียนเล่มอื่นทดแทนให้มีเทียน 1 คู่จุดสว่างอยู่ตลอดพิธี

  • เบื้องซ้ายของถาดใหญ่

จัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

1) ขันขาวใส่น้ำสะอาด ใส่น้ำเกือบเต็มขันวางไว้หน้าสุด

2) ขันห้า ใช้จานแบน วางเรียงดอกจําปาลาว ( ลั่นทมขาว ) จํานวน 5 คู่ ( 10 ดอก ) เป็นแนว

หน้ากระดานไว้ในจาน ใช้บูชาแทนขันธ์ทั้งห้าของมนุษย์

  • เบื้องขวามือของถาดใหญ่ จัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

1) ขวดใส่เหล้า นิยมใช้เหล้าโรง (เรียกว่าเหล้าขาว) บางเจ้าใช้ทั้งขวด แต่กรณีแม่ตาว พานโน บ้านพระยืน จังหวัดขอนแก่น ใช้เพียงก๊งเดียว ขวดใส่เหล้านี้วางไว้หน้าสุดของเบื้องขวา และมีแก้วอยู่ข้างๆ เหล้าในขวดนี้เป็นเหล้าบูชาครู ยังมีอีกขวดหนึ่งใส่เหล้าเท่ากันนี้จัดไว้ต่างหากสําหรับไว้ใช้ต้อนรับเทพตอนที่ เทพได้เสด็จลงมาแล้วตามที่ครูบาจะบอก

2) ผ้าซิ่น ผ้าขาว กระจกเงาและหวี อย่างละ 1 ชิ้น จัดวางซ้อนกันไว้ทางเบื้องขวาของถาดใหญ่ ถัดลงมาจากขวดใส่เหล้า ให้ผ้าซิ่นอยู่ล่าง ถัดมาเป็นผ้าขาว กระจกเงาและหวี ตามลําดับ จัดไว้มอบเป็น ค่าตอบแทนครูบาหมอลํา

3) จานแบนใส่ฝ้ายผูกแขน ยาเส้นจัดเป็นกระจุก สีเสียด แก่นคูน พลูจีบ ยามวน และเทียน จํานวนค่อนข้างมาก จัดวางถัดจากชุดผ้าซิ่นกระจกหวีเข้ามาหาครูบา ของชุดนี้จัดไว้สําหรับให้ครูบาหยิบใช้ตาม อัธยาศัยในระหว่างประกอบพิธีกรรม

4) น้ำมันทาผม และแป้งเม็ดทาหน้า จัดเอามาทั้งตลับและทั้งกระป๋อง วางไว้เบื้องขวาของถาด ใหญ่ ถัดมาจากจานชุดฝ้ายผูกแขน สําหรับให้ครูบาหยิบทาผมทาหน้าตนเองและแจกจ่ายให้ทุกๆคนในพิธีทำเครื่องคายทั้งหมดเหล่านี้ จัดวางไว้บนเสื่อผืนใหญ่ ด้านนอกเหนือบริเวณที่ครูบาจะนั่งไว้ สุดปลาย ด้านในเป็นบริเวรที่บุคคลอื่นๆจะเข้ามากราบเครื่องบูชาซึ่งหมายถึงกราบเทพได้ มีกติกาว่าห้ามบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ ครูบาเข้าไปนั่งบริเวณผืนเสื่อเป็นอันขาด จนกว่าจะเสร็จพิธี

  • ค่าตอบแทน

แบ่งเป็น 2 ประเภท

1) เงินเหรียญบาท จํานวน 4 เหรียญ เป็นค่ายกครู เมื่อเสร็จพิธีแล้วครูบาจะแบ่งให้ผู้ป่วย 2 เหรียญ ถือคติความยุติธรรมตามกลอนลําว่า “อ้ายและน้องกะบันเทิ้งกัน ” ( เกิ่ง = ครึ่ง)

2) ค่าตอบแทนนอกเครื่องบูชา คือค่าตอบแทนที่เจ้าของไข้จัดให้แก่คณะหมอลําซึ่งอาจเรียกว่า เป็นค่าจ้าง ฝ่ายหมอลํานั้นไม่ได้เรียกร้องเพราะมีข้อห้ามจากครูบาเก่าไว้ ด้วยถือว่าผู้ป่วยที่จะมารักษาด้วย พิธีกรรมลําทรงนั้นได้ใช้จ่ายเงินทองกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ มามากแล้ว เมื่อหมดหนทางจึงมาขอรับการรักษา ด้วยพิธีกรรมลําทรง เงินทองข้าวของที่มีอยู่อาจร่อยหรอเต็มที่ และอีกอย่างหนึ่งมีความเชื่อว่า การมาลํารักษา นั้นเป็นพันธกิจที่เทพมอบหมายไม่ใช่การประกอบอาชีพ ดังนั้นค่าตอบแทนจึงไม่ได้กําหนดตายตัว สุดแต่ เจ้าของไข้จะจ่ายให้ได้ อย่างในกรณีของคณะนางดาว พานโน บ้านพระยืน อําเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น

ลักษณะการแต่งกายเมื่อเข้าพิธี

1) ครูบา แต่งกายแบบพื้นบ้านปกติ คือผู้ชายก็อาจนุ่งกางเกง ใส่เสื้อเชิ้ตสีใดก็ได้ ผู้หญิงก็นุ่ง ผ้าซิ่นพื้นบ้าน ใส่เสื้อสีใดก็ได้ แต่ที่สําคัญต้องมีผ้าขาวม้า หรือผ้าสไบพาดบ่า และสีของผ้าพาดบ่านั้น ต้องเลือก ตามที่เทพหรือเทพีกําหนดให้แก่ครูบาแต่ละคน อย่างของครูบาดาว พานโน นี้ต้องใช้สีชมพูเท่านั้น

2) ผู้ป่วยและบริวารทั้งมวล ก็แต่งตัวตามปกติ เหมือนกับที่จะแต่งไปทําบุญที่วัด แต่ทุกคนต้องมี ผ้าขาวม้าหรือผ้าสไบพาดบ่า

สถานที่

สถานที่จะจัดพิธีกรรมลําทรงนั้น ต้องเป็นห้องโถงของบ้านเรือน เพราะจะมีผู้คนตาม ข้อ 1 - 5 มาร่วมพิธี จํานวนระหว่าง 20 - 200 คน และผู้คนเหล่านี้อาจลุกขึ้นมาฟ้อนและลําวนซ้ายรอบเครื่องคายซึ่งวาง อยู่บนเสื่อผืนใหญ่กลางห้อง

เวลา

เวลาที่เหมาะสมกับการจัดพิธีลําทรง คือต้องทําก่อนเที่ยงวัน ถ้าเริ่มแต่เช้าราว 3 โมงเช้าจะดีมาก เพราะจะได้เสร็จพิธีก่อนเที่ยงวัน เพราะบางทีเทพหรือเทพีที่เชิญลงมาแล้ว ยังไม่อยากกลับคืนไปยังที่สถิตย์ แม้ จะเชิญอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ เพราะยังนึกสนุกอยู่ต้องฟ้อนและลําต่อไป บางทีก็ใช้เวลาถึงค่ำ (ดาว พานโน ,2541) การจัดทําพิธีกรรมทําได้ทุกวันยกเว้นวันพระหรือชาวพื้นถิ่นเรียกว่า “วันศีล” ทั้งศีล น้อย (ขึ้นหรือแรม 2 ค่ำกับ 14 ค่ำ) และศีลใหญ่ (ขึ้นหรือแรม 8 ค่ำกับ 15 ค่ำ) กล่าวคือเดือนหนึ่งๆ ทาง จันทรคติจัดพิธีกรรมได้ถึง 26 วัน ปีหนึ่งได้ถึง 312 วันที่เดียว

ทิศทางการนั่งและการเดิน

ครูบาจะนั่งบนเสื่อหน้าเครื่องคาย หันหน้าไปทางทิศที่เป็นมงคลตามหลักโหราศาสตร์ บริวารในพิธี นั่งอยู่นอกเสื้อด้านหลังของครูบา แต่อาจล้อมวงโค้งเป็นปีกซ้ายขวาได้ คนป่วยอาจอยู่ด้านหลังของครูบาหรืออยู่ ด้านข้างด้านใดด้านหนึ่งของเครื่องคาย หรือจะยังนอนอยู่บริเวณที่เคยนอนป่วยก็ได้ เวลาฟ้อนและลํารอบคาย จะ ทําแบบทวนเข็มนาฬิกา เรียกว่า อุตราวัฏ วนซ้าย คือ เอาซ้ายมือของตนหันเข้าหาเครื่องคายและผู้ฟ้อนยังสามารถ ยืนปักหลักอยู่ในที่ใดที่หนึ่งบริเวณพิธีก็ได้

บรรณานุกรม
  • เรย์ ขันธศิริ. (2528). ดุริยางคศิลปะปริทัศน์(ตะวันออก). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

  • เวชขอนแก่น. (2540). โรงพยาบาล โรคจิต. ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.

  • จริยางค์. (2523). พระหลักวิชาการดนตรีลากลและการขับร้องเล่ม 1-3. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร,

  • บ่อคําแสง วงศ์ดาราและคนอื่น ๆ. (1987). วรรณคดีลาว, เวียงจันทน์ : สถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์สังคม กระทรวงศึกษา ลาว.

  • บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล. (2539). ฮีต คอง คะลํา วิถีของคนล้านช้างและไทยอีสาน.ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้ง.

  • ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์. (2533). ปทานุกรมดนตรีสากล. เชียงใหม่ : ฝ่ายเอกสารการพิมพ์สํานักอธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่.

  • พระครูพรหมฐาณวิกรม. (2539). คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์กรมการศาสนา.

  • พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.9). (2537). วิธีสมาทานและวิธีวิปัสสนากรรมฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จินดาอักษร.

  • พระราชสุทธิญาณมงคล. (2544). คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต. สิงห์บุรี : วัดอัมพวัน.

  • พูนพิศ อมาตยกุล. (2529). “จากเพลงไทยถึงเพลงลูกทุ่ง” ใน จากเพลง ไทยถึงเพลงลูกทุ่ง เอกสารหมายเลข 1. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพจํากัด.

  • พรชัย ศรีสารคาม. (2522). ก ผญา. มหาสารคาม : วิทยาลัยครูมหาสารคาม,

  • นิคมานนท์. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย. กรุงเทพฯ : อักษรา พิพัฒน์.

  • ณ ชินะตระกูล. (2533). คู่มือการทําวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.

  • ทูตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สํานักอักษรเจริญทัศน์.

  • เมกาโม พระมหา. (2537). การศึกษาเปรียบเทียบความจริงเรื่องจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับจิตในปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

  • วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น, (2540). สุขภาพจิตกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ขอนแก่น:ขอนแก่นการพิมพ์ ,

  • สภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2540).ของดีอีสาน.ขอนแก่น : ขอนแก่นการพิมพ์,

  • สถาบันการแพทย์แผนไทย. (2541). ชุมนุมแพทย์ไทยและสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2. นนทบุรี :สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.

  • สวิง บุญเจิม. (2536). มรดกอีสาน. อุบลราชธานี : อีสานออฟเซทการพิมพ์.

  • สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2532). ร้องรําทําเพลง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน.

  • สุรศักดิ์ พิมพ์เสน. (2532). การทําแคน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม.

  • สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช. (2540). ความเข้าใจเรื่องจิต. กรุงเทพฯมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทยาลัย.

  • สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2537). ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น ขอนแก่นการพิมพ์.

  • เสาวนีย์ สังฆโสภณ. (2541). ดนตรีเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์.




Comments


bottom of page