องค์ความรู้เรื่อง ความเชื่อ จิต และดนตรี
- ครู บุญ
- 21 ม.ค. 2565
- ยาว 9 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565
บทความโดย ศ.สำเร็จ คำโมง
ในบางกาละและเทศะ มนุษย์เราจะมีความไม่มั่นคงทางจิตใจเพราะมีความหวั่นเกรงต่อสถานการณ์หรือ ปรากฏการณ์ที่น่าหวั่นกลัว ทําให้เกิดความไม่มั่นใจ ความรู้สึกที่ต้องเสี่ยงอันทําให้เกิดความหวาดหวั่นในจิตใจ

องค์ความรู้เรื่อง ความเชื่อ จิต และดนตรี
ความเชื่อ
ระบบ ความเชื่อ พิธีกรรม และศาสนา เป็น “วัฒนธรรม” ที่มนุษย์ในทุกสังคมจะ “ต้องมี” ไม่ว่าจะเป็นสังคม ที่เจริญหรือไม่เจริญ สังคมที่มีตัวอักษรใช้หรือไม่มีตัวอักษรใช้ สังคมล่าสัตว์ สังคมเกษตรกรรม หรือแม้แต่ สังคมอุตสาหกรรมก็จะต้องมีสถาบันความเชื่อและศาสนา เพราะมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมใด ระดับใด ย่อม ต้องเผชิญกับภาวะที่ ไม่สบายใจ ภาวะที่จิตใจไม่มั่นคงรู้สึกว่าต้องเสี่ยง และไม่มั่นใจในอนาคต เมื่อถึงเวลานั้น พิธีกรรมและศาสนาก็จะช่วย “บําบัดรักษา" จิตใจให้คนผู้นั้น
ความไม่มั่นคงทางจิตใจของมนุษย์นี้เป็น “สากล” แต่วิธีการที่แต่ละสังคม แต่ละวัฒนธรรม จะนํามา บําบัดรักษาใจนี้เป็นเรื่องของแต่ละ “วัฒนธรรม” เป็นการสรรค์สร้าง เป็นประเพณีปฏิบัติของแต่ละวัฒนธรรม ไม่มีประเพณีพิธีกรรมของสังคมใดดีกว่าประเพณีพิธีกรรมของสังคมใด พิธีกรรมและแนวปฏิบัติในแต่ละ สังคมวัฒนธรรมเป็นเรื่องของคนในแต่ละสังคมนั้น ทุกสังคมวัฒนธรรมมีวิธีการจัดการกับภาวะที่ไม่มั่นคง ทางใจดังกล่าวนั้น
พิธีกรรมทางศาสนามีขึ้นอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่ามี อํานาจเหนือธรรมชาติ หรือมีผู้มีอํานาจเหนือ ธรรมชาติ ซึ่งอาจจะเป็นผี เทวดา พระเจ้า เป็นผู้ทําให้เกิดภาวะหรือสถานการณ์ดังกล่าวนั้น และผู้มีอํานาจเหนือ ธรรมชาติจะช่วยให้สถานการณ์อันเลวร้ายดีขึ้นได้ ทุกสังคมวัฒนธรรมมีวิธีการจัดการกับอํานาจเหนือธรรมชาติ ต่าง ๆ กันไป ความเชื่อ พิธีกรรมและศาสนาจึงเป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้มนุษย์มี สภาวะจิตใจที่ดีขึ้น เรื่องของภาวะทางจิตใจ อํานาจเหนือธรรมชาติ และพิธีกรรม เป็นองค์ประกอบที่สําคัญของ ระบบความเชื่อและศาสนาอย่างยิ่ง
ระบบความเชื่อและศาสนาเป็นระบบทางสังคมระบบหนึ่ง ซึ่งย่อมจะต้องมีความสัมพันธ์กับระบบอื่น ๆ ในสังคม เช่น ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา ในเมื่อระบบความเชื่อและศาสนาเป็นวัฒนธรรม ซึ่งมีธรรมชาติที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และความต้องการของสังคม ในแต่ละยุคสมัย ระบบความเชื่อศาสนาระบบหนึ่งอาจต้องปรับตัวให้ผสมผสานกลมกลืนกับระบบความเชื่อศาสนา ระบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในสังคมนั้น ๆ เช่น เมื่อพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับระบบ ความเชื่อและพิธีกรรมท้องถิ่น
ในเมื่อศาสนาเป็นวัฒนธรรม เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนแต่ละกลุ่ม หากสังคมใดเป็นสังคมที่ซับซ้อน ประกอบด้วยกลุ่มคนหลายกลุ่มหลายวัฒนธรรม เช่น ในสังคมไทยเราจะพบว่ามีระบบความเชื่อและศาสนาอยู่ หลายระบบ นับเป็นวัฒนธรรมย่อยในวัฒนธรรมใหญ่ ในสังคมที่ซับซ้อนเช่นสังคมไทยนี้จึงมีระบบความเชื่อ หลายระบบ เช่น ระบบความเชื่อและพิธีกรรมแบบจีน ระบบความเชื่อและพิธีกรรมของชาวมุสลิม หรือของ ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งระบบความเชื่อและศาสนาของคนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติ บางอย่างเมื่อดํารงอยู่ในสังคมไทย
ความเชื่อและศาสนาที่จะพูดถึงต่อไปนี้จะใช้ในความหมายกว้าง ครอบคลุมความเชื่อและพิธีกรรม แบบต่าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจงแต่ศาสนาใหญ่ ๆ ของโลกเท่านั้น แต่จะรวมความเชื่อและพิธีกรรมใด ๆ ก็ตามที่เข้า ข่ายและมีบทบาทหน้าที่เป็น “ศาสนา” ในฐานะที่ตอบสนองความต้องการทางจิตใจของคนในสังคม และใน ที่เป็นกลไกของสังคมและในแง่ที่สัมพันธ์กับระบบอื่น ๆ ของสังคม ผู้เขียนขอยกตัวอย่างความเชื่อของนักวิชาการที่อธิบายความเชื่อไว้ดังนี้
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับคติความเชื่อ
พระยาอนุมานราชธน (2505) ได้กล่าวถึงคติความเชื่อของคนไทยเรื่องการนับถือ “ผี” ว่ามีสืบต่อกัน มาตั้งแต่ครั้งโบราณ ผีไทยมี 3 กลุ่มคือ
1. ผีฟ้า คือ เทวดา มีหัวหน้าเรียกว่า พญาแถน
2. เจ้าผี อยู่ต่ำลงมาจากฟ้า อยู่ในอากาศสูงหรือสถิตอยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น เป็นเจ้าที่ เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าป่า เจ้าเขา ฯลฯ เจ้าผีจึงเป็นเทวาอารักษ์ที่คนปลูกศาลให้อยู่ มีพิธีเซ่นสังเวยอยู่เสมอ เพราะคนเกรงกลัวมาก
3. ผีร้าย เป็นพวกไม่มีศาลอยู่ เช่น ผีห่า ผีป่า ผีปอบ ผีโพง ผีเป้า เป็นต้น การเซ่นสรวงสังเวยผี มี 4 คติความเชื่อ คือ
1) คติบูชาผีบรรพบุรุษ
2) คติบูชาผีวีรบุรุษ
3) คติบูชาผีในธรรมชาติ
4) คติบูชาผีร้าย เอกสารเล่มนี้ ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลได้ข้อมูล ดังนี้
(1) สามารถเทียบขั้นของเทพ หรือผีที่มาทรง หรือเทียมในพิธีกรรมลําทรง คือ เจ้าผี (2) การเซ่นสรวงในพิธีกรรมลําทรง จัดอยู่ในประเภทคติบูชาผีบรรพบุรุษ
ประสาท อิศรปรีดา และคนอื่น ๆ (2518 ) กล่าวถึงคติความเชื่อว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจของ ชาวบ้าน เป็นเสมือนมาตรการที่ช่วยควบคุมประพฤติตามจารีตประเพณีและศีลธรรม และยังเป็นเครื่องชี้นําแนว ทางการดําเนินชีวิตทั้งด้านการทํามาหากิน การสร้าง ที่อยู่อาศัย และการรักษาโรค
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลได้ข้อมูล ดังนี้ ได้ตระหนักว่าความเชื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้
มารยาท กิจสุวรรณ (2526) กล่าวว่า ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ มี 6 ประเภท คือ 1. ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา 2. ความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง 3. ความเชื่อเรื่องคาถาและเวทย์มนต์ 4. ความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามและลางสังหรณ์ 5. ความเชื่อเรื่องความฝัน 6. ความเชื่อเรื่องขวัญ 7. ความเชื่อเรื่องสิ่งแวดล้อมและปรากฏการณ์ธรรมชาติ 8. ความเชื่อเรื่องยากลางบ้าน 9. ความเชื่อเรื่องลักษณะบุคคล ความเชื่อเหล่านี้ ถือว่าเป็นความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นตัวตน แต่เชื่อว่ามีฤทธิ์อํานาจเหนือคน อาจบันดาลให้ร้ายให้ดีแก่คนได้
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลพบว่า ความเชื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของจิตใจ เมื่อเชื่อแล้วก็ไม่ประสงค์ที่จะทําการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
ธวัช ปุณโณทก ( 2528) กล่าวว่า ความเชื่อพื้นบ้านในสังคมอีสานผูกพันอยู่กับภูตผีวิญญาณอย่าง เหนียวแน่น แม้จะมีพุทธศาสนาเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของประชาชนแล้ว ความเชื่อนั้นก็ยังไม่ หายไปจากสังคม
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลมีความเข้าใจว่า แม้ชาวบ้านจะนับถือผี แต่ก็ยังนับถือพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่น การทําพิธีทางศาสนาใด ๆ ก็ยังผสาน ความคิดเรื่องความเชื่อในภูตผีให้ปนอยู่ เช่น การทําบุญกุศล ก็มักอุทิศไปให้ญาติผู้ล่วงลับด้วย เป็นต้น
พระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ (2528) กล่าวว่า คติความเชื่อของชาวอีสานสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ มี ความเชื่อเรื่องเทวดา ผีสาง นางไม้ พระภูมิเมือง ผีวิญญาณบรรพบุรุษ ลางสังหรณ์ ลางจอมปลวกหมูสี ลางไก่ป่า อีแร้งจับหลังคา ลางนกแสก ลางงูเห่างูสิง เชื่อบาปเคราะห์ ประเพณีสูตรขวัญก่อง ประเพณีผูกเสี่ยว เชื่อพิธีตัดเวรตัดกรรม เชื่อประเพณีฮีต 12 ฯลฯ
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลเข้าใจเรื่อง ความเชื่อของชาวอีสานว่ามีหลากหลายประเภท
มณี พยอมยงค์ (2528) กล่าวว่า ความเชื่อเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน ความเชื่อเป็น พื้นฐานที่ทําให้เกิดการกระทําต่าง ๆ ทั้งด้านดีและด้านร้าย ทําให้เกิดคําสอนข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติเป็นพื้นฐาน ในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาสนา ทําให้เกิดความเชื่อมั่น เกิดพลัง เกิดฤทธิ์ทางใจและเกิดการสร้างสรรค์ เป็นต้น
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลเข้าใจเรื่อง การเกิดความเชื่อและผลของการมีความเชื่อตามธรรมชาติของมนุษย์
เสรี พงศ์พิศ (2528) กล่าวว่า ความเชื่อของชาวบ้านส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะผสมผสานความเชื่อเรื่องกับศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ แต่ความเชื่อเรื่องผีมีอิทธิพลมากที่สุด เพราะมี รากเหง้าฝังอยู่ในชีวิตจิตใจมาก่อนศาสนาทั้งสอง
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลเข้าใจเหตุผลของการเชื่อเรื่องผีของชาวตะวันออกเฉียงเหนือได้ดียิ่งขึ้น
ธวัช ปุณโณทก (2530) กล่าวว่า ความเชื่อในสังคมไทยอีสาน ทําให้เกิดพิธีกรรมต่าง ๆ ขึ้น เช่น ความเชื่อเรื่องผีฟ้าพญาแถนทําให้เกิดพิธีแห่บั้งไฟ พิธีบุญเบิกฟ้า การเทศน์ลําพญาคันคาก และการลําทรงลําผีฟ้า เพื่อบําบัดโรค ความเชื่อเรื่องผีปู่ตาทําให้เกิดพิธีเซ่นสรวงเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการดํารงชีวิต และการ ควบคุมความประพฤติของคนในสังคม เป็นต้น ชาวอีสานเชื่อว่า ผีช่วยคนได้โดยผ่านคนทรง
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลเข้าใจเรื่องความสําคัญของคนที่เป็นร่างทรงในพิธีกรรมลําทรง
จารุวรรณ ธรรมวัตร (2530) กล่าวว่า ความเชื่อเกิดจากปัญหาการดําเนินชีวิตที่เกินขีดความสามารถ ที่ตนจะพึงแก้ไขได้จึงสร้างความเชื่อขึ้นว่าน่าจะมีอํานาจลึกลับเหนือธรรมชาติบันดาลให้เป็นไป จึงเกิดการวิงวอน ขอความช่วยเหลือจากอํานาจลึกลับนั้น
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้เข้าใจจุดประสงค์ของการจัดพิธีกรรมลําทรง
บุญช่วย ปิยวิทย์ (2532) กล่าวว่า ความเชื่อเรื่องการเกิดโรคนั้น เชื่อว่าเกิดจากกระบวนการตาม ธรรมชาติ เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เกิดจากการกระทําของแม่ซื้อและเกิดจากพลังไสยศาสตร์ ดังนั้น การ บําบัดรักษาและป้องกันโรคนั้น จะต้องทําให้สัมพันธ์กับคติความเชื่อจึงจะได้ผลและการเสริมสร้างพลังใจให้ คนไข้ จะทําให้คนไข้หายไข้ได้
เอกสารเล่มนี้ช่วยให้พบเหตุผลของการจัดพิธีกรรมลําทรงว่าเป็นสิ่งช่วยเสริมสร้างพลังใจ ให้แก่คนไข้
สุรัตน์ ภัทราชัย (2532) กล่าวว่า ความเชื่อเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาลของคน พื้นบ้านอีสานนั้น แม้จะมีระบบการแพทย์แผนปัจจุบันเข้าไปมีบทบาทอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เพียงพอ เมื่อมีทุกข์จาก โรคภัยไข้เจ็บจึงยังต้องพึ่งพาหมอพื้นบ้าน เช่น หมอยา หมอลําทรง หมอเหยา หมอน้ำมนต์ หมอธรรม เพราะ ยังเชื่อว่าความเจ็บป่วยนั้นเกิดจากผี
เอกสารเล่มนี้ทําให้เข้าใจสาเหตุของการมีพิธีกรรมลําทรง
ปราณี วงษ์เทศ (2534) กล่าวว่า องค์ประกอบของพิธีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องผีของชาวผู้ไทย มัก ประกอบด้วยการดื่มเหล้า เป่าแคน (และขับลํา )
เอกสารเล่มนี้ ช่วยเรื่องความสําคัญของดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แคนที่มีต่อพิธีกรรมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณ
สีลา วีรวงศ์ (2513) กล่าวถึงสีต 12 ว่า มีฮีตที่ต้องจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับผีอยู่ 3 ฮีต คือ
เดือน 3 ให้ทําบุญบูชาเทวดา เลี้ยงเทพารักษ์ มเหสักข์หลักเมือง เชิญเทพาอารักษ์มเหสักข์เข้ามาชําระ เมือง เพื่อป้องกันอันตรายและโพยภัยพิบัติต่าง ๆ เรียกว่าบุญซําฮะ
เดือน 6 ทําบุญข้าวประดับดิน หรือบุญห่อข้าวน้อย ทําในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 6 ถือว่าเป็นวันที่พระ ยมบาลปล่อยผีและสัตว์นรกออกมาหากิน พวกชาวบ้านจึงทําห่อข้าวเล็ก ๆ ไปวางไว้บนลานดินเพื่อให้ผืนรกมา เก็บกินได้ง่าย
เดือน 10 ทําบุญข้าวสาก หรือบุญห่อข้าวใหญ่ ทําในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 โดยการทําห่อข้าวส่วน หนึ่งถวายพระสงฆ์ และอีกส่วนหนึ่งใส่กระทงเล็กๆ ไปวางไว้ตามดินให้พวกเปรตและสัตว์นรกมาเก็บกินได้
เอกสารเล่มนี้บ่งบอกถึงความเชื่อและการทําพิธีกรรมเกี่ยวกับผีที่มีอยู่ในสังคมไทยลาวอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งจัดไว้ในฮีต12
ประมวล พิมพ์เสน (2533) กล่าวว่า หมอลําทรงเป็นหมอลํารักษาคนไข้ มีแพร่หลายในภาคอีสาน ผู้ เป็นหมอลําทรงมักเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม มีจิตวิทยาสูง มีความจําดี สามารถท่องกลอนลําได้จํานวนมาก จําชื่อ คนไข้และนามสมมุติของคนไข้ที่อยู่ในพิธีกรรมได้อย่างฉับพลัน
ประเสริฐ พะวงศรีเคน (2535) กล่าวถึงพิธีกรรม “ควดข้าวคนป่วย” (เชิญผีออกจากร่างคนป่วย)ว่าต้อง ใช้ข้าวปั้น ปั้น กล้วย 1 ลูก บุหรี่ 1 มวน และคําหมาก 1 คํา กําไว้ในมือหมอ แล้ววางแตะลงที่ตัวคนป่วย แล้วท่องคาถาว่า “เคราะห์มือผีปัน วันแต่ง เคราะห์สิบสาม เคราะห์สิบห้า เคราะห์หลวงอย่าได้มาห้อย เคราะห์น้อยอย่าได้มาแขวน...ให้หนีไปเสีย ถ้ำนกเขานอน ถ้ำคอนเขาถ้ำ ถ้ำน้ำเขาเขียว ผีเหลียวมาให้ดาผีแตก ไม้ต้อนเท้ากูสิแตกตาผี"
ประมวล พิมพ์เสน (2535) กล่าวถึงความเชื่อเรื่องผีชาวไทยอีสานว่า มีผีถึง 15 ชนิด คือผีปู่ตา ผีเสื้อ ผีปอบ ผีเป้า ผีโพง ผีเผด ผีเสื้อน ผีกองกอย ผีพราย ผีน้ำ ผีเลือก ผีป่า ผีก ผีย่าง่าม และผีตาแฮก และแต่ละผี มีบุคลิกและคุณสมบัติต่าง ๆ กัน ซึ่งชาวไทยอีสานจะต้องรู้พิธีกรรมเช่นสรวง หรือปราบปรามต่าง ๆ กันไป
เอกสารในหมวดนี้ช่วยให้ผู้เก็บข้อมูลเข้าใจเรื่องความเชื่อเรื่องผีและเรียนรู้เรื่องขั้นตอนของการจัด พิธีกรรมเกี่ยวกับผีไว้เป็นเบื้องต้นก่อนที่จะรวบรวมข้อมูลต่อไป
จิต
ความเข้าใจเรื่องจิต
จากความเป็นไปได้ของการสมมุติฐานของนักวิชาการที่ศึกษาทางด้านคติพื้นบ้านเห็นต้องกันว่า พิธีกรรมลําทรงนั้นสามารถช่วยบําบัด อาการเจ็บไข้ของคนป่วยได้นั้นเป็นเพราะการลําทรงคือการรักษาจิต ดังนั้น การศึกษาให้เข้าใจเรื่องจิตจึงเป็นสิ่ง สําคัญที่จะนําไปสู่ความเข้าใจเรื่องการบําบัดรักษาด้วยพิธีกรรมลําทรง ความหมายของคําว่า “จิต” (พระมหาราเชนทร์ ธัมมกาโม, 2537)
จิตเป็นนามธรรม (Abstract) ไม่มีรูป (Form) ไม่มีตัวตน (Person) ไม่เป็นอัตตา (Sel) ทําหน้ารับรู้ รู้สึก คิด และจํา ตามนัยแห่งพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ท่านได้แสดง ความหมายของจิตไว้ 4 นัย คือ
1. ธรรมชาติใดย่อมคิดอารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต
2. สัมปยุตธรรม (คือเจตสิก) ทั้งหลายที่รู้อารมณ์เพราะอาศัยธรรมชาติใด ธรรมชาติที่เป็นเหตุแห่งการรู้ อารมณ์นั้นชื่อว่าจิต
3. ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ ชื่อว่าจิต
4. ธรรมชาติใดทําความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายให้วิจิตร ธรรมชาตินั้นชื่อว่า จิต
จิตและวิญญาณเป็นสิ่งเดียวกัน ควรตรงกับคําภาษาอังกฤษว่า “Consciousness” มากกว่าคําว่า "Mind"
โดยธรรมชาตินั้นจิตเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ผ่องใส แต่มี “เจตสิก” เป็นส่วนผสมที่ทําให้จิตมีคุณสมบัติ แตกต่างไปต่างๆนานา
ประเภทของจิต
“เจตสิก” คือ อารมณ์ที่เกิดกับจิต เป็นไปในจิตมีสุขมีทุกข์ เป็นต้น ถ้าจิตประกอบกับเจตสิกฝ่ายไม่ดีจิตก็ จะแปรสภาพเป็นอกุศลจิต แต่ถ้าจิตประกอบกับเจตสิกฝ่ายดี จิตก็จะกลายเป็นกุศลจิต อย่างนี้เป็นต้น การที่จิต แปรสภาพไปตามเจตสิกได้เช่นนี้ ทําให้เราสามารถแยกประเภทของจิตได้ 4 ประเภท คือ
1. อกุศลจิต คือ จิตที่มีโทษ เป็นจิตที่ประกอบกับอกุศลเจตสิก จึงมี โลภะ โทสะ และ โมหะ
2. กุศลจิต คือ จิตไม่มีโทษ ให้ผลทางความสุข เป็นจิตที่ประกอบด้วยกุศลเจตสิก จึงมี บุญกิริยา 3 คือ ทาน ศีล ภาวนา
3. วิปากจิต คือ จิตที่รับรู้ผลของกรรมดีและกรรมชั่วที่เคยทําไว้แต่ก่อน ให้ผลได้ทั้งทางความสุขและ ทางความทุกข์ เป็นจิตที่ประกอบด้วยทั้งอกุศลเจตสิก และกุศลเจตสิก
4. กิริยาจิต คือ มหากุศลจิต เกิดขึ้นในจิตของพระอรหันต์ เป็นจิตที่ได้รับการพัฒนาดีแล้ว เรียกอีก อย่างหนึ่งว่า “โลกกุตตรจิต" คือ จิตที่พ้นจากโลก พ้นจากอารมณ์โลกีย์
จํานวนดวงจิต มนุษย์ทุกคนมีดวงจิต 121 ดวง จําแนกโดยชาติ เป็นอกุศลจิต 12 ดวง กุศลจิต 37 ดวง วิปากจิต 52 ดวง และกิริยาจิต 20 ดวง จําแนกโดยภูมิ เป็นกามาวจรจิต 54 ดวง รูปาวจรจิต 15 ดวง อรูปาวจรจิต 12 ดวง และโลกุตตรจิต 40 ดวง จําแนกตามระดับความดี และความชั่ว ได้ดังนี้
1. ดวงจิตฝ่ายดี เรียกว่า โสภณจิตตะ มี 51 ดวง
2. ดวงจิตฝ่ายชั่ว เรียกว่า อโสภณจิตตะ มี 30 ดวง
และจําแนกตามฐานรองรับ ได้ดังนี้
1. ดวงจิตระดับสูง เรียกว่า โลกุตตรจิตตะ มี 40 ดวง
2. ดวงจิตระดับต่ำ เรียกว่า โลกียจิตตะ มี 81 ดวง คุณสมบัติของจิต มีดังนี้
1. ไม่มีรูป 2. ไม่กินเนื้อที่ 3. หมุนไปเร็ว 4. ไปได้ไกล 5. บริสุทธิ์ผ่องใส 6. มีปกติรับรู้อารมณ์ 7. เป็นผู้สั่งสมผลของกรรม 8.รักษาพันธสันดานให้เกิดขึ้นโดยติดต่อสืบเนื่องอย่างไม่ขาดสาย 9.ทําให้สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตวิจิตรพิสดารได้
การเกิดจิต
พุทธปรัชญา กล่าว่า จิตหรือวิญญาณไมมีใครเป็นผู้สร้าง แต่เกิดขึ้นได้เพราะอายตนะภายนอกกระทบ กับอายตนะภายใน อายตนะภายนอกมี 5 อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพพะ (การสัมผัส) และ ธรรมารมณ์ (อารมณ์ตามธรรมชาติ) อายตนะภายในมี 2 อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
เมื่อรูปกระทบตา จะเกิดการเห็น เรียกว่า จักขุวิญญาณ เมื่อเสียงกระทบหู จะเกิดการได้ยิน เรียกว่า โสตวิญญาณ เมื่อกลิ่นกระทบจมูก จะเกิดการได้กลิ่น เรียกว่า ฆานวิญญาณ เมื่อรสกระทบลิ้น จะเกิดการรู้รส เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ
เมื่อการสัมผัสกระทบกาย จะเกิดการรู้เย็นร้อนอ่อนแข็ง เรียกว่า กายวิญญาณ เมื่อธรรมารมณ์กระทบใจ จะเกิดความรู้สึกต่าง ๆ เรียกว่า มโนวิญญาณ
การดับจิต (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช, 2540) จิตต้องอาศัยกายอยู่ และกายจะต้องอาศัยจิตควบคุม กายและจิตต้องอยู่ด้วยกัน แบบเอกภาพหรือสามัคคีภาพ ถ้าขาดจากกันเมื่อไต สภาพความเป็นบุคคลที่สิ้นไปเมื่อนั้น ซึ่งก็ คือ สภาวะที่เรียกว่า ถึงแก่ความตาย นั่นเอง
วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ให้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการตายที่แท้จริงว่าต้องมีลักษณะดังนี้
1. สมองหยุดทํางานโดยสิ้นเชิง
2. สมองหมดหน้าที่โดยไม่มีทางจะกลับมาทํางานได้อีก
3. หน้าที่ของสมองต้องพิจารณาทั้งสมองส่วนหน้า และสมองส่วนล่าง
4. คลื่นสมองทุกส่วนหยุดทํางาน
แต่ในทางพุทธปรัชญานั้น กล่าวว่า การดับของจิตนั้นเกี่ยวข้องกับสังขาร 3 ได้แก่
ลําดับที่ 1 วจีสังขาร คือ เครื่องปรุงวาจาอันหมายถึงวิตกวิจารจะดับก่อน ตามด้วย กายสังขาร คือเครื่องปรุงกายอันได้แก่ลมหายใจเข้า ออกจะดับเป็นลําดับที่ 2 และลําดับที่ 3 สิ้นสุดที่จิตตสังขาร คือ เครื่องปรุงจิตอันหมายถึงสัญญานวทนาดับ เป็นต้นว่า จิตดวงสุดท้ายที่เรียกว่า จุติจิต เป็นจุดถึงการดับคือดายอย่างแท้จริง
พลังอํานาจของจิต (สมเด็จพระญาณสังวร ฯ, 2540; พระมหาราเชนทร์ ธมุมกาโม, 2537)
มนุษย์และสัตว์มีส่วนประกอบที่สําคัญ 2 ประเภท คือ มีกายเป็นรูปธรรม และมีจิตเป็นนามธรรม จิต เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมทุกอย่างของร่างกายมนุษย์ จิตเป็นผู้สั่งการให้กายเคลื่อนไหว ทํางานและเปลี่ยนอิริยาบถ ต่าง ๆ หากจิตไม่สั่งกายหรือครอบครองกายแล้วไซร้ กายเห็นจะต้องไม่ผิดไปจากท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีพุทธพจน์ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ดังถ้อยคําเป็นภาษาบาลีว่า
* มโน ปุพพบุคมา หนุมา มโนเสฎฐา มโนมยา มนส เจ ปทุฏฐน ภาสติ วา กโรดี วา ตโต ปี ทุกขมน์เวต จกกัว วหโต ปท์ "
แปลว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สําเร็จด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดก็ตาม ทําก็ตาม ทุกข์ยอมติดตามเขาไป เหมือนดังล้อเกวียนหมุนไปตามรอยเท้าโตตัวที่ลากเกวียนไป ธรรมทั้งหลายมีใจเป็น หัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สําเร็จด้ายใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดก็ตาม ทําก็ตาม สุขย่อมติดตามเขาไป เหมือน ต้พา ไม่ละตัวบุคคล ฉะนั้น"
จัดเป็นสิ่งที่มีอํานาจมาก จิตที่เป็นกุศล สามารถนําสรรพสัตว์ไปสู่สุคติภูมิได้ และจิตที่เป็นอกุศลก็ย่อม สามารถที่จะจุดตราสัตว์ให้ลงไปสู่อบายภูมิได้
โรคจิตมี 2 กลุ่ม คือ
1. โรคจิตที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของร่างกาย เรียกว่า “Organic psychoses” เกิดจากความผิดปกติ หรือจากความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของอวัยวะหรือระบบอวัยวะของร่างกาย เช่น มีเนื้องอกในสมอง สมองอักเสบ ไตวาย คอพอกเป็นพิษ อวัยวะมีภาวะเป็นพิษจากสารหรือยาบางอย่าง
การบําบัดรักษาโรคจิต กลุ่มที่ 1 ทําได้โดยรักษาที่สาเหตุแห่งการผิดปกติของอวัยวะ หรือระบบอวัยวะ นั้น ๆ เช่น มีเนื้องอกในสมองก็ผ่าเอาเนื้องอกออก อาการทางจิตก็จะดีขึ้น เป็นต้น
2. โรคจิตที่มีสาเหตุจากจิตใจ เรียกว่า “Psychological หรือ Functional psychoses” เกิดจากความ ผิดปกติในการทําหน้าที่ของอวัยวะหรือระบบอวัยวะโดยที่ระบบโครงสร้างของอวัยวะเหล่านั้นไม่เปลี่ยนแปลงแต่ อย่างใด เช่น โรคจิตเภท เป็นต้น
การบําบัดรักษาโรคจิตเภท ทางการแพทย์ใช้หลักการรักษา ดังนี้
1) ให้ยา Antipsychotic ทั้งกินและฉีด
2) ช็อกด้วยไฟฟ้าในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการมาก เช่น ซึมเศร้ามาก คุ้มคลั่งมาก แต่จะมีการข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น คนไข้จะปวดศีรษะ สับสน งุนงง หลงลืม หวาดกลัว ตระหนัก หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอและอาจถึงตาย
3) จิตบําบัด ทําได้ดังนี้
ก. อธิบายให้คนไข้เข้าใจถึงสาเหตุของโรค แล้วยินยอมรับการรักษาทั้งทางยาและทางพฤติกรรม
ข. ให้คนไข้มีโอกาสระบายความทุกข์และปัญหาในใจ
ค. แนะนําให้คนไข้คิดหาทางแก้ปัญหาของตนให้เหมาะสม
ง. แนะนําให้คนไข้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
จ. แนะนําให้ญาติเข้าใจเกี่ยวกับโรคและช่วยนําผู้ป่วยมารักษาอย่างสม่ำเสมอ และจัดการให้ผู้ป่วยรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอด้วย
4) ครอบครัวบําบัด อธิบายให้ญาติและครอบครัวเข้าใจสาเหตุของโรคจิตเภท ครอบครัวอย่าเบื่อหน่ายและรังเกียจที่จะ ช่วยดูแลคนไข้ อย่าทอดทิ้งคนไข้ ครอบครัวควรให้โอกาสแก่คนไข้ได้ระบายความทุกข์ในใจของตนต่อ ครอบครัวด้วย
5) นิเวศน์บําบัด โรงพยาบาลต้องจัดนิเวศน์ที่เหมาะสมให้แก่คนไข้ นิเวศน์ ในที่นี้หมายถึง ทั้งบุคลากรทางจิตเวช หอผู้ป่วย และเพื่อนผู้ป่วยด้วยกัน ต้องทําให้คนไข้เกิดการเรียนรู้ การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น สามารถปรับตัวเข้ากับ ผู้อื่น แล้วจะทําให้เขาเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
การที่ผู้เก็บข้อมูลได้หยิบยกเรื่องโรคจิต และการบําบัดรักษามาแทรกไว้ในตอนนี้ก็เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูล และแนวทางในการวิเคราะห์ต่อไปว่า มีเรื่องใดบ้างในการบําบัดจิตของพิธีกรรมลําทรงสอดคล้องหรือขัดแย้งกับ การบําบัดแบบจิตเวชของแพทย์บ้าง ซึ่งจะได้กล่าวถึงเป็นลําดับ
การพัฒนาจิต
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร คือผุดผ่องแต่จิตนั้นเศร้าหมองไป เพราะอุปกิเลสที่จรมา ” “ ภิกษุทั้งหลาย จิตนประภัสสร คือผุดผ่อง และจิตนั้นพ้นจากอุปกิเลสได้ด้วยจิต
ภาวนา” (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ, 2540)
พุทธภาษิตทั้งสองตอนนี้แสดงถึงธรรมชาติของจิตตามแนวพุทธศาสนาว่า แท้จริงแล้ว จิตนั้นผ่องใส แต่จะหม่นมัว ขุน ทุบ และแกว่งได้ด้วย “อุปกิเลส” ที่จรมาและสามารถแทรกในดวงจิตได้ แต่บุคคลสามารถ ต้านการแทรกเข้าไปของอุปกิเลสได้ด้วยความอบรมจิต ซึ่งเรียกว่า มีจิตภาวนา
“ภาวนา” แปลว่า “ทําให้มีขึ้น ทําให้เป็นขึ้น” ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติ ไม่ใช่การท่องบทสวดมนต์ด้วยปาก หรือด้วยจิต “ จิตภาวนา หมายถึง การอบรมจิต” มี 2 ลักษณะ คือ
1. สมาธิภาวนา หรือสมถะภาวนา คือ การอบรมจิตให้มีความตั้งมั่นและสงบ
2. ปัญญาภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา คือ การอบรมจิตให้มีความรู้ตามความเป็นจริง คือ มีปัญญา
(สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ, 2540)
การทําจิตภาวนานี่แหละ คือ การพัฒนาจิต ทําให้จิตมีวิมุตติ คือพ้นจากอุปกิเลส และข้าม “ เครื่องกั้น” ซึ่งเรียกว่า “นิวรณ์” ออกมาได้ นิวรณ์นี้เป็นเครื่องกั้นไม่ให้จิตสงบ ไม่ให้จิตตั้งมั่น แล้วก็จะทําให้จิตไม่มีปัญญา พระพุทธเจ้าทรงแสดงนิวรณ์ไว้ 5 ประการคือ
1. กามฉันทะ คือ ความพอใจในรักใคร่ในกาม ซึ่งหมายถึงสิ่งที่น่าปรารถนารักใคร่ทั้งหลาย
2. พยาบาท คือ ความโกรธแค้น ขัดเคือง
3. ถิ่นะมิทธะ คือ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน รําคาญใจ
5. วิกิกิจฉา คือ ความเคลือบแคลงสงสัย
โรคจิต (โรงพยาบาลจิตเวช ขอนแก่น, 2541)
โรคจิตเป็นโรคทางจิตเวชชนิดรุนแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากจิตใจ (Psychological หรือ functional ) หรือจากร่างกาย (Organic) อันมีผลทําให้เกิดความผิดปกติทางความคิด การสนองตอบทางอารมณ์ การสื่อสาร การเข้าใจสภาวะความเป็นจริงและพฤติกรรม มากจนเป็นอุปสรรคต่อการตอบสนองความต้องการ ของชีวิตตามแบบธรรมดา คนเป็นโรคจิตมักแสดงออกโดยมีพฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ๆ ควบคุมอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ๆ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หรือได้ต่ำมากมีความหลงผิด (delusion) และมีอาการประสาทหลอน (hallucination) อาการต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าคนไข้เป็นโรคจิต มีดังนี้
1. อาการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพ มีอาการ เช่น
- แยกตัวเองไม่พูดกับใคร
- ยิ้ม หัวเราะ หรือพูดคนเดียว
- แต่งตัวสกปรก หรือใส่เสื้อผ้าแปลก ๆ ไม่ถูกกาลเทศะ
- ขยันทํางานเป็นปกติ
- เอะอะอาละวาด
- เดินไปเดินมาไม่ยอมหลับนอน ฯลฯ
2. อาการไม่สามารถเข้าใจสภาวะต่าง ๆ ตามความเป็นจริง มีอาการ เช่น
- มีอาการหลงผิดคิดว่าตนเป็นคนใหญ่คนโต คิดว่าตนเป็นมหาเศรษฐีคิดว่าตนมีอิทธิฤทธิ์ฯลฯ
- มีความหวาดระแวง คิดว่าจะมีคนมาฆ่า มีอาการประสาทหลอน หูแว่ว ได้ยินเสียงคนขู่ฆ่า นินทา หรือติเตียน หรือ เห็นภาพหลอนต่าง ๆ
- มีความรู้สึกว่ามีแมลงไต่ตอมตามตัว
- ได้กลิ่นประหลาดต่าง ๆ
3. อาการขาดความรู้จักตน มีอาการดังนี้
- ไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย
- ปฏิเสธการรักษา
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ (2540) ตรัสว่า การทําจิตตภาวนาต้องใช้ความพยายาม มาก เหมือนกับที่ปุถุชน คือ คนกิเลสหนาพยายามไขว่คว้า ขุดค้น หรือเสาะแสวงหาวัตถุที่ตนเองหลง คิดว่าเป็น ของมีค่า และจะนําความสุขมาให้ แท้จริงแล้ว จิตใจต่างหากเป็นตัวผู้ให้ความสุขและเป็นตัวผู้เสวยสุข และจิตใจ ที่จะเป็นผู้ให้ความสุขนั้น ต้องเป็นจิตที่ไม่เป็นทาสตัณหา คือความอยากที่ผิด และจิตใจเช่นนั้น จะต้อง ประกอบด้วยธรรม เช่น สติ สมาธิ ปัญญา อันเกิดจากจิตตภาวนา
พระราชสุทธิญาณมงคล (2534) กล่าวว่า การพัฒนาจิตด้วยการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน คือการอัญเชิญ “สติ” ที่ถูกทอดทิ้งขึ้นมานั่งบัลลังก์ของชีวิต เมื่อสติขึ้นมานั่งบัลลังก์แล้ว “จิต”ก็จะคลานเข้ามาหมอบถวายบังคม อยู่เบื้องหน้าสติ สติก็จะควบคุมจิตไม่ให้แส่ออกไปหาคบหากับอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก แต่จะสงบอยู่กับอารมณ์ เดียว เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีแล้ว การรู้ตามความเป็นจริงก็จะเกิดขึ้น และได้สรุปว่าการพัฒนาจิตด้วยการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน มีประโยชน์ 5 ประการคือ
1. ทํากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์
2. ดับความเศร้าโศก ปริเวทนา
3. ดับความทุกข์กาย ดับความทุกข์ใจ
4. เพื่อบรรลุมรรคผล
5. เพื่อทํานิพพานให้แจ้ง
พระมหาราเชนทร์ ธัมมกาโม (2533) กล่าวว่า... พระพุทธศาสนานั่งสั่งสอนการพัฒนาจิตของตนให้ สามารถทําลายวัฏจักรของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย อันเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต วิธีการเข้าถึง จุดหมายสูงสุดของชีวิตนั้น พระพุทธศาสนาสอนให้พยายามยกจิตขึ้น จนสามารถดับวงจรของชีวิตที่เรียกว่า กิเลส กรรม วิบาก ได้ เมื่อทําลายกิเลสอันเป็นต้นตอของวงจรได้ ก็จะไม่สร้างกรรม ก็ไม่วิบาก เมื่อไม่วิบาก ก็ จะไม่ต้องเกิด เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ และไม่ต้องตาย
การที่ได้ยกเอาพุทธปรัชญาเรื่องการพัฒนาจิตมากล่าวแทรกไว้ตอนนี้ ก็เพื่อจะได้เป็นข้อมูล พื้นฐานว่า จิตนั้นพัฒนาได้ เพื่อที่จะได้นําข้อนี้ไปเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลในพิธีกรรมลําทรงต่อไป
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับจิต
พระมหาราเชนทร์ ธมมกาโม 2530) กล่าวว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า สัจจะ หรือความจริงมี 2ประการ คือ สมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ
สมมุติสัจจะ คือ ความจริงโดยสมมุติ ซึ่งชาวโลกบัญญัติขึ้นเพื่อการรับรู้ร่วมกัน แท้ที่จริงสิ่งนั้นไม่มี ความจริงในตัวเอง เช่น คน พ่อ แม่ ลูก สัตว์ แมว สุนัข สิ่งของ เงิน ทอง ภูเขา แม่น้ำ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิด จาก การรวมตัวของขันธ์ ถ เท่านั้น
ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงโดยปรมัตถ์ เป็นความจริงแท้สูงสุดตามสภาวะที่เป็นเอง โดยไม่ต้องอาศัย การสมมุติ หรือบัญญัติของชาวโลก คัมภีร์ฝ่ายอภิธรรมจําแนก ปรมัตถสัจจะเป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน
จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน และมีอารมณ์เดียวกัน และมีที่อาศัยเกิดอย่างเดียวกัน จิตหรือวิญญาณไม่มีใครเป็นผู้สร้าง แต่เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัย 6 อย่าง คือ
1. รูปกระทบตา เกิดจักขุวิญญาณ คือ การเห็น
2. เสียงกระทบหู เกิดโสตวิญญาณ คือ การได้ยิน
3. กลิ่นกระทบจมูก เกิดฆานวิญญาณ คือ การรู้กลิ่น
4. รสกระทบลิ้น เกิดชิวหาวิญญาณ คือ การรู้รส
5. โผฏฐพพะ (การสัมผัส กระทบกาย เกิดกายวิญญาณ คือ การรู้สัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง
6. ธรรมกระทบใจ เกิดมโนวิญญาณ คือ ความรู้สึกต่าง ๆ
จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ คือสภาพที่นึกคิดและคือใจ มนุษย์คนหนึ่ง ๆ ที่จิต 121 ดวง เป็น อกุศลจิต 12 ดวง กุศลจิต 33 ควง วิปากจิต 52 ดวง และกิริยาจิต 20 ดวง
ธรรมทั้งหลายมีใจ (จิต) เป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สําเร็จด้วยใจ...จิตจึงเป็นสิ่งที่มีอํานาจมาก จิตที่เป็นกุศลย่อมสามารถนําสัตว์ให้ไปสู่สุคติภูมิได้ และจิตที่เป็นอกุศลก็ย่อมสามารถฉุดคร่าสัตว์ให้ลงสู่อบายภูมิ ได้ สัตว์ทั้งหลายโดยธรรมดาย่อมเป็นไปตามอํานาจแห่งจิต เพราะความสําคัญของจิตมีเหนือร่างกาย
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ฯ (2540) ตรัสว่าจิตกับกายเป็นของคู่กัน จิตเป็นธาตรู้ เป็น ที่เก็บกิเลศกรรมต่าง ๆ จิตมีอยู่จริง จิตเป็นดวงชีวิต เมื่อจิตดับ ชีวิตก็ดับ กายก็จะเน่าไปในทํานองเดียวกัน ถ้า กายขัดข้องจิตก็ขัดข้องด้วย ถ้ากายแตกสลาย ชีวิตก็ดับ กายก็จะเน่าไปในทํานองเดียวกัน ถ้ากายขัดข้องจิตก ขัดข้องด้วย ถ้ากายแตกสลายจิต ก็จะออกจากร่างไป จิตกับกายต้องอาศัยกัน คนเรานี้ต้องมีกายและจิตอาศัยกัน อยู่ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งความเป็นบุคคลก็สิ้นไป กายนั้นย่อมมีจิตนําไป โลกนี้ย่อมมีจิตนําไป แต่จิตนั้นต้อง อาศัยกายอยู่ จิตจะทํางานได้ก็เพราะอายตนะภายในรับกับอายตนะภายนอก เราจะต้องบํารุงเลียงกายด้วยปัจจัย (เครืองอาศัย) 4 และบํารุงเลี้ยงจิตด้วยเครื่องบํารุงจิต ให้จิตเจริญสุข มีพุทธภาษิตในพระธรรมบทว่า “ธรรม ทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สําเร็จด้วยใจ ถ้าบุคลมีใจร้ายแล้ว พูดก็ตาม ทําก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามเขา
เพราะเหตุนั้น เหมือนดังล้อเกวียนไปตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉะนั้น ทําก็ตาม สุขย่อมไปตามเขา เหมือนดังเงาไม่ละตัวบุคคล ฉะนั้น” ถ้าบุคคลมีใจใสแล้ว พูดก็ตาม
พระครูพรหมฐาณวิกรม (2535) กล่าวถึงวิญญาณขันธ์ว่า คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หรือรู้แจ้งใน อารมณ์ เก็บสะสมอารมณ์ได้ เราเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รู้เย็นร้อนอ่อนแข็ง และรู้เรื่องราวและรู้สึกต่าง ๆ ด้วยใจ นั้นรวมเรียกว่า “วิญญาณ” เป็นผู้รู้
พระธรรมสิงหาจารย์ (หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน) (2540) สอนเรื่องวิปัสสนากรรมฐานว่า
วิปัสสนา เป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต เพื่อจะปลดเปลื้องความทุกข์นานาออกเสียจากชีวิต
วิปัสสนา เป็นเรื่องของการตีปัญหาอันซับซ้อนของชีวิต เพื่อค้นหาความจริงแห่งชีวิต
การฝึกวิปัสสนา คือ การอัญเชิญ “สติ” ที่ถูกทอดทิ้งขึ้นมานั่งในบัลลังก์ของชีวิต เมื่อสติขึ้นนั่งบัลลังก์ แล้วจิตก็จะมาอยู่เบื้องหน้าสติ ทําให้จิตคุ้นเคยกับการสงบอยู่ในอารมณ์เดียว เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีแล้วการรู้ตาม ความเป็นจริงของชีวิตก็จะเป็นผลติดตามมา ทําให้ผู้ฝึกวิปัสสนารู้ว่าความทุกข์มาจากไหน จะสกัดกั้นมันได้ อย่างไร
เอกสารกลุ่มนี้ช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องจิต อันจะนําไปใช้เป็นประโยชน์ในการศึกษาเรื่อง พิธีกรรมลําทรง ซึ่งเป็นพิธีกรรมของการรักษาจิต
ดนตรี
ความรู้ทั่วไปเรื่องดนตรีบําบัด
เนื่องด้วยการบําบัดความเจ็บไข้ได้ป่วยในพิธีกรรมลําทรงนั้น ขาดเสียงแคนบรรเลงสนับสนุนเสียงขับลํา ไม่ได้ ผู้เก็บข้อมูลจึงตั้งสมมุติฐานว่าเสียงแคนและเสียงลํานั้นต้องมีอิทธิพลต่อกระบวนการบําบัดรักษาเป็นแน่ จึงได้ทําการศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร และการดูงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดให้มี “ดนตรีบําบัด ” ใน สถานพยาบาลต่างๆ ว่ามีอยู่แล้วมากน้อยเพียงใด และเกิดผลสัมฤทธิ์ประการใดต่อมาจึงพบว่าสาขากายภาพบําบัด ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีโครงการดนตรีบําบัดมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2533 และได้วิเคราะห์วิจัยพบว่า ดนตรีใช้ บําบัดโรคภัยไข้เจ็บได้ผลจริง ( เสาวณีย์ ตัวฆโสภณ, 2551) และที่มหาวิทยาลัยมหิดลเองก็ได้เปิดสอนวิชา คนตรีบําบัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 วิชาดนตรีบําบัดเป็นวิชาที่ว่าด้วยการนําองค์ประกอบของดนตรีและกิจกรรมการฝึกทักษะทางดนตรีมา ประยุกต์ใช้ เพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรมของคนไข้ และใช้บําบัดรักษาไข้ทางกาย และทางจิตของคนไข้ร่วมกับการ บําบัดรักษาทางเวชศาสตร์ เพื่อจะได้ช่วยให้การบําบัดรักษาได้ผลเร็วและดีขึ้น อย่างไรก็ดีการใช้ดนตรีบําบัดนั้น ยังต้องยึดหลักเกณฑ์และระบบวิธีทางวิทยาศาสตร์และคุริยางคศาสตร์ช่วยกัน (เสาวณีย์ ตัวฆโสภณ, 2538 ) การที่คนตรีช่วยแพทย์ในการบําบัดรักษาไข้ได้นั้น เป็นเพราะคนตรี โดยธรรมชาตินั้นมีอิทธิพลต่อสรีระ ร่างกายและจิตใจของมนุษย์อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อผู้ทําการบําบัดรู้จักเลือกสรรเอาดนตรีที่เหมาะสมมากระตุ้น ก็จักเป็นประโยชน์ต่อผู้รับการบําบัด
ดนตรีมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ทั้งทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์ได้ เมื่อมีเสียงดนตรี ผ่านเข้าไปสู่ระบบ ประสาทที่ทําหน้าที่รับฟังในสมองส่วนที่เรียกว่า “ Limbric system” แล้ว “ Brain stem ” จะทํางานส่งคลื่นของเสียงต่อไปกระตุ้นให้ระบบสมองอัตโนมัติ (Autonomic nervous system) ทํางาน ทําให้มนุษย์ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ ความคิด และอารมณ์ไปตามประเภทของดนตรีที่ผ่านเข้าไปนั้น
ผลของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คือ อัตราการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราความดันโลหิต อัตราการไหลเวียนของโลหิต การตอบสนองของม่านตา และการตึงตัวของกล้ามเนื้อจะเปลี่ยนแปลง
ผลของการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ คือ อารมณ์ สติ และความนึกคิดเปลี่ยนแปลง โดยดนตรีจะปรับเปลี่ยน อารมณ์ได้ที่ระบบสมองส่วน “คอร์ติเคิล ( Cortical)” ด้วย การกระตุ้นทางจินตนาการและสติปัญญา
องค์ประกอบของดนตรีที่จะใช้บําบัดรักษาไข้ควรเลือกสรร (เสาวณีย์ ตัวฆโสภณ,2541; สําเร็จ คําโมง 2555) ใช้ดังนี้
1. การเลือกจังหวะ (Time)
จังหวะคือชีวิตของดนตรี มีอิทธิพลต่อกายและจิตของมนุษย์มากที่สุด เพราะสามารถกระตุ้นกลไกการ ทํางานทุกระบบของร่างกาย และทําให้เกิดการสนองตอบทางอารมณ์ นอกจากนั้นจังหวะดนตรียังช่วยทําให้ผู้ฟัง เกิดสมาธิ และเกิดการเคลื่อนไหว เกร็ง เครียด หรือผ่อนคลาย
- ถ้าเลือกใช้จังหวะเร็ว กระแทกกระทั้น จะทําให้เกิดอารมณ์ตื่นเต้น เร้าใจและมีพลัง
- ถ้าเลือกใช้จังหวะช้าแต่มั่นคง จะทําให้เกิดอารมณ์สงบ มั่นคง และปลอดภัย
2. การเลือกระดับเสียงและความถี่ของคลื่นเสียง (Pitch / Frequency )
- เสียงแหลมสูง ใช้ทําให้ตื่นเต้น เร้าใจ และรู้สึกเหนื่อย เพราะมีผลต่อการทํางานของต่อมไร้ท่องสัมพันธ์กับระบบประสาท “Sympathetic
- เสียงระดับกลาง ใช้ทําให้เกิดความสบายใจ สงบ และเป็นสุข
- เสียงระดับต่ำมาก ใช้ทําให้เกิดความรู้สึกกลัว เครียด และไม่มั่นใจ
3. การเลือกองศาความดังเบาของเสียง (Dynamic )
- เลือกใช้เสียงดังเพื่อแสดงออกถึงความมีอํานาจและความหรูหรา
- เลือกใช้เสียงเบา เพื่อให้ความนุ่มนวลอ่อนหวาน
- เลือกใช้เสียงค่อยๆ ดังขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นและเครียด
- เลือกใช้เสียงค่อยๆ เบาลง เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสงบสุข
- เสียงที่ดังเกินกว่า 120 เดซิเบล อาจเป็นอันตรายต่อประสาทหูได้ ไม่ควรเลือกใช้
เสียงที่ดังองที่นานๆ ทําให้เมื่อยล้า
4. การเลือกทํานองเพลง (Melody)
- เลือกใช้ทํานองที่มีทิศทางเดินขึ้นสําหรับกระตุ้นความมีพลและความรู้สึกสง่างามเลือกใช้ทํานองที่มีทิศทางเดินลงสําหรับช่วยผ่อนคลายอารมณ์ หรือกระตุ้นอารมณ์เศร้า เลือกใช้การเคลื่อนที่ทํานองแบบกระโดดขึ้นข้ามขั้นเสียงช่วยกระตุ้นความตื่นเต้นและความรู้สึกมีพลัง เลือกใช้การเคลื่อนที่ทํานองแบบกระโดดลงข้ามขั้นเสียงช่วยทําให้รู้สึกหล่นวูบห่อเหี่ยว หรือเศร้าหดหู เลือกใช้ทํานองที่อยู่ในโหมดเสียงทางเมเจอร์ (Major mode) เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรู้สึก
กระปรี้กระเปร่า สง่า หรูหราตื่นเต้น และร่าเริง
- เลือกใช้ทํานองที่อยู่ในโหมดเสียงทางไมเนอร์ (minor mode) เพื่อช่วยกระตุ้นความรู้สึกเศร้า ห่อเหี่ยวว้าเหว่ มีดทีม และลึกลับ
5. การเลือกใช้เสียงประสาน (Harmony )
- เลือกใช้เสียงประสานที่กลมกล่อม (consonant) ทําให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ และคล้อยตาม
- เลือกใช้เสียงประสานไม่กลมกล่อม(dissonant ) ทําให้คนไข้รู้สึกกระด้าง เครียด และไม่สงบ เพื่อปลุกเขาขึ้นมาจากความรู้สึกท้อและล้า
6. การเลือกใช้สีสันของเสียงเครื่องดนตรี (สําเร็จ คําโมง, 2534)
ต้องเลือกให้เหมาะสมตามเจตนารมณ์ของผู้ทําการบําบัด เช่น
- เลือกใช้เสียงไวโอลิน เพื่อให้รู้สึกอ่อนหวาน ร่าเริง ไปจนกระทั่งเศร้า แล้วแต่ลักษณะเพลงและเทคนิคการสี เลือกใช้เสียงเชลโล เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่น เลือกใช้เสียงดับเบิลเบส เพื่อให้เกิดความรู้สึกน่าสะพรึงกลัว
- เลือกใช้เสียงขลุ่ยฟลูต เพื่อให้ความรู้สึกอ่อนหวานและร่าเริง
- เลือกใช้เสียงปีคลาริเน็ต เพื่อให้เกิดความรู้สึกพลิ้วไหว หวานและเยือกเย็นเลือกใช้เสียงแซ็กโซโฟน เพื่อให้ความรู้สึกนุ่มนวล กลมกล่อม และโรแมนติก
- เลือกใช้เสียงโอโบ เพื่อให้ความรู้สึกเศร้าละห้อย
- เลือกใช้เสียงบาซซูน เพื่อให้ความรู้สึกขบขัน
- เลือกใช้เสียงแตรทรัมเป็ต เพื่อให้ความรู้สึกสง่างาม ตื่นเต้น และกล้าหาญ
- เลือกใช้เสียงแตรเฟรนช์ฮอร์น เพื่อให้ความรู้สึกโปร่งงเบาสบายใจ
- เลือกใช้เสียงเครื่องกระทบ เพื่อให้ความรู้สึกสนุกสนาน
- เลือกใช้ตาร์ เพื่อให้ความรู้สึกมีอารมณ์โรแมนติก
- เลือกใช้เสียงเครื่องดนตรีไทย เพื่อให้ความรู้สึกรักความเป็นไทย
- เลือกใช้เสียงดนตรีพื้นถิ่นไทย เพื่อให้รู้สึกลึกลงไปถึงจิตวิญญาณแห่งท้องถิ่นตน ฯลฯ
กิจกรรมดนตรีที่ใช้ช่วยบําบัดรักษาโรคได้ (เสาวณีย์ สังฆโสภณ,2538)
1. การฟังดนตรี (Listening)
กิจกรรมที่ทํา คือ ให้ฟังเสียงดนตรีที่เลือกสรรเหมาะสมกับสภาวะของผู้เจ็บป่วย แล้วแนะให้ผู้ป่วย ปล่อยอารมณ์คิดคล้อยตามหรือทํากิจกรรมอื่นไปด้วย เช่น วาดภาพ ปั้นรูป ระบายสี เพื่อแสดงออกถึงความ ในใจขณะฟัง
การฟังดนตรีมีประโยชน์ต่อคนไข้ ดังนี้
1. ช่วยทําให้จิตมีสมาธิ
2. ช่วยฝึกการจํา เช่น จําทํานอง จําเนื้อเพลง
3. ช่วยให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ตามสาระและคุณภาพเสียงของเพลง
4. ช่วยลดความเครียดทางอารมณ์
5. ช่วยทําให้ร่างกายผ่อนคลาย
2. การร้องเพลง (Singing)
กิจกรรมที่ทําคือให้คนไข้ร้องเพลงเปล่งเสียงออกมาจากกล่องเสียง การบําบัดด้วยร้องเพลงมีประโยชน์ต่อคนไข้ ดังนี้
1. ช่วยให้จิตใจร่าเริง
2. ช่วยระบายอารมณ์ และระบายความเครียดในใจออกมาผ่านเสียงเพลง
3. ช่วยให้คนไข้ได้บริหารปอด กล่องเสียง ลิ้นและปาก ทําให้ต่อมต่างๆ ทํางานดีขึ้น
4. ทําให้ความจุปอดเพิ่มขึ้น มีออกซิเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น
5. ทําให้ร่างกายแข็งแรงสดชื่น
3. การเคลื่อนไหวร่างกาย (Moving / dancing)
กิจกรรมที่ทําคือใช้เสียงเพลงกระตุ้นให้คนไข้เคลื่อนไหวร่างกายในทุกอิริยาบถ เช่น ท่านอน นั่ง ยืน เดิน วิ่ง เป็นต้น อาการเคลื่อนไหวอาจตบมือ กระทืบเท้า เดิน วิ่ง เป็นจังหวะ ผงกศีรษะเป็นจังหวะ ยก แขนขาเป็นจังหวะ หรือเต้นรําตามจังหวะ
การบําบัดด้วยวิธีเคลื่อนไหวร่างกายมีประโยชน์ต่อคนไข้ ดังนี้
1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ
2. ช่วยเพิ่มองศาของการเคลื่อนไหว
3. ช่วยเพิ่มความคงทนของกล้ามเนื้อส่วนที่เคลื่อนไหว
4. ช่วยทําให้ร่างกายและจิตใจสมดุลกัน
5. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว
6. ช่วยทําให้ผู้ป่วยปรับอารมณ์เข้ากับกิจกรรมได้
7. ช่วยทําให้ผู้ป่วยปรับอารมณ์เข้ากับสังคมหมู่พวกได้
8. ช่วยคลายเครียด และเพิ่มความรู้สึกสนุกสนาน
4. การเล่นเครื่องดนตรี (Playing the instruments)
เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้ใช้อวัยวะส่วนที่เหมาะสมฝึกเพื่อการฟื้นฟู ด้วยการสัมผัสกับเครื่องดนตรี แล้วเล่นออกมาเป็นเสียงเพลงได้ การฝึกเล่นเครื่องดนตรีมีประโยชน์ต่อคนไข้ ดังนี้
1. ทําให้คนไข้ได้พัฒนาความสามารถส่วนต่างๆของร่างกายของตนเอง
2. ทําให้คนไข้กล้าแสดงออก
3. ทําให้คนไข้มีสัมพันธภาพอันดีกับบุคคลอื่นที่ร่วมกิจกรรม
4. ทําให้คนไข้เกิดความสุข เพลิดเพลินและ เบิกบาน
5. ทําให้คนไข้ระบายอารมณ์ออกมาโดยใช้เสียงดนตรีเป็นสื่อ
6. ทําให้คนไข้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
5. กิจกรรมความคิดริเริ่มและสร้างอารมณ์ (Encourage and creating )
คือ กิจกรรมที่ทําเสริมขึ้นหลังกิจกรรมอื่นๆ ดังกล่าวมาแล้ว เช่น ให้ก่อตั้งวงดนตรี เล่นดนตรี ร้องเพลง ร่วมกัน เป็นต้น จะทําให้เกิดประโยชน์ต่อคนไข้ คือ
1. ทําให้คนไข้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
2. ทําให้คนไข้เป็นที่ยอมรับของพวกพ้องแล้วจะรู้สึกในคุณค่าของตนเอง
3. ช่วยลดความกลัวและความวิตกกังวลของคนไข้
4. การให้เรียนรู้วิชาการดนตรี
กิจกรรมคือจัดให้คนไข้ได้ใช้เวลาบางส่วนเข้าชั้นเรียนเพื่อเรียนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติซึ่งจะมี ประโยชน์ต่อคนไข้ ดังนี้
1. มีความรู้ด้านทฤษฎีดนตรี
2. มีความรู้ด้านภาคปฏิบัติดนตรี
ประโยชน์ของดนตรีบําบัดที่มีต่อผู้ให้บริการทางแพทย์ ดนตรีบําบัดไม่ใช่มีประโยชน์เฉพาะกับคนไข้ที่มารับบริการเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อผู้ให้บริการซึ่ง ได้แก่ แพทย์ พยาบาล และบุคลากรอื่นๆ อีกด้วย คือ ดนตรีสามารถช่วยให้ผู้ให้บริการลดความตึงเครียดในขณะ ทํางานให้บริการลงได้ด้วย ทําให้เพลิดเพลินกับการให้บริการได้ ทําให้อารมณ์ดีขึ้น ทําให้มีความสุข ทําให้สบาย ใจ ทําให้รู้สึกดีงาม ทําให้ทํางานได้นานขึ้น และช่วยให้งานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ( เสาวณีย์ สังฆโสภณ, 2541 )
อาการของโรคที่ใช้ดนตรีบําบัดได้ ได้แก่
1. อาการป่วยทางจิต
2. อาการป่วยเรื้อรังทุกชนิด
3. อาการติดสิ่งเสพติด
4. อาการทรมานจากความเจ็บปวด
5. อาการเคลื่อนไหวได้ลําบาก
6. ใช้ในห้องผ่าตัด
7. ใช้ในห้องคลอด
8. ใช้ในห้องทํางาน
9. ใช้ในเด็กออทิสซัม (เสาวณีย์ สังฆโสภณ, 2541 )
เอกสารเกี่ยวกับดนตรี
โกวิทย์ ขันธ์ศิริ (2528) กล่าวว่า คนสมัยโบราณถือว่าเสียงดนตรีเป็นเสียงศักดิ์สิทธิ์ มีความลึกลับ สามารถเรียกเชิญสิ่งดี ๆ และขับสิ่งชั่วร้ายได้ ดนตรีจึงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา เรียกว่า Ritual music
พูนพิศ อมาตยกุล (2535) กล่าวว่า การฟังดนตรีของมนุษย์มี 5 ระดับ คือ ฟังรู้เพลงบรรเลงผ่าน ฟังประมาณสื่อสารได้ ฟังด้วยใจสัมผัสจํา ฟังลึกล้ำซ้ำวิจารณ์ และฟังแล้วพิการเป็นมนุษย์
การฟังดนตรีแล้วพิการเป็นมนุษย์ คือ การฟังที่ผู้ฟังเข้าถึงดนตรีเป็นปุถุชนคนธรรมดา เช่น ฟังแล้ว ร้องไห้ ฟังแล้วกรีดร้องอย่างลืมตัว ฟังแล้วหน้าซีดใจสั่น ฯลฯ เป็นต้น การฟังในลักษณะนี้คล้องจองกับการ ฟังลํา และฟังแคนของผู้ป่วยในพิธีกรรมลําทรง
สําเร็จ คําโมง (2535) ได้ศึกษาค้นคว้าตําราดนตรีเล่มต่าง ๆ แล้วเรียบเรียงหนังสือชื่อ “รู้รอบครอบจักรวาลดนตรี” ได้กล่าวถึงอิทธิพลของส่วนต่าง ๆ ของดนตรีไว้ว่า
ไดนามิก คือ ดีกรีความดังเบาของเสียงดนตรี เสียงดังแสดงออกถึงอํานาจและความหรูหรา เสียงเบาให้ ความนุ่มนวล เสียงค่อย ๆ ดังขึ้นให้ความรู้สึกเครียดและตื่นเต้น เสียงค่อย ๆ เบาลงให้ความรู้สึกคลี่คลายและสงบสุข
คุณภาพเสียงของเครื่องดนตรีทําให้เกิดสีสัน สีสันทําให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ต่าง ๆ เช่น สีสันอันแผ่วเบา นุ่มนวล และลื่นไหลของแตรทรัมเป็ต สื่อความรู้สึกตื่นเต้น กล้า และสง่างาม ฯลฯ เป็นต้น
จังหวะดนตรีทําให้ดนตรีมีชีวิต เพราะจังหวะคือชีพจรของดนตรี เตมโปคืออัตราความช้าเร็วของจังหวะ ช่วยสื่ออารมณ์ของผู้ฟังไปต่างๆนานา เช่น เร็วอย่างมีชีวิตชีวา ช้าตามสบาย ช้าอย่างสง่า ช้าอย่างโศกเศร้า ฯลฯ เป็นต้น
ทํานองของดนตรีทําให้ดนตรีมีรูปร่าง ทิศทางเดินของทํานองสามารถสื่อความรู้สึกต่อผู้ฟัง เช่น ทํานองเดินขึ้นให้ความรู้มีพลังและสง่า ทํานองเดินลงให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หรือโศกเศร้า ทํานองที่เคลื่อนไป ตามลําดับขั้นเสียงให้ความรู้สึกราบรื่นฟังแล้วสบายใจ ทํานองที่เคลื่อนที่แบบกระโดดข้ามขั้นเสียงให้ความรู้สึกมี พละกําลัง ถ้ากระโดดข้ามขั้นลงต่ำจะทําให้ความรู้สึกหล่นวูบหรือหดหู
โหมดเสียงของมาตราเสียงดนตรีที่นํามาใช้สร้างทํานองเพลง มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้ฟังได้เช่นกัน ถ้าทํานองเพลงอยู่ในโหมดเมเจอร์ทํานองนั้นจะสื่อความรู้สึก กระปรี้กระเปร่า สง่า หรูหรา ตื่นเต้น หรือร่าเริงต่อผู้ฟัง ถ้าทํานองเพลงอยู่ในโหมดไมเนอร์ ทํานองนั้นจะสือความรู้สึกเศร้า ห่อเหี่ยว มือทีม และความลึกลับ
เสียงประสานของดนตรีก็ให้ความรู้สึกต่าง ๆ ต่อผู้ฟังด้วยเช่นกัน ถ้าฟังเสียงประสานที่กลมกล่อมผู้ฟังจะ รู้สึกผ่อนคลาย สงบ และมีอารมณ์คล้อยตาม ถ้าฟังเสียงประสานที่ไม่กลมกล่อมจะมีความรู้สึกกระด้าง เครียด และไม่สงบ
เสาวนีย์ สังฆโสภณ (2541) กล่าวว่า ดนตรีใช้ช่วยบําบัดโรคได้ 6 กรณี คือ
1. ปรับสภาพจิต
2. กระตุ้นความจํา
3. ก่อเกิดการรับรู้
4. ช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของร่างกาย
5. ช่วยให้เกิดพัฒนาการทางสังคม
6. ช่วยให้เกิดพัฒนาการทางการใช้ภาษา
ดนตรีมีผลต่อสรีระของคนได้ เพราะเสียงดนตรีไปกระตุ้นสมองส่วน Limbric system และส่วน Brain stem ทําให้เกิดคลื่นเสียงถ่ายทอดไปกระตุ้น Autonomic nervous system ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทาง ร่างกายและจิตใจ ดนตรีมีผลต่อจิต ดังนี้
1. Soothing music ทําให้เกิดอารมณ์สงบสุข
2. Light music ทําให้เกิดความสดชื่น สบาย มีจิตใจงดงาม
3. Rock music ทําให้เกิดพละกําลัง และการเคลื่อนไหว
4. Classical music ทําให้เกิดอารมณ์ละเมียดละไม ดื่ม ลึกซึ้ง ดนตรีมีผลต่อร่างกาย ดังนี้
4.1. จังหวะเร็ว ช่วยกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
4.2. เสียงดังมาก ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเกร็งตึง
4.3. เสียงระดับต่ำ ทุ้ม นุ่มนวล ทําให้ร่างการและจิตใจผ่อนคลาย ผู้ป่วยในห้อง ICU (ไม่รู้สึกตัว) ก็สามารถสนองตอบเสียงดนตรีได้ โดยสังเกตจากกราฟแสดงการ เปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ ตามลักษณะของเสียงดนตรีที่ให้ฟัง
เอกสารหมวดนี้ทําให้มีความเข้าใจเรื่องดนตรีบําบัด ซึ่งสามารถนํามาเป็นเครื่องมือในการเก็บ ข้อมูลด้วย
บรรณานุกรม
เรย์ ขันธศิริ. (2528). ดุริยางคศิลปะปริทัศน์(ตะวันออก). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
เวชขอนแก่น. (2540). โรงพยาบาล โรคจิต. ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.
จริยางค์. (2523). พระหลักวิชาการดนตรีลากลและการขับร้องเล่ม 1-3. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร,
บ่อคําแสง วงศ์ดาราและคนอื่น ๆ. (1987). วรรณคดีลาว, เวียงจันทน์ : สถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์สังคม กระทรวงศึกษา ลาว.
บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล. (2539). ฮีต คอง คะลํา วิถีของคนล้านช้างและไทยอีสาน.ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้ง.
ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์. (2533). ปทานุกรมดนตรีสากล. เชียงใหม่ : ฝ่ายเอกสารการพิมพ์สํานักอธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่.
พระครูพรหมฐาณวิกรม. (2539). คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์กรมการศาสนา.
พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.9). (2537). วิธีสมาทานและวิธีวิปัสสนากรรมฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จินดาอักษร.
พระราชสุทธิญาณมงคล. (2544). คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต. สิงห์บุรี : วัดอัมพวัน.
พูนพิศ อมาตยกุล. (2529). “จากเพลงไทยถึงเพลงลูกทุ่ง” ใน จากเพลง ไทยถึงเพลงลูกทุ่ง เอกสารหมายเลข 1. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพจํากัด.
พรชัย ศรีสารคาม. (2522). ก ผญา. มหาสารคาม : วิทยาลัยครูมหาสารคาม,
นิคมานนท์. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย. กรุงเทพฯ : อักษรา พิพัฒน์.
ณ ชินะตระกูล. (2533). คู่มือการทําวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
ทูตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สํานักอักษรเจริญทัศน์.
เมกาโม พระมหา. (2537). การศึกษาเปรียบเทียบความจริงเรื่องจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับจิตในปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น, (2540). สุขภาพจิตกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ขอนแก่น:ขอนแก่นการพิมพ์ ,
สภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2540).ของดีอีสาน.ขอนแก่น : ขอนแก่นการพิมพ์,
สถาบันการแพทย์แผนไทย. (2541). ชุมนุมแพทย์ไทยและสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2. นนทบุรี :สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
สวิง บุญเจิม. (2536). มรดกอีสาน. อุบลราชธานี : อีสานออฟเซทการพิมพ์.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2532). ร้องรําทําเพลง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน.
สุรศักดิ์ พิมพ์เสน. (2532). การทําแคน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม.
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช. (2540). ความเข้าใจเรื่องจิต. กรุงเทพฯมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทยาลัย.
สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2537). ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น ขอนแก่นการพิมพ์.
เสาวนีย์ สังฆโสภณ. (2541). ดนตรีเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์.
Comments