ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ
- ครู บุญ
- 21 ม.ค. 2565
- ยาว 3 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565
ความเชื่อของมนุษย์นั้นเป็นคติธรรมเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งในสังคมอีสานก็มีความเชื่อเฉพาะตนที่เกิดจากอดีตทั้งสิ้น โดยชาวอีสานเคยนับถือผีก่อนที่จะมานับถือพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่ได้เลิกนับถือผีเสียเลย แต่ก็ได้นับถือควบคู่กับไปกับศาสนา
ผีสางเทวดา
พระยาอนุมานราชธนเป็นผู้ที่ได้ศึกษารวบรวมเรื่องผี ในสังคมไทยไว้ได้มากและโดยละเอียดกว่านักวิชาการ ใด ๆ ท่านได้แยกประเภทผีต่าง ๆ ไว้เป็นสองประเภท ใหญ่ ๆ คือ ผีดีและผีร้าย เดิมทีคําว่าผีไม่ได้หมายถึง ผีร้าย แต่มีทั้งดีและร้าย ต่อเมื่อ “เทวดา” ได้เข้ามาพร้อม กับศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา ผีดีจึงมักเรียกกันว่า เทวดา ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า เมื่อพุทธศาสนา ได้กําเนิดขึ้นในอินเดียนั้น ก็ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อประเพณี ดั้งเดิมของชาวอินเดียไปเสียทั้งหมด แต่มีการ “แปลความหมาย เสียใหม่” พระอินทร์และเทวดาทั้งหลายในศาสนาพราหมณ์ ไม่ใช่ผู้ไม่ตาย แต่ก็เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คนทํากรรมดี ไว้มากอาจเกิดเป็นพระอินทร์ เป็นเทวดาในสวรรค์ได้ คําสอนเกี่ยวกับเทวดาในพุทธศาสนามีไว้สําหรับผู้ที่ยัง ไม่สามารถตัดขาดจากความเชื่อประเพณีเดิม หลายคนที่ ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงปัญญาก็เลิกนับถือ สําหรับคนไทย ก็เช่นเดียวกัน ชาวบ้านทั่วไปยังคงนับถือผีสางเทวดา กันอยู่ แต่ก็ถือว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ พระ พุทธเจ้าและผู้บรรลุธรรมทั้งหลายย่อมอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้
คําว่า “สาง” ซึ่งมักจะต่อคําว่า มีความหมายหลาย อย่างหมายถึง กลิ่นผีที่ตัวเหม็น (สางหรือสาบอยู่ในราก ภาษาเดียวกัน) หรือแปลว่า ผี นอกนั้นยังแปลว่า รุ่งเช้า และอาจหมายถึงสัตว์ที่คู่กับเสือ ซึ่งน่าจะหมายถึง ช้าง ภาษาละว้าเรียกช้างว่า สาง
ผีดีและผีร้ายแยกย่อยออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้
1. ผีฟ้าและเทพารักษ์ ผีฟ้า คือ ผีที่อยู่บนฟ้า ได้แก่ ผีแถน ผีแนน ผีกําเนิด ซึ่งหมายถึง ผีที่ได้ให้กําเนิดโลก ตามตํานานภาคอีสานเรียกผู้ให้กําเนิดว่า แถน ในประเพณี ขอฝนมีการอ้อนวอนบนบานแถนให้ฝนตกและข้าวปลา อุดมสมบูรณ์ ในการรักษาคนป่วยมีลําผีฟ้า ขอให้ผีบนฟ้า มารักษาผู้ป่วย นอกจากผีบนฟ้าแล้วยังมีผีบนดิน น้ำ ป่าเขา ถ้ำ ต้นไม้ บ้าน เมือง ถือว่าผีเหล่านี้เป็น “เจ้า" เช่น เจ้าป่า เจ้าทุ่ง เจ้าเขา อีกนัยหนึ่งเป็นเทพารักษ์หรือผู้พิทักษ์ รักษา ผีเหล่านี้จัดว่าเป็นผีธรรมชาติ นอกนั้นยังแยกย่อย ออกไปเป็นเฉพาะแห่งที่หรือประเภทของธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ซึ่งเชื่อว่ามีรุกขเทวดา มีนางไม้ ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ นางตะเคียนและนางตานี คนเฒ่าคนแก่ในชนบทยัง มีความยําเกรงและเชื่อเรื่องนี้อยู่มาก
2. ผีบรรพบุรุษและฝีวีรบุรุษ ผีเหล่านี้เดิมเป็นคน เมื่อตายไปแล้วคนก็ยังเคารพนับถือ เพราะเป็นบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายาย หรือเป็นคนที่มีความเก่งกล้าสามารถพิเศษ เป็นผู้นํานักรบ เป็นเจ้าเมืองหรือคนก่อตั้งบ้านเมือง ซึ่ง ทางภาคอีสานเรียกกันว่าฝีมเหศักข์ ส่วนฝีวีรบุรุษมักจะ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนทรงเจ้าทั้งหลาย โดยเฉพาะชาวจีน คนทรงเจ้าแต่ละคนจะมี “เจ้า” ประจําเช่น เจ้ากวนอู เมื่อเข้าทรงแล้วจะมีความสามารถพิเศษแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เช่น ลุยไฟ ใช้เหล็ก ดาบ มีดแหลมแทงตาม ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไต่บันไดดาบ หรือมีตาทิพย์มอง เห็นของหาย คนหาย ทํานายทายทักเคราะห์ร้ายภัยพิบัติ หรือโชคลาภต่าง ๆ ได้
3. ผีร้าย มักถือว่าเป็นผีไพร่ ผีชั้นเลว ผีร้ายซึ่งมี อยู่ในธรรมชาติทั่วไปเช่นเดียวกับผีดีอื่น ๆ คืออยู่บนฟ้า ในน้ำ บนบก ป่าเขา ในบ้านเมือง มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไปตามท้องถิ่น คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้จัก อาจจะเพียงแต่ เคยได้ยินคนเก่าแก่เล่าให้ฟังเท่านั้น เช่น ผีชะมบ ผีจะกละ ผีกะ ผีโพรง ผีกระหัง ผีโขมด ผีกองกอย ผีโป่งค่าง ผี หลังกลวง ผีห่า ที่ยังพอจะรู้จักดีหรือได้ยินได้ฟังบ่อย คือ ผีเผดหรือเปรต ซึ่งมักหมายถึงภูติผีปีศาจที่ชอบกินของ สกปรก มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ปากเท่ารูเข็ม ตัวผอมสูง คอยาวเป็นวา ชอบแลบลิ้นยาวออกมาหลอก หลอนคน เปรตมักจะเข้าไปเกี่ยวกับตํานานพงศาวดาร วรรณคดีและศิลปะต่าง ๆ ตามฝาผนังโบสถ์เก่า ๆ ของ วัดในชนบท เกจิอาจารย์มีชื่อเสียงบางคนชอบสลักหรือ ปั้นรูปเปรตไว้ในบริเวณวัด
ผีร้ายที่สําคัญอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะ ทางภาคอีสาน คือ ผีปอบ ผีตัวนี้มีลักษณะพิเศษกว่าผู้อื่น ตรงที่เป็นคน เชื่อกันว่าคนที่เล่นของ เล่นว่าน คาถาอาคม แล้วทําผิดข้อห้ามจะกลายเป็นปอบ คนที่เป็นปอบชอบ ไปสิงอยู่ในผู้คนเพื่อกินตับไตไส้พุง จนผู้ที่ถูกสิงตาย หรือบางคนมีวิชาอาคมอาจจะเลี้ยงผีปอบไว้เพื่อไปทําอันตรายผู้ที่ตนเกลียด ให้เจ็บป่วยล้มตายไป ใครที่ถูก ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นปอบจะถูกขับไล่ไสส่งออกจากหมู่บ้าน เป็นที่เกลียดกลัวของผู้คน
นอกจากพวกที่เป็นปอบ เพราะทําผิดข้อห้าม ยังมีคนที่เชื่อว่าเป็นปอบเพราะสืบ ทอดมาจากพ่อแม่พี่น้อง พวกนี้เรียกกันว่า ปอบเชื้อ คน ที่เป็นอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนก็ได้ มารู้ก็ต่อเมื่อคนที่ ถูกปอบเข้า “ออกปาก” เวลาถูกหมอธรรม หมอผีไล่ ต้อง รับเคราะห์หลบไปอยู่ที่อื่นหรือไปหาคนรักษา
ผีต่าง ๆ ทั้งหมดนี้มีทั้งผีมีศาลและฝีไม่มีศาล ปกติ ศาลจะไม่ได้มีไว้สําหรับผีดี ศาลที่สร้างมีทั้งถาวรและ ชั่วคราว ศาลชั่วคราวเรียกว่า ศาลเพียงตา ซึ่งสร้างขึ้น เฉพาะกาล ให้เป็นที่พลีบูชา ขออนุญาต ขอขมาหรือขอ ความคุ้มครอง เช่น การไปตัดไม้ในป่า การเริ่มทําการงาน ในสถานที่ใดที่หนึ่งซึ่งยังไม่มีศาล การไปพักแรมชั่วคราว ในป่าในเขา เป็นต้น ศาลถาวรในป่าเขา ห้วยหนอง แม่น้ำ ทุ่งนา ถนนหนทางก็มีมาก โดยเฉพาะที่ที่มีอันตรายซึ่ง มักมีอุบัติเหตุบ่อย คนมักสร้างศาลไว้ รถราผ่านไปมาก บีบแตรขออนุญาตหรือกราบไหว้ ขอความคุ้มครองให้เดินทาง โดยสวัสดิภาพ
ศาลต่าง ๆ เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น หอผี เรือนผี ศาลเจ้า พระภูมิเจ้าที่ มักมีคําอธิบายว่า ถ้าเป็นผีชนชั้นสูง จะปลูกศาลพระภูมิ เสาจะมีเพียงต้นเดียว ก่อเป็นอิฐปูน แต่ถ้าเป็นผีชนชั้นธรรมดาจะเป็นเรือนไม้มีสี่เสา คําอธิบายนี้ ไม่น่าจะจริงเสมอไป ในหมู่บ้านทั่วไปมักไม่เห็นศาลพระภูมิ อิฐปูนเสาเดียว สาเหตุก็คงเป็นเพราะอยู่ไกลเมือง ไม่สามารถซื้อหาศาลพระภูมิที่มีคนทําสําเร็จรูปขายได้เหมือนคนใน เมือง ปัจจุบันนี้เริ่มมีมากขึ้น เพราะไปมาสะดวก และชาวบ้าน มีกําลังซื้อหา จนกระทั่งหลายแห่งกลายเป็นเครื่องวัด ฐานะของเจ้าของบ้านไป ความจริงพระภูมิบ้านในชนบท หมายถึงพระภูมิของหมู่บ้าน คือ ศาลปู่ย่าตายาย (ทางภาค อีสานเรียกผีปู่ตา ภาคเหนือเรียกผีปู่ย่า ภาคใต้เรียกผีตายาย)
พระภูมิสําหรับบ้านแต่ละหลังโดยปกติไม่มี โดยเฉพาะ ทางภาคอีสานซึ่งชาวบ้านปลูกเรือนอยู่ติดกันและไม่มี รั้วกั้นแบ่งเขตแดน (เพิ่งมีขึ้นตอนมีการประกวดหมู่บ้าน ในระยะหลังนี้เอง) ฉะนั้นพระภูมิบ้านเรือนจึงเป็นวัฒนธรรม พระยาอนุมานราชธนได้อ้างตําราที่แยกประเภท 1 พระภูมิเจ้าที่ไว้ดังนี้
1. พระภูมิบ้านเรือน
2. พระภูมิรักษาประตูและหัวบันได
3. พระภูมิรักษาเรือนหอ
4. พระภูมิโรงวัวควาย
5. พระภูมิยังข้าว
6. พระภูมินา
7. พระภูมิสวน
8. พระภูมิวัด
พระภูมิถาวรมักจะมีพระภูมิบ้านและพระภูมิสวน สําหรับที่อื่น ๆ มักทําเป็นเพียงพระภูมิชั่วคราวหรือศาล เพียงตาตั้งขึ้นเมื่อต้องการทําพิธีพลีบูชาเซ่นไหว้เท่านั้น พระภูมิวัดอาจจะเห็นน้อยในเมืองแต่ในชนบทจะพบเห็น บ่อย ๆ และเป็นที่สังเกตว่าพระภูมิที่ตั้งในบริเวณวัดนั้น จะอยู่นอกกําแพงโบสถ์ แต่ในกรณีที่โบสถ์ไม่มีบริเวณ หรือกําแพงรั้วกั้นเฉพาะ ชาวบ้านจะปลูกพระภูมิไว้ในที่ ห่างไกลออกไปจากตัวโบสถ์
พระภูมิบ้านพระภูมิเมืองแตกต่างไปจากผีบ้านผีเมือง
การสร้างบ้านแปลงเมืองครั้งแรกจะมีการตั้งศาลหรือหอ ขึ้นไว้สําหรับเป็นที่สถิตของผีบ้านผีเมือง และมักจะอยู่ ในที่เดียวกันกับศาลผีพระภูมิเจ้าที่และศาลผีหลักเมือง บางครั้งก็อาจจะแยกกันอยู่คนละที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผีมีลักษณะแตกต่างไป ตามท้องถิ่นและความเชื่อศรัทธา สิ่งที่เหมือนกันก็คือ การเซ่นสังเวยและบูชา แต่ก็กระทําแต่เฉพาะกับผีดีเท่านั้น สําหรับผีร้ายมีแต่วิธีจะหาทางกําจัดขับไล่ไปให้พ้นและ ป้องกันไม่ให้มารบกวนหรือทําอันตรายเท่านั้น รังควาน การลงเลขยันต์และคาถาอาคม วงด้ายสายสิญจน์การปัดเป่า หรือปักเฉลวไว้ตามเขตบริเวณบ้านหรือไร่นา ไว้ที่ปากประตูบ้าน ก็คือการขับไล่ผีร้ายและตัวรังควาญให้ปิดเลขยันต์ ไปให้ห่างพ้น เหล่านี้เป็นพิธีกรรมที่ทั้งพระภิกษุและพราหมณ์ ก็ทํากันทั้งในชนบทและในเมือง ผีร้ายที่ปรากฏในวรรณกรรม นิทาน ตํานาน นวนิยาย อาจมีรูปลักษณะเป็นสัตว์ประหลาด หรือคนที่มีรูปอัปลักษณ์ ในปัจจุบันผีร้ายมักหมายถึงผิด หรือคนที่ตายไปแล้วยังไม่หมดเวรหมดกรรม ยังเที่ยวมา หลอกหลอนชาวบ้าน อย่างกรณีเรื่องราวของแม่นาคพระโขนง จนกว่าผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะทําบุญส่งส่วนกุศลไปให้และผู้ตายนั้นหมดเวรหมดกรรมไปก็จะไม่มาหลอกคนอีก
สําหรับผีดีนั้นจะมีการเซ่นสังเวย ที่พระยาอนุมาน เราชธนเรียกว่า “เซ่นสังเวยประจบประแจง” ที่ต้องเอาใจ ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการอะไรบางอย่าง เช่น ให้ทํามาค้า ขึ้น ให้ทํานาได้ผล ให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ถูกหวยได้โชค ได้ลาภอย่างเดียว แต่เพราะผีทั้งหลายก็เหมือนคน บางคนโกรธง่าย ขี้โมโห ทําอะไรไม่ถูกใจอาจมาทําร้ายได้ ต้องเอาอกเอาใจถวายของที่ท่านชอบ ชอบเป็ดชอบไก่ หัวหมสุราปลาปิ้ง ข้าวต้มขนมหวาน ผักผลไม้ รู้ว่าชอบอะไรก็หา มาให้ สําหรับของพิเศษก็มักจะหามาให้ถ้าหากบนบานไว้ แล้วได้ผลสมความปรารถนา เช่น บนว่าหากว่าปีนี้ข้าว ปลาอาหารสมบูรณ์จะเลี้ยงหัวหมู เหล้าอย่างดี อย่างนี้อาจ จะไม่พิเศษ บางคนสัญญาเป็นช้างม้าวัวควาย หรือจะถวาย ทองเท่าฟักเท่ามะพร้าว เมื่อได้ตามที่บนบานเอาไว้ก็ไม่ สามารถจะหาสิ่งที่ได้บนไว้ได้ จึงมีคนทําสัตว์เหล่านั้นด้วย ไม้นํามาถวาย หรือเอาทองคําเปลวสองสามชิ้นไปแปะติด ฟักหรือมะพร้าวแล้วเอาไปถวาย คงเป็นอุบายที่คนคิดขึ้น เมื่อเห็นว่าผีท่านไม่ได้ว่าอะไรก็กลายมาเป็นประเพณี จะว่าผีหลอกคนอย่างเดียวจึงไม่ใช่ คนก็หลอกผีได้ เหมือนกัน
อย่างกรณีที่เด็กเกิดมาหน้าตาน่ารัก คนสมัยก่อนจะไม่ทักว่า น่ารักน่าเอ็นดู แต่จะพูดตรงกันข้ามว่า น่าเกลียดน่าชัง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผีมาเอาไปยังมีพิธีกรรมและกรรมวิธีอื่น ๆ อีกมากที่คนสื่อ กับผีในลักษณะของอุบายหลอกผีก็มี เช่น อุบายเสียกบาล เช่น กรณีคนเจ็บป่วย เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นหุ่นแทน ตัวคน จะแทนคนไหนก็เอาของที่คนนั้นใช้ เช่นตัดเศษ ผ้านุ่งผ้าห่มไปแต่งหุ่น แล้วเอากาบกล้วยมากลึงเป็นรูป กระบะเรียกว่า กบาล เอาหุ่นตั้งลงไปในกระบะมีข้าวปลา ใส่กะทงน้อยๆวางลงในกระบะนั้นด้วยเอากระบะไปตั้งไว้ กลางแจ้ง 3 วัน แล้วเอาไปทิ้งที่อื่นเป็นเสร็จพิธี จึงเรียก กันอยู่เสมอมาว่า ตุ๊กตาเสียกบาล ในท้องถิ่นอื่น ๆ ก็มีพิธี ในลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น ที่เพชรบุรี ราชบุรี ทําพิธี เรียกว่า “พิธีปล่อยวัวปล่อยเกวียน” ทางภาคใต้เรียก “พิธีเสียรูปต่างตัว” ทางภาคเหนือเรียกว่า “ส่งสะตรงหรือสะโตง" นอกจากตุ๊กตาแล้วยังมีรูปสัตว์อื่น ๆ เช่น หมู หมา ช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งอาจจะมีความหมายต่างออกไปในกรณี ที่ชาวอีสานปั้นหรือทําถวายผีปู่ตา โดยไม่จําเป็นต้องเป็นดินเป็นไม้ แต่เป็นใบมะพร้าวมาทําเป็นรูปตัวแทน หรือใน กรณีการบนบานกับพระพรหมหรือพระภูมิเจ้าที่อื่น ๆ
ความเชื่อเรื่องผี
ความเชื่อของมนุษย์นั้นเป็นคติธรรมเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งในสังคมอีสานก็มีความเชื่อเฉพาะตนที่เกิดจากอดีตทั้งสิ้น โดยชาวอีสานเคยนับถือผีก่อนที่จะมานับถือพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่ได้เลิกนับถือผีเสียเลย แต่ก็ได้นับถือควบคู่กับไปกับศาสนา ซึ่งความเชื่อของคนอีสานมี (พระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ, 2528) ดังนี้
1) เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม เช่น เมื่อต้องการปลูกบ้านหนึ่งหลังชาวอีสานจะทำการเชิญผู้ที่มีอาคม หรือผู้ที่สามารถดูดวงได้มาดูฤกษ์ยามให้ว่า วันใดควรที่จะต้องตั้งเสาเอกได้
2) เชื่อเรื่องผีสางเทวดา นางไม้ เช่น บริเวณหมู่บ้านจะมีศาลสร้างเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ตั้งอยู่บริเวณที่ป่ารกร้างดูแล้วน่าเกรงขามเป็นเอามาก ซึ่งศาลนี้ชาวบ้านจะเรียกว่า ศาลปู่ตา ชาวบ้านเชื่อว่าศาลปู่ตานี้มีเทวดารักษาอยู่จะช่วยให้ปกปักรักษาชาวบ้านให้พ้นภัยจากอันตรายต่าง ๆ ได้
3) เชื่อเรื่องพระภูมิเมือง เช่น ในทุกหมู่บ้าน และทุกจังหวัด ชาวบ้านเชื่อว่าจะมีเทวดาอารักษ์คอยปกปักรักษาอยู่ เรียกว่า มเหศักดิ์เมือง และเมื่อใดชาวบ้านปลูกศาลาให้มั่นคงแล้วจะเรียกว่า ศาลเจ้ามเหศักดิ์
4) เชื่อเรื่องผีวิญญาณบรรพบุรุษ คือ การที่ชาวอีสานเชื่อว่าญาติพี่น้องที่จากโลกนี้ไปแล้วนั้นจะยังคงกลับมาปกปักดูแลลูกหลานเขาอยู่ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่เคยเปลี่ยนแม้กระทั่งจนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้จากประเพณีบุญเดือน 10 คือบุญข้าวสาก
5) เชื่อเรื่องราง สังหรณ์ เช่น ผู้ที่ชอบนิมิตเห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วนำมาพยากรณ์หากฝันดีก็จะทำให้เกิดความพึงพอใจในฝันนั้น แต่ถ้าหากฝันร้ายก็จะทำให้ผู้ที่ฝันเกิดความกังวลใจหากยังไม่สบายใจก็อาจจะไปวัดให้พระอาบน้ำมนต์เพื่อเป็นการแก้เคราะห์ก็ได้ แล้วลางร้ายนั้นก็จะได้เบาบางลง
นอกจากความเชื่อเรื่องที่กล่าวมาแล้ว ยังไม่มีความเชื่ออีกประเภทหนึ่ง คือ โสก หรือ โฉลก หมายถึง ความพอดี หรือ กริยาของคนที่แสดงออกมาด้วยความพอดี เช่น โสกหน้าคน โสกเสาเฮือน ฯลฯจะเห็นได้ว่า โศกที่หมายถึงความพอดีนี้สามารถใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากให้เกิดความพอดี และหากนำโสกมาใช้กับคนก็หมายถึงให้รู้จักความพอดีรู้กาลเทศะ และอีกอย่างโสกนี้ยังสามารถใช้ดูฤกษ์ยามได้ด้วย (ประมวล พิมพ์เสน, ม.ป.ป.)
บรรณานุกรม
เรย์ ขันธศิริ. (2528). ดุริยางคศิลปะปริทัศน์(ตะวันออก). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
เวชขอนแก่น. (2540). โรงพยาบาล โรคจิต. ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.
จริยางค์. (2523). พระหลักวิชาการดนตรีลากลและการขับร้องเล่ม 1-3. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร,
บ่อคําแสง วงศ์ดาราและคนอื่น ๆ. (1987). วรรณคดีลาว, เวียงจันทน์ : สถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์สังคม กระทรวงศึกษา ลาว.
บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล. (2539). ฮีต คอง คะลํา วิถีของคนล้านช้างและไทยอีสาน.ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้ง.
ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์. (2533). ปทานุกรมดนตรีสากล. เชียงใหม่ : ฝ่ายเอกสารการพิมพ์สํานักอธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่.
พระครูพรหมฐาณวิกรม. (2539). คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์กรมการศาสนา.
พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.9). (2537). วิธีสมาทานและวิธีวิปัสสนากรรมฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จินดาอักษร.
พระราชสุทธิญาณมงคล. (2544). คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต. สิงห์บุรี : วัดอัมพวัน.
พูนพิศ อมาตยกุล. (2529). “จากเพลงไทยถึงเพลงลูกทุ่ง” ใน จากเพลง ไทยถึงเพลงลูกทุ่ง เอกสารหมายเลข 1. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพจํากัด.
พรชัย ศรีสารคาม. (2522). ก ผญา. มหาสารคาม : วิทยาลัยครูมหาสารคาม,
นิคมานนท์. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย. กรุงเทพฯ : อักษรา พิพัฒน์.
ณ ชินะตระกูล. (2533). คู่มือการทําวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
ทูตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สํานักอักษรเจริญทัศน์.
เมกาโม พระมหา. (2537). การศึกษาเปรียบเทียบความจริงเรื่องจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับจิตในปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น, (2540). สุขภาพจิตกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ขอนแก่น:ขอนแก่นการพิมพ์ ,
สภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2540).ของดีอีสาน.ขอนแก่น : ขอนแก่นการพิมพ์,
สถาบันการแพทย์แผนไทย. (2541). ชุมนุมแพทย์ไทยและสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2. นนทบุรี :สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
สวิง บุญเจิม. (2536). มรดกอีสาน. อุบลราชธานี : อีสานออฟเซทการพิมพ์.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2532). ร้องรําทําเพลง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน.
สุรศักดิ์ พิมพ์เสน. (2532). การทําแคน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม.
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช. (2540). ความเข้าใจเรื่องจิต. กรุงเทพฯมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทยาลัย.
สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2537). ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น ขอนแก่นการพิมพ์.
เสาวนีย์ สังฆโสภณ. (2541). ดนตรีเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์.
Comments