top of page

ความเชื่อไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

นายแพทย์สงัน อธิบายว่า เรื่องผีเข้าหากเป็นการเข้า เพียงครั้งเดียวและไม่เข้าอีกถือเป็นเรื่องทางจิตที่เล็กน้อย การรักษาก็ทําได้ไม่ยากนักนอกนั้นวัฒนธรรมพื้นบ้านเอง ก็ไม่ถือว่าเรื่องผีเข้าเป็นโรคประสาทหรือโรคบ้าอย่างใน สังคมสมัยใหม่

ไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์

ภาษาไทยใช้คําว่า “ศาสตร์” เพื่อขยายวิชาที่เกี่ยวกับ ความรู้แบบประเพณีและความรู้แบบใหม่ ความรู้แบบ ประเพณีมีมิติของ “ไสยศาสตร์” โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีอะไรที่คนทําโดยไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่ง “เหนือธรรมชาติ” การเกิด การตาย การแต่งงาน การสร้างบ้านเรือน การ ทํามาหากิน การดําเนินชีวิตประจําวัน แม้แต่การละเล่น เพื่อความสนุกสนาน เช่น การเล่นดนตรีก็ยังเกี่ยวข้อง กับผีสางเทวดา สิ่งเหล่านี้มีทั้ง “วิทยา” และ “อาคม” มีทั้งความเชื่อและเหตุผล มีอารมณ์ ความรู้สึก ญาณและ ปัญญาประกอบเป็นส่วนสําคัญ

วิทยาศาสตร์เป็นวิชาการที่พัฒนาขึ้นมาจากศาสตร์ แบบประเพณีโดยเฉพาะในประเทศตะวันตกวิทยาศาสตร์ เป็นแขนงหนึ่งของศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในยุค ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมของตะวันตก (Renaissance) แต่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงมาเป็นลําดับนับแต่กําเนิดของ “ปรัชญา” ในประเทศกรีกเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ดาราศาสตร์ พัฒนามาจากโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่เก่าแก่มีมาตั้งแต่ ยุคแรกเริ่มของอารยธรรมทั้งตะวันตกและตะวันออก พัฒนาการของศาสตร์สมัยใหม่เกิดจากการค้นพบวิธีการ ใหม่ในการศึกษาหาความรู้ วิธีการใหม่และกระบวนทัศน์ ใหม่เป็นปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เมื่อความสัมพันธ์ของคนกับ ธรรมชาติ สังคมและสิ่งแวดล้อมเริ่มเปลี่ยนไป วิธีการ ใหม่ ๆ ก็ถูกค้นพบ ในขณะเดียวกัน วิธีการเหล่านี้ก็เสริม และสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ ๆ นั้นด้วย

นับแต่แรกเริ่มประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก จนถึงยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ความรู้แบบประเพณีซึ่งมี พื้นฐานอยู่ที่ไสยศาสตร์และศาสนา เป็น “องค์ความรู้ (The Knowledge) คนสมัยนั้นเชื่อว่า แหล่งกําเนิด (source of knowledges) ของความรู้ คือ เทพเจ้าพระเจ้า สวรรค์ เป็นความรู้ (divine source) ชาวกรีกยุคก่อนปรัชญาเชื่อว่า ทุกอย่างมาจากเทพเจ้า เรื่องราวต่าง ๆ เล่าสืบต่อกันมา และมีผู้บันทึกไว้เป็นตํานาน (mythology) และวรรณกรรม อันยิ่งใหญ่ เช่น ผลงานต่าง ๆ ของมหากวีโฮเมอร์ ศาสนา คริสต์ซึ่งมีอิทธิพลต่ออารยธรรมตะวันตกมากที่สุด เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็น “องค์ปรีชาญาณ” (The Wisdom) ทรงเป็นที่มาและแหล่งกําเนิดของความรู้ทั้งมวล กฎธรรมชาติ (natural law) มาจากกฎอันศักดิ์สิทธิ์ (divine law) สิทธิของ มมนุษย์ (human right) มาจากสิทธิของพระเจ้า (divine right) วิชาการต่างๆ ของมนุษย์ไม่ได้ค้นพบอะไรใหม่ เพียงแต่ ไม่สามารถให้คําอธิบายสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น พระเจ้าทรงสร้างโลกและกฎเกณฑ์ของมัน ทรงให้ “คําอธิบาย” ต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว พระคัมภีร์ไบเบิลให้คําอธิบาย สิ่งเหล่านี้ มนุษย์มีหน้าที่ทําความเข้าใจกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงบอกไว้เท่านั้น หากว่าคําอธิบายของมนุษย์ไป ขัดแย้งกับสิ่งที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล ก็ถือว่า มนุษย์เป็นฝ่ายผิด พระเจ้าย่อมผิดไม่ได้ นี่คือที่มาของความ ขัดแย้งระหว่างฝ่ายปกครองของศาสนจักรกับนักคิด

นักวิทยาศาสตร์ในยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและยุคใหม่ กาลิเลโอ คือ ตัวอย่างคลาสสิกของความขัดแย้งนี้ กาลิเลโอ เกิดหลังโซคราติสประมาณ 2,000 ปี แต่ก็ประสบชะตากรรมคล้ายคลึงกัน โซคราติสถูกประหารให้ดื่มยาพิษ เพราะไปสอน “ความรู้ใหม่” ที่ขัดแย้งกับความรู้เดิม ความรู้ เดิมนั้นสัมพันธ์กับประเพณีวัฒนธรรมของกรีกอย่าง แน่นแฟ้น โซคราติสสอนคนให้เข้าใจว่า จําเป็นต้องแสวงหาความรู้ใหม่ตลอดไป “ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าไม่รู้” คือ คติของปราชญ์ที่แท้ ซึ่งไม่ยอมหยุดในการแสวงหาความรู้ใหม่ โซคราติสคือบิดาแห่งวิภาษวิธี (dialectic) เขาคือผู้ให้กําเนิดวิธีการแสวงหาความรู้วิธีนี้ ซึ่งประวัติศาสตร์ตะวันตก ได้พัฒนาวิธีการนี้มาถึงจุดสุดยอดที่ปรัชญาของเฮเกล (จิตนิยมวิภาษ dialectic idealism) และมาร์กซ์ (วัตถุนิยม วิภาษ dialectic materialism)

ในส่วนของกาลิเลโอนั้น เขาได้รับเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของปราชญ์อื่น ๆ ก่อนหน้าเขา โดยเฉพาะ เคปเลอร์ โคเปอร์นิคัสและเบคอน มาหาข้อสรุปเรื่อง ดาราศาสตร์ เขายืนยันว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอย่างที่คนสมัยนั้นเชื่อ ดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลก แต่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ซึ่งมีดวงดาวต่าง ๆเป็นบริวารอีกหลายดวง ข้ออ้างของกาลิเลโอ กับสิ่งที่ผู้นําฝ่ายศาสนจักรเชื่อโดยการข้างต้น แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่อย่างกาลิเลโอจะไม่ได้ ประหารชีวิตเหมือนคนที่ถูกกล่าวหาเป็นแม่มดในยุคนั้น แต่ก็ถูกจับเข้าคุกและเมียดเบียนอย่างแสนสาหัส

เรื่องของศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องของศาสตร์อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องชีวิต สังคม การเมืองและพัฒนาการของ มนุษยชาติ นักคิดนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์เคยถูกประหารถูกเบียดเบียนมาจนถึงยุคใหม่ เมื่อศาสตร์สมัยใหม่ ได้พัฒนาขึ้นมาเต็มรูปแบบ รากฐานสังคมเปลี่ยนจากความเชื่อเรื่อง “เทวสิทธิ” หรือ “สิทธิของพระเจ้า เรียก right) มาสู่สิทธิมนุษยชน (human right) จากอํานาจปกครอง เบ็ดเสร็จแบบประเพณีมาสู่ประชาธิปไตย จากสังคมเกษตรกรรมมาสู่สังคมอุตสาหกรรม จากโลกแคบไปสู่โลกกว้าง การปฏิวัติของสังคมเป็นปฏิสัมพันธ์กับการปฏิวัติทางความรู้ กระบวนทัศน์เก่าถูกทําลายเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ขึ้นมา โลกของยุคกลางถูกเปิดกว้าง ไม่ใช่รูปแบบของพระคัมภีร์ไบเบิลและประเพณยูดายคริสเตียนอีกต่อไป การค้นหาดําเนินไปอย่างไม่มี 5 สิ้นสุด การค้นพบใหม่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อศาสนจักรมีอํานาจ คนที่เสนอแนวคิดใหม่ทางวิทยาศาสตร์กล่าวหาว่าเป็นพ่อมดหมอผี เสนอวิชาความรู้เมื่อสังคมของอาณาจักรมีอํานาจขึ้นมาตั้งแต่เริ่มยุคใหม่ ตัวแทนของศาสนจักรเองก็รับข้อกล่าวหาที่ตนเคยกล่าวเขาผู้อื่นกลับคืนไป นิทเซ่ นักปรัชญาชาวเยอรมันผู้ประกาศ ว่า “พระเจ้าตายแล้ว" เกลียดกลัวบาทหลวงที่สวมชุดดํายาวราวพ่อมดหมอผี มาร์กซ์ประกาศว่า ศาสนาเป็นยาเสพติดของประชาชน ฟรอยด์ประกาศว่า ทางศาสนาเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง วิตเกนสไตน์และความเชื่อนักปรัชญาแนววิเคราะห์และแนววิทยาศาสตร์เรียกร้อง ให้เลิกพูดในสิ่งที่พูดแล้ว “พิสูจน์" ไม่ได้

การต่อสู้ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรุนแรงนับแต่กลางศตวรรษที่แล้วถึงกลางศตวรรษนี้ ผู้คนในตะวันตก โดยเฉพาะนักวิชาการสมัยใหม่ให้ความสําคัญกับวิทยาศาสตร์ จนดูเหมือนว่าทุกอย่างต้องอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะมีคุณค่าและความหมาย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะสังคมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต้นศตวรรธนะ งๆ วิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคน มนุษย์คิดว่าตนเองได้ก้าวเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ เต่ไม่อาจจะหวนกลับไปสู่ความคิด ความเชื่อแบบดั้งเดิมได้อีกต่อไป แม้ว่าจะยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อธิบายไม่ได้ ก็เป็นเพียงสิ่งที่อธิบาย “ยังไม่ได้” แต่ก็จะต้องอธิบายได้ สักวันเท่านั้น แต่ก็เหมือนว่าชะตากรรมของมนุษย์ทน ไม่ได้กับอหังการดังกล่าว มนุษย์เริ่มรบราฆ่าฟันกันเอง อย่างบ้าบินโดยอาศัยสิ่งที่ตนเองค้นคิดประดิษฐ์ขึ้นมา นั่นเอง ผู้คนล้มตายหลายสิบล้าน บ้านเมืองถูกทําลาย ทรัพย์สินเสียหายสุดคณานับ สิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้ถ่าย ทอดและผู้คนได้บํารุงรักษามาหลายร้อยหลายพันปีถูก ทําลายลงไปอย่างย่อยยับ เหลือแต่ “ความบัดซบ” (absurdiv ไว้เบื้องหลัง นักวิทยาศาสตร์และผู้ที่เชื่อและหลงใหล ในวิทยาศาสตร์เริ่มจะ “ได้สติ” ลดอหังการมาพิจารณาชีวิต ในมิติที่ลุ่มลึกไปกว่าแค่สิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้ ลดทิฐิ ที่อยากให้ทุกอย่าง “พิสูจน์ได้” ลงไป ยอมรับว่าสิ่งที่พิสูจน์ ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็มีความหมายได้เหมือนกัน อะไรที่พูดถึงแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็น่าจะพูดได้ ผู้คนที่เชื่อมั่นในตนเองเกินขนาดยืนอยู่ต่อหน้าซากศพสิ่งปรัก หักพังของสงครามและทนทรมานเพราะความอดหยาก หิวโหยเริ่มค้นพบตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เริ่มยอมรับในความ เปราะบางและความจํากัดของตนเองในจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้ ยิ่งมองเห็นความเล็กของตนเองเท่าใด ก็ยิ่งมองเห็นความ ยิ่งใหญ่ของจักรวาลเท่านั้น นี่คือจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ แต่เดิมมา ด้วยเหตุนี้ความเคารพในบรรพบุรุษและภูมิปัญญาของท่านเหล่านั้นก็ได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดมาแต่เดิมเริ่มได้รับการสนใจ มากยิ่งขึ้นไสยศาสตร์และศาสนายังมีที่ของตนเองในสังคมปัจจุบัน

เพราะเหตุนี้วิธีการแสวงหาความรู้ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่จึงมีปรัชญาเกิดขึ้นมีอยู่สองวิธี คือ วิธีการนิรนัย deductive) และวิธีการอุปนัย (inductive) วิธีการแรก คือ เอาหลักการหรือกฎเกณฑ์หนึ่งเป็นตัวตั้ง นําไปอ้างใช้ในการเข้าใจเรื่องอื่น ๆ หลักการหรือกฎเกณฑ์นี้ ถือว่าเป็นความจริงที่ไม่มีการโต้เถียงอีกต่อไป ความจริงที่ว่าคนเป็นสัตว์ที่มีเหตุผล ถูกนําไปใช้อธิบายหรือตัดสินพฤติกรรมของคนว่าคนไหนมีเหตุผล ไม่มีเหตุผล กฎเกณฑ์ตายตัวนี้มีทั้งในไสยศาสตร์ศาสนาและวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ยอมรับกันโดยทั่วไป “ผีมีอยู่จริง” เป็นหลักเกณฑ์ที่ชาวบ้านชนบทไม่มีใคร โต้เถียง “ชีวิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เป็นหลักเกณฑ์ ทางพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนเชื่อและไม่โต้เถียง “2 + 2 = 4” เป็นหลักความจริงทางคณิตศาสตร์ “โลกกลม เป็นหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้เป็นต้น หลักการ เหล่านี้ถูกนําไปอธิบาย ไปใช้ในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประ จําวันของคนที่ “เชื่อ” ในหลักการดังกล่าว อีกนัยหนึ่ง วิธีการนิรนัยเริ่มจาก “ใหญ่ไปหาเล็ก” จากหลักการไป หาเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ

วิธีการทางอุปนัย (inductive) เป็นวิธีการที่เริ่มจาก “เล็กไปหาใหญ่” จากส่วนย่อยต่าง ๆ หาข้อสรุปสังเคราะห์ เป็นหลักการออกมา เช่น นิวตันสังเกตว่าสิ่งต่าง ๆ จะ ต้องตกลงพื้นเสมอ ไม่ว่าผลไม้จากต้น โยนสิ่งของขึ้นไป บนฟ้าก็จะตกลงมา จึงสรุปออกมาเป็นกฎแห่งการโน้มถ่วง ของโลก นักวิทยาศาสตร์แยกส่วนประกอบต่าง ๆ ของน้ำออกมาพบว่ามีออกซิเจนและไฮโดรเจนเป็นสัดส่วน HO เสมอ จึงสรุปว่า น้ำมีองค์ประกอบดังกล่าวไม่เป็นเรื่องจริงที่ว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช้ วิธีการนิรนัย หากไม่มีหลักเกณฑ์ (axiom) ซึ่งนักคิดนัก วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบและถ่ายทอดกันมาจนถึงยุคใหม่ ก็คงไม่อาจมีการค้นพบใหม่อะไรเกิดขึ้น กระบวนความรู้ ใหม่เป็นวิภาษวิธี ซึ่งต้องมีหลักเกณฑ์บางอย่างที่ถือและ ยอมรับกันก่อน การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในยุคใหม่ไม่ได้ ใช้วิธีการทางอุปนัยของนักวิทยาศาสตร์ฝ่ายประสบการณ์นิยม (empiricism) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษเท่านั้น เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานระหว่างวิธีการ นิรนัย อันได้แก่ หลักการทางคณิตศาสตร์ซึ่งเฟื่องฟูใน ฝรั่งเศส กับหลักการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเฟื่องฟูในอังกฤษ วิธีการอุปนัยไม่ได้เกิดขึ้นมาในยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม และยุคใหม่ แต่เกิดมาตั้งแต่มีปรัชญามาแล้ว นักปรัชญา ยุคแรก ๆ ที่อ้างหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมาล้วนแต่ใช้วิธี การแบบอุปนัยทั้งสิ้น แม้ว่าวิธีการของพวกเขาจะแตกต่าง ไปจากวิธีการของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยใหม่ก็ตาม นัก ปรัชญายุคแรก ๆ ที่อ้างว่าหลักเกณฑ์ (principle) ของโลก หรือสิ่งที่ทําให้โลกเป็นโลก คือ น้ำ อีกคนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ อีกคนว่า อะตอม ก็ล้วนแต่ได้จากการสังเกตและการค้นหาจากความเป็นจริง มิได้ถือเอามติของคนอื่น ๆ ก่อนหน้าพวกเขาเป็นสัจธรรม เพราะหากถือเช่นนั้น

พวกเขาก็ไม่อาจอ้างหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาได้ไม่เป็นเรื่องจริงเช่นเดียวกันที่ว่า ไสยศาสตร์และ ศาสนาไม่ใช้วิธีการอุปนัย เพราะคนที่เชื่อในไสยศาสตร์ ถือเอาประสบการณ์จากคนอื่นและตนเองเป็นหลัก ประ สบการณ์นี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้ นับได้ หรือเป็น รูปธรรมเสมอไป เช่น ความเชื่อเรื่องผี คนที่เชื่อคงไม่ เคยเห็นผี แต่ที่เชื่อก็เพราะผีมีความหมายต่อชีวิตของ พวกเขา “ผีมีจริงเพราะผีมีความหมาย” ความหมายนี้ เป็นเรื่องชีวิตทั้งหมด ทําให้พวกเขาสบายใจ ทําให้อยู่ร่วม กันในสังคมอย่างเป็นสุข ทําให้เกิดความสงบ ความพอใจ "ความหมาย” สําหรับชาวบ้านที่เชื่อในเรื่องผีจึงไม่ใช่เรื่อง เหตุผลหรือความรู้ประเทืองปัญญาอย่างเดียว สําหรับ วิทยาศาสตร์ “ผีมีจริงก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้" (ด้วย หลักวิทยาศาสตร์) เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ผีจึงไม่มีจริง ชาวบ้าน สามารถอ้างและ "พิสูจน์" ได้ว่าผีมีจริง เพียงแต่ “ข้อ พิสูจน์" ของชาวบ้านเป็นคนละเรื่องกับข้อพิสูจน์ของ วิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ดี อาจจะสรุปได้ว่า ไสยศาสตร์และศาสนา เน้นที่วิธีการนิรนัย หรือเน้นที่หลักการ หลักความจริงที่ ไม่ต้องพิสูจน์ ไม่ต้องถกเถียง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่ใช้ วิธีการอุปนัย ส่วนวิทยาศาสตร์นั้นเน้นวิธีการอุปนัย แต่ ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่ใช้วิธีการนิรนัย ด้วยเหตุนี้จึงพบ ในชีวิตจริงว่า คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักคิด บางคนก็ยังถือเรื่องไสยศาสตร์ นับถือศาสนา เรื่องพระเจ้า สวรรค์นรก ชาวบ้านที่นับถือไสยศาสตร์เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ วิทยาศาสตร์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ไปหาทั้งแพทย์ที่โรงพยาบาล และหมอพื้นบ้านพร้อม ๆ กัน ชาวบ้านสามารถศึกษา เล่าเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์ กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ เหมือนกับคนอื่น ๆ โดยอาจจะยังไม่ทิ้งความเชื่อเดิมไป ทั้งหมด ตราบใดที่คนไม่ได้มีแต่เหตุผลหรือปัญญา ตราบนั้น คนก็ยังต้องมีทางแสดงออกของความเชื่อ ความรู้สึก นึกคิดและจิตวิญญาณซึ่งเป็นองค์ประกอบสําคัญของ มนุษย์ด้วยเช่นเดียวกันวิทยาศาสตร์เน้นเรื่องประสาทสัมผัส (sensation) และเหตุผล (Intellect) ใช้ประสาทสัมผัสเพื่อสังเกต ใช้ เหตุผลเพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งที่สัมผัส ในขณะที่ ไสยศาสตร์และศาสนาเน้นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก (emotion) และญาณ (Intuition) เป็นสําคัญ

ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า วิทยาศาสตร์เป็นเพียง ศาสตร์หนึ่งในบรรดาศาสตร์ทั้งหลายที่พยายามอธิบาย ปรากฏการณ์ธรรมชาติ มนุษย์และสังคม แม้จะสามารถ ค้นพบสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ทราบกันดีว่า ยังมีความ ลี้ลับอีกสุดคณา ยิ่งใหญ่กว่าที่สติปัญญาและวิชาการของ มนุษย์จะหยั่งถึงและอธิบายได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องดวงดาว และจักรวาลอันกว้างใหญ่ แม้พืชสัตว์ในทะเลและบนบก รอบตัวมนุษย์เองก็ยังไม่อาจจะเข้าใจได้ทั้งหมด ยาสมุนไพร จํานวนมากที่ชาวบ้านใช้รักษาโรคมาหลายชั่วอายุคนยัง ไม่มีคําอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หรืออีกนัยหนึ่ง วิทยาศาสตร์ ยังไม่มีเครื่องมือสูตรทฤษฎีที่จะอธิบาย ว่าบางชนิดชาวบ้านเก็บจากภูเขาหรือป่าดงนํามาปลูกในสวนหลังบ้าน หรือเอาหัวมาเก็บรักษาไว้ก็เป็นที่เชื่อกันในหมู่ชาวบ้านว่า “อภินิหาร” สามารถปกป้องเจ้าของจากภยันตราย สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บบางประการ วิทยาศาสตร์บางแขนง ศึกษาเรื่องนี้และยอมรับในระดับหนึ่งว่าว่านเหล่านั้นม รังสีและพลังบางชนิดจริง แต่ยังหาคําตอบที่แน่ชัดไม่ได้ แร่ธาตุก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งผู้คนได้เชื่อถือมาหลายพันปีว่า บางชนิดมีความอัศจรรย์ที่ทําให้เจ้าของมีความสามารถ พิเศษที่คนธรรมดาไม่มี โบราณกาลพูดถึงการเล่นแรง แปรธาตุ คนไทยทุกวันนี้เล่น “เหล็กไหล” ประเภทยิงฟัน ไม่เข้า ยิ่งไม่ถูก เล่าลือกันมากว่าของแท้แม้ถูกกระสุน หรือระเบิดก็จะคงทน แต่ที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนือง ๆ ที่มีการทดลองยิงด้วยปืน มักจะแหลกเหลวกันหมด วิทยาเรื่องนี้เช่นกัน และเชื่อว่า สามารถนํามาเป็นพลังงานได้ มีแร่ธาตุบางชนิดที่มีพลังพิเศษที่สามารถนํามาเป็นพลัง แร่เรเนียมกับพลังงานปรมาณู และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ใช้ ในการทดลองการเดินทางในอวกาศหรือสร้างอาวุธที่ร้ายแรงได้และรับว่ายังไม่สามารถเข้าถึงความลี้ลับอีกมากมายในแร่ธาตุและพืชสัตว์เหล่านี้

วิชาการอย่างจิตวิทยายอมรับว่าความรู้เรื่องจิตของมนุษย์ยังดูเหมือน “ยากแท้ หยังถึง” จริงๆ เพราะเท่าที่ “อธิบาย” กันได้อยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่น่าจะถึงห้าเปอร์เซ็นต์ของความเป็นจริงทางจิต แม้จิตวิทยาจะแตกแขนงออกไปมากมาย แม้จะมีทฤษฎีเกิด ขึ้นอยู่ไม่ขาด ความลี้ลับจํานวนมากก็ยังคงลี้ลับต่อไป ปรจิตวิทยา (parapsychology) คือ จิตวิทยาแขนงหนึ่งซึ่ง ค้นคว้าเรื่องราว “ปาฏิหาริย์” ทางจิตมากกว่าแขนงใด ๆ มีสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงบางแห่งของยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีสถาบันวิจัยค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง ที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและที่สหรัฐอเมริกา ผลการศึกษาเกี่ยวกับวิชานี้น่าจะใกล้เคียงกับปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “ไสยศาสตร์” มากที่สุด มากเสียจนกระทั่งว่า ถ้าใครสนใจซื้อหนังสือเกี่ยวกับวิชาการนี้ในร้านหนังสือ ในยุโรปและอเมริกา จะต้องไปหาในแผนกหนังสือที่ว่า ด้วยไสยศาสตร์หรือเรื่องลึกลับ (Occulism)

ปรจิตวิทยายอมรับว่า ในตัวคนยังมีพลังจิตมากมาย ที่ไม่สามารถอธิบายได้ มีบางคนที่มีพลังจิตพิเศษกว่าคนอื่น และสามารถใช้พลังจิตนั้นทําสิ่งที่คนธรรมดาทําไม่ได้ การสะกดจิตเป็นเรื่องที่รู้กันมานาน การใช้พลังจิตเปิด ประตูหรือทําสิ่งต่าง ๆ ก็มีมาก นักวิชาการด้านนี้ได้ทํา การรวบรวมความสามารถทางจิตของคนที่มีพลังพิเศษ เหล่านี้ และทําการศึกษาทดลองในทางวิทยาศาสตร์ จนสามารถยืนยันได้ว่า ความสามารถของบุคคล "พิเศษ" เหล่านั้นไม่ใช่มายากล แต่เป็นความสามารถจริงที่เกิน ไปกว่าสัมผัสและมิติธรรมดา เป็นสัมผัสที่หกและมิติที่สี ของมนุษย์และความเป็นจริง บางคนแค่เอามือวางบน นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาเรือนนั้นก็หยุดเดิน เข้าไปในบ้านใด ถ้าเขาอยาก “ทํา” ช้อนส้อมในบ้านนั้นก็หักงอทุกด้าม บางคนถูกโบยตีจนเนื้อตัวเป็นแผลไปทั้งร่างอย่างในสงครามโลกครั้งที่สอง กลับไปที่ห้องคุมขังก็ไม่มีริ้วรอยบาดแผลนั้นอีกต่อไป คนคนนี้มีความสามารถในการรักษาแผลตัวเองได้ และทําการ “แสดง” ไปทั่วยุโรปเมื่อสงครามเลิก คนบางคนมี“ตาทิพย์" เห็น “รังสี” (aura) จากตัวคนและสามารถบอกได้ว่า คนคนนั้นมีสุขหรือมีทุกข์ เจ็บป่วยด้วยโรคอะไร ต้องไปรักษาอย่างไร บางคนสามารถค้นหาแร่ธาตุในดิน โดยดูแค่เพียงแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเขาก็กลายเป็น ประธานที่ปรึกษาคนสําคัญของบริษัทเหมืองแร่ในที่สุด

บางคนอยู่ได้สองแห่งในเวลาเดียวกัน บางคนสามารถรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้พลังจิต สามารถพยากรณ์เรื่องราว ในอนาคตได้ค่อนข้างจะแม่นยํา นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยพลังพิเศษของคนเหล่านี้ พยายามฝึกให้เด็กบางคนให้ เข้าถึงพลังดังกล่าวและสามารถทําได้แต่จํานวนน้อยเท่านั้น ปรจิตวิทยาใช้คําว่า PSI ซึ่งเป็นอักษรที่ 23 ในภาษา กรีกเป็นตัวแทนของเรื่องราวที “ลี้ลับ" ต่าง ๆ นอกนั้น ก็ใช้คําว่า ESP (Extra Sensory Perception) เพื่อการรับรู้เหนือ สัมผัส เป็นศัพท์ตัวแทนของเรื่องต่าง ๆ ที่พอจะยกตัวอย่าง บางศัพท์ดังนี้

- โทรจิต (telephaty) คือ การรับรู้สภาพความคิด ความเป็นไปของคนอื่นทางจิต เช่น ชายคนหนึ่งอยู่กรุงเทพ มหานครรับรู้ว่ามารดาของตนที่เชียงรายเสียชีวิตแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้รับโทรศัพท์หรือข่าวสารจากทาง “ปกติ” อื่น ใดเลย บางคนรู้ว่าคนที่ตนรักกําลังเจ็บป่วยหรือมีความ ทุกข์กังวลใจ เมื่อโทรศัพท์ไปหาก็พบว่า ญาติพี่น้องของคนรักนั้นได้พยายามติดต่ออยู่พอดี เพื่อให้รับรู้เรื่องที่กําลังเกิดขึ้น

ตาทิพย์ (Clairvoyance) คือ การเห็นสิ่งที่คนธรรมดา มองไม่เห็นด้วยตา มองเห็นข้ามสิ่งกีดขวางและระยะทางได้ เช่น มองเห็นภายในตัวคนโดยไม่ได้อาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ มองเห็นเหตุการณ์ที่กําลังเกิดอยู่ในอีกที่หนึ่งหรือเมืองหนึ่ง

รู้ล่วงหน้า (precognition) คือ การรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บางคนรู้ว่ากําลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดที่สุดในปรจิตวิทยา แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่คนจํานวนไม่น้อยเคยประสบ แม้ว่าระดับการรับรู้อาจจะเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น ๆ ซึ่งเรียกกันว่าลางสังหรณ์ คนโบราณบางคนอาศัยการรับรู้ทางจิตประกอบกับสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติ เช่น -ลักษณะท้องฟ้า ต้นไม้ นก สัตว์ แมลง เป็นต้น 4 พลังจิต (psychokinesis) คือ พลังอํานาจที่บางคนมี และสามารถทําให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยอาศัยพลังอํานาจนี้ เช่น การเคลื่อนสิ่งของโดยใช้พลังจิตการหาน้ำใต้ดินโดยอาศัยกิ่งไม้ (dowsing) ปัจจุบัน เรื่องนี้ทํากันได้ค่อนข้างจะแพร่หลาย ในประเทศไทยก็ทํากันมาก ผู้ที่หาน้ำจะถือกิ่งไม้ซึ่งมีลักษณะเป็นง่าม คล้ายง่ามหนังสะติ๊กที่เด็กๆ เล่นกัน แต่เป็นกิ่งที่ใหญ่และยาวกว่า ถือส่วนง่ามด้วยมือซ้ายขวา ทําสมาธิให้ดีถ้ามีน้ำใต้ดินที่ใดปลายไม้ ให้จิตหยุดนิ่ง แล้วเดินหาน้ำจะสั้นและกระตกลงสู่ดิน เหมือนว่ามีแรงดึงดูดลงไปน้ำมากเท่าใดแรงสั้นและดึงดูดก็มากตามไปด้วย ในประเทศไทยหลายคนที่ทําอย่างได้ผล โดยเฉพาะในการ “หาที่ขุดบ่อหรือบ่อน้ำบาดาล สิ่งสําคัญที่สุดไม่ใช่ไม้ แต่เป็นผลผลิตใน "จิต" ของผู้ทํา เพราะไม้จะเป็นไม้อะไรก็ทําได้

การตรวจโรคโดยพลังจิต (paradiagnosis) คือ การมองเห็นโรคหรือสาเหตุของการเจ็บป่วยของคนอื่นโดยเป็นผู้ "ตาทิพย์” ไม่สัมผัสกับคนไข้เลย

การพิมพ์ภาพทางจิต (psychophotography) คือ การทําให้เกิดภาพในฟิล์มได้โดยไม่ต้องถ่ายภาพแบบปกติ การรักษาแบบพิสดาร (paramedicine) คือ การที่นักวิทยาศาสตร์รักษาโรคด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่การแพทย์สมัยใหม่ไม่สามารถทําได้หรืออธิบายได้

การสืบค้นแบบพิสดาร (psychometry) คือ การค้นหาสิ่งของหรือรู้เหตุการณ์อย่างคนหาย ของหาย หรือการรู้อดีตของคนคนหนึ่ง ว่าไปทําอะไรที่ไหน มีชีวิต ไม่ได้และ อย่างไร มีพี่น้องครอบครัวอย่างไร

การออกจากร่าง (out-of-body-experiences หรือ อยู่ (OKOBE) คือ ประสบการณ์ของคนที่ออกจากร่างของตนเอง อีกตน ล่องลอยไปสู่ที่ต่าง ๆ และสามารถกลับมาบอกเรื่องราวได้ เหมือนกับไปเห็นมาด้วยตา

เรื่องราวอันถือกันว่าประหลาดอัศจรรย์มีอยู่ในทุก สังคมมนุษย์ แต่ก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวเหล่านี้มักจะปรากฏ ในสังคมแบบดั้งเดิมที่คนสมัยใหม่เรียกว่าล้าหลัง ถ้าหากจะมีใครที่ศึกษาและรวบรวมปรากฏการณ์เหล่านี้ขึ้นมา ก็คงจะมีจํานวนมากมายมหาศาล เพียงแต่ที่นักมานุษยาเป็นวิทยาศึกษาชนเผ่าไม่กี่แห่งในโลกก็กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ มากพอสมควรแล้ว การที่ผู้คนในสังคมดั้งเดิมมีพลังจิต "พิเศษ" มากมาย น่าจะมาจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสังคมที่เขาอยู่ พวกเขาต้องต่อสู้ทุกอย่างด้วยตนเอง โดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ไม่มีสิ่งอํานวยความสะดวก เหมือนคนในสังคมสมัยใหม่ ไม่มีถนนหนทาง วิทยุโทรศัพท์ เครื่องมือทันสมัยและเครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ การที่เขาต้อง ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทําให้เขาต้องใช้พลังจิตในอัตราที่ จําเป็นและสมดุล คนสมัยใหม่มีสิ่งต่าง ๆ มาทดแทน ไม่ต้อง “ออกแรงจิต" มากก็อยู่ได้โดยไม่ลําบากนัก ถูกทําให้คุ้นเคยกับความสะดวกสบาย เหมือนเด็กที่ถูกตามใจ จนเสียเด็ก คนสมัยนี้จึงช่วยตัวเองไม่เป็น ปวดหัวตัวร้อน

นิดเดียวก็ต้องไปคลินิกหรือไปซื้อยามากินเองแล้ว ไม่ทนทานและแรงต้านทานภัยของคนสมัยนี้ตจะมีน้อย เปราะบางมีมากขึ้น ทุกอย่างถูกกําหนดจากสังคมเป็น “สายพานชีวิต” เหมือนในโรงงานอุตสาหกรรมที่น่า ผลิตไหลไปตามสายพานไปตกตามจุดต่าง ๆ ออกมาเป็นสิ่งสําเร็จรูป หาความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้

สังคมเช่นนี้จะให้โอกาสการคิดกับคนบางคนซึ่งจะเป็นผู้กําหนดวิถีชีวิตของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้คือนักคิด นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ พวกเขากําหนดความเป็นไปและสภาพแวดล้อมให้กับสังคมตามแนวคิดและ

ทฤษฎีของตนเอง คนที่ใช้ความคิดเหล่านี้กําหนดประวัติศาสตร์ของมนุษย์

บรรพบุรุษในยุคสมัยหนึ่งได้ใช้พลังดังกล่าวเพื่ออยู่รอดในสังคมและยุคสมัยของเขา พวกเขาไม่ได้พูดถึง ซีกซ้ายซีกขวาของสมองมนุษย์ พวกเขาพูดถึงธรรมะ และอธรรม พลังดีและพลังร้าย พลังสว่างและพลังมืด ความดีและความชั่ว หรือกล่าวเป็นเชิงปรัชญาว่าหยิน และหยัง พวกเขากล่าวถึงการปรับตัวให้สมดุลและเป็น หนึ่งเดียวกับทุกสิ่งในจักรวาล ในธรรมชาติและในสังคม มนุษย์เอง ข้อแตกต่างของคนสมัยใหม่และสังคมใหม่ ถ้า จะมีการปฏิวัติเผ่าพันธุ์ครั้งสําคัญโดยอาศัยพลังจิตอีก ครั้งหนึ่งก็คือ คนโบราณไม่ได้เป็นผู้สร้างธรรมชาติ รอบตัวเขา ธรรมชาติสร้างตัวของมันมาเอง มนุษย์คือ ผู้ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติเหล่านั้น ในขณะที่มนุษย์ ทุกวันนี้สร้างสิ่งแวดล้อมให้กับตนเอง สิ่งแวดล้อมตาม ธรรมชาติจริงๆ ไม่มีเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป มีแต่สิ่ง แวดล้อมที่คนสร้างขึ้นมาโดยสติปัญญาของตน มนุษย์ ต้องทําการปรับตัวอีกครั้งหนึ่ง และคงไม่มีอะไรที่จะทําให้ ปรับตัวได้ทันถ้าหากไม่อาศัยสิ่งที่ดีที่สุดและมีพลังที่สุดที่ ตนเองมี นั่นคือ พลังจิต

สังคมใหม่มีมิติใหม่ มนุษย์ต้องสามารถอยู่ในมิติ ใหม่นี้ให้ได้ มิติเดิมที่เขาสามารถอยู่ได้ก็มีแต่เพียงสามมิติ การรับรู้หรือสัมผัสก็มีเพียงห้าสัมผัสนี้อาจแยกได้เป็น สองประเภท คือ กาย จมูก ลิ้น ประเภทหนึ่ง ประเภทนี้ ต้องอยู่ใกล้ชิดจึงจะทําได้ หูและตาเป็นอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถสัมผัสในระยะที่ยาวไกลออกไปกว่าประเภทแรก มนุษย์จะต้องพัฒนาสัมผัสประเภทที่สามขึ้นมาเพื่อให้ สามารถสัมผัสไกลกว่า ลึกกว่า ยาวกว่า เป็นสัมผัสที่หก ในมิติที่สี พลังจิตจะทําให้คนเราสามารถ “มองเห็น” สิ่งที่ตามองไม่เห็น เช่น เห็นรังสีที่มีอยู่ในตัวคนสัตว์พืชสิ่งของ “ได้ยิน” สิ่งที่หูไม่ได้ยิน ไปไกลกว่าที่เท้าจะพาก้าวไป ใช้เวลาชั่วพริบตาเดียว สามารถป้องกันตนเองจากภัย ของสิ่งแวดล้อมที่ตนเองกําลังสร้างขึ้นมา ซึ่งการแพทย์สมัยใหม่ “ปกติ” ไม่สามารถทําได้ ดูแต่พิษภัยของกัม มันตภาพรังสีปรมาณู ดูแต่โรคร้ายอย่างเอดส์ในปัจจุบัน เห็นจะต้องมี “หมอผี” ยุคใหม่เกิดขึ้นจึงจะสามารถเยียวยารักษาและป้องกันภัยได้ “หมอผี” ยุคใหม่คงแตกต่างจาก หมอผีแบบประเพณี ตรงที่ยุคใหม่เชื่อว่ามนุษย์มีพลังจิต ที่อัศจรรย์และสามารถใช้พลังจิตเพื่อปกป้องรักษาตนเองได้ ที่หมอผีแบบดั้งเดิมเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของผีแม้ว่าความเชื่อในเรื่องพลังอํานาจจะแตกต่างกัน

แต่คนสมัยใหม่โดยเฉพาะที่กําลังค้นคว้าวิจัยเรื่องพลังจิต อยู่นี้ก็ต้องกลับไปสืบค้นภูมิปัญญาของคนโบราณ และ ต้องเรียนรู้จากพวกเขาอย่างดูถูกดูแคลนไม่ได้ และต้องนําเอาภูมิปัญญาเหล่านั้นมาปรับใช้ในสภาพใหม่ของตน โดยเฉพาะช่วงที่ต้องเอาชนะ “อาการช็อค” ที่กําลังเกิดขึ้นอยู่นี้คนโบราณเชื่อว่า ทุกสิ่งในจักรวาลสัมพันธ์กันหมด สิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ดวงดาวและส่วนอื่น ๆ ย่อมมี ผลกระทบต่อมนุษย์เอง ชาวจีนพูดถึง “ฉี” ซึ่งเป็นพลัง ชีวิต (วิชาฝังเข็มและการรักษาของจีนใช้หลักการนี้เป็น พื้นฐาน) ชาวอินเดียพูดถึง “ปราณ” หรือที่ไทยเรียก ลมปราณ ชาวผิวเรียก “รูอาห์" (Tuah) (แปลตามศัพท์ คือ ลม หรือ ลมหายใจ) ซึ่งชาวคริสต์รับมาดังที่ปรากฏใน พระคัมภีร์ไบเบิล ที่พูดถึง “รูอาห์” ว่าเป็นจิตแห่งพระเจ้า ที่ล่องลอยสถิตอยู่เหนือน้ำในการสร้างโลกและที่กลายมา เป็นพระจิตเจ้า (The Holy Spirit) พระเจ้าในพระตรีเอกภาพ (The Holy Trinity) ความคิดไทยที่น่าจะใกล้เคียงกับเรื่อง เหล่านี้ก็คงจะเป็น “ขวัญ” พิธีสู่ขวัญของไทยเป็นพิธีที่ สากลจักรวาล “ถูกเรียก” ให้มาชุมนุมพร้อมหน้ากันหมด ขอให้ขวัญของคนอยู่กับตัวเขา ให้เขามีชีวิต มีความสงบสุข ขวัญเป็นพลังชีวิตที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ใกล้ตัวคน มากที่สุดและกลายมาเป็นประเพณี คือการสู่ขวัญข้าว วัวควาย เกวียนปรจิตวิทยารับว่า คนสัตว์พืชสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล ล้วนมี “พลัง” ที่แสดงออกมาในลักษณะต่างๆ ส่วนที่คล้ายพลังไฟฟ้าที่ปรากฏออกมาเรียกว่า รังสี (aura) ซึ่ง คน “ปกติ” ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่หลายครั้งก็สามารถ รู้สึกได้หนุ่มสาวที่รักกันใหม่ ๆ และสัมผัสมือกันเป็น ครั้งแรกอาจจะรู้สึกมากที่สุด เกิด “ไฟช็อต” นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้เครื่องมือบางชนิดวัดได้ พลังนี้จะขึ้น หรือลงตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคน คนมีความสุขดีใจ ตัวจะ “เบา” สามารถกระโดดโลดเต้นได้ คนมีทุกข์ และเจ็บป่วยตัวจะ "หนัก" พลังชีวิตดังกล่าวจะลดน้อย ถอยลง คนไทยโบราณเรียกว่าคนขวัญหายหรือขวัญหนี้ ทําให้เจ็บป่วย ต้องสู่ขวัญคืนมา

การที่คนมีรังสีหรือพลัง ทําให้นักวิทยาศาสตร์ พยายามค้นคว้าหาวิธีการและเครื่องมือเพื่อใช้กับพลัง ดังกล่าว ในสหภาพโซเวียตมีการประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปซึ่ง ต่อมาเรียกชื่อตามคนที่คิดค้นว่า กล้องคีร์เลียน (Kirlian)สามารถถ่ายภาพรังสีของคนได้ และพบว่าคนเราอยู่ที่ใด ย่อมจะ "ทิ้ง” รังสีของตนไว้ในที่นั้นระยะหนึ่ง กล้องนี้ สามารถถ่ายภาพคนแบบฟิล์มเนกาตีพเมื่อคนคนนั้นลุก จากที่นั่งหรือนอนไปไม่เกินหนึ่งชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์ ยังถกเถียงกันไม่จบว่า รังสีที่กล้องถ่ายได้นั้นไม่น่าจะเป็น “พลังชีวิต” ของคน อาจเป็นเพียงกระแสไฟฟ้าหรือ กระแสพลังงานชนิดหนึ่ง และเป็นเพียงส่วนเดียวของ พลังชีวิตของคน ซึ่งเครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยัง ไม่สามารถ “จับ” ได้

นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพลังจิตเชื่อว่า ศตวรรษใหม่ที่กําลังจะเริ่มนี้จะเป็นยุคแห่งพลังจิต มนุษย์ จะพัฒนาด้านนี้ไปไกล และสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักวิชาการสหรัฐอเมริกาพบว่า การศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับพลังจิตได้รับการสนับสนุนและทํากันอย่างกว้าง ขวางในประเทศยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะสหภาพโซเวียต และยอมรับด้วยว่าความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในประเทศ ยุโรปตะวันออกก้าวไกลไปกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป จนสามารถประยุกต์กับการค้นคว้าและการควบคุมทาง อวกาศได้ นอกนั้นยังเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าประเทศแถบเอเซีย โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีความรู้ และประเพณีเกี่ยวกับเรื่อง “กําลังภายใน” อันเป็นที่รู้จัก กันจากวรรณกรรมและภาพยนตร์ ก็กําลังฟื้นฟูวิชาการ ด้านนี้อย่างจริงจัง เรื่องราวในอดีตมีเค้ามูลของความจริงอยู่ไม่น้อย ตําราและวิชากําลังภายในที่ถ่ายทอดกันมา ได้รับการสนับสนุนให้มีการศึกษาอย่างจริงจังทั่วไป แม้ว่าวิชาตัวเบา วิชาเหาะเหินเดินฟ้าอย่างภาพยนตร์จีนกําลัง ภายในจะยังไม่สามารถทําได้ แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ทําได้ โดยการฝึกและชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มี "กาลังภายใน” จริง และสามารถทําสิ่งเหลือเชื่อได้มากมาย เช่น กรณีที่จีนกําลัง ส่งเสริมวิชาการรักษาด้วยกําลังภายใน ปัจจุบันนี้ยังมีคน ที่สามารถใช้กําลังภายในรักษาคนป่วยอยู่เพียงประมาณ 20 คนเท่านั้นในประเทศจีน วิชานี้เช่นเดียวกับวิชาแบบ ประเพณีอื่น ๆ ถูกห้ามหรือทําลายไประหว่างการปฏิวัติ วัฒนธรรมช่วงปี ค.ศ. 1966 แต่ก็มีผู้แอบฝึกฝน วิชาเหล่านี้ภายในครอบครัว เนื่องจากวิชานี้ถ่ายทอดจาก พ่อถึงลูกเท่านั้น ผู้มีกําลังภายในยืนอยู่ห่างจากผู้ป่วย ประมาณ 10 เมตร ใช้กําลังภายในทําให้คนที่เป็นอัมพาต ค่อย ๆ ขยับกายลุกขึ้นนั่งได้ การฝึกฝนการใช้กําลังภายใน เพื่อให้วัตถุภายนอกกายเคลื่อนไหวหรือแตกสลายก็เป็นอีกวิชาหนึ่ง ซึ่งวิชานี้เองที่สหภาพโซเวียตพยายาม เพื่อให้สามารถควบคุมยานอวกาศแทนเครื่องมือทางศาสตร์ จีนเองก็พยายามหาทางประยุกต์วิทยาแผนใหม่เข้ากับแผนโบราณของตน จีนสามารถพัฒนาความรู้เรื่องการฝังเข็มให้ก้าวไกล จุดดับที่วิชาการ แผนโบราณห้ามแทงเข็มก็ยังสามารถฟื้นประเพณีแทงเข็มได้ และได้ผลที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โรงพยาบาล จีนจํานวนมากจะมีการรักษาทั้งแผนโบราณและแผนปัจจุบันผสมผสานกันไป

วิชาการด้านพลังจิตเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ทั่วไปในโลกปัจจุบัน อุตสาหกรรมสื่อมวลชนโดยเฉพาะ ภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกา ก็อาศัยความรู้เหล่านี้มาพัฒนาการสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับอวกาศ การต่อสู้กัน ด้วยพลังจิต พลังพิเศษในตัวคน การสะกดจิต และเทคนิคแสดงพลังนี้ด้วยแสงที่เป็นประกายหลากสี อุตสาหกรรมภาพยนตร์จีน อินเดีย คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันโตอีกต่อไป หากว่าสักวันหนึ่งเรื่องที่นักวรรณกรรมคลาสสิกโบราโด ได้รจนาไว้ หรือเรื่องราวนวนิยายกําลังภายในและอวกาศ ที่แพร่หลายกันอยู่ในปัจจุบันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา เหมือนกับที่จินตนาการของจุล แวร์น ได้กลายเป็นความจริงมาแล้ว หลังจากที่นวนิยายของเขาได้แพร่หลายออกไปไม่กี่สิบปี

ในขณะที่ปรจิตวิทยากําลังได้รับการพัฒนาขึ้นมา อย่างรีบเร่งทั้งในค่ายเสรีนิยมและในค่ายสังคมนิยม นักวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ก็หาทางรวมทฤษฎีสัมพันธ์และ ทฤษฎีแควนตั้มเข้าด้วยกัน และตั้งชื่อทฤษฎีใหม่ไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะสําเร็จว่า “ซูเปอร์สติง” (super sing) เชื่อกันว่า หากความพยายามดังกล่าวเป็นผลสําเร็จ จะเกิดปฏิวัติ ใหม่ที่ยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ที่เดียว

กล่าวในกรณีของประเทศไทยเอง การค้นคว้าทาง วิทยาศาสตร์ดําเนินไปอย่างเชื่องช้า จะเห็นได้จากเทคโนโลยี หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่ไทยยังไม่สามารถทําได้เอง ต้องนําเข้าจากต่างประเทศจํานวนมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง อื่น ๆ ที่ซับซ้อนในแวดวงวิทยาศาสตร์ แต่สังคมไทยซึ่งยังมีโครงสร้างสังคมดั้งเดิมอยู่ก็ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาดั้งเดิม ซึ่งก็มีลักษณะใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์ไว้เป็นจํานวนไม่น้อย ต่างกันแต่ที่ว่า ไม่ได้มีการศึกษาวิเคราะห์และ รวบรวมไว้เป็นระบบ เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมสอดคล้องกับ ความเป็นจริงของสังคมไทยมากที่สุด เพราะเกิดจากสภาพ ที่เป็นจริงของชีวิต

เรื่องพลังจิตเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด แต่เนื่องจากเรื่องพลังจิตมักจะแสดงออกทางพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผี จิต วิญญาณ และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงมักถือกันว่าเป็นเรื่องราวไสยศาสตร์ของคนที่ไม่รู้หรือไม่ใช้ ปัญญา สังคมคงพัฒนาไปและคงจะแยกแยะกันได้เอง มีหลายส่วนที่ผู้คนจะทิ้งไป หลายส่วนจะรักษาไว้ และ หลายส่วนจะถูกผลิตใหม่ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ สภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งก็เป็นที่เชื่อกันว่า ยุคใหม่ที่ เกิดจะไม่ใช่เรื่องของความเชื่อของคนเป็นหลัก แต่จะเป็นเรื่องเหตุผลและปัญญาเป็นหลัก “หมอน้อย” อย่างที่ เคยเกิดขึ้นครราชสีมาคงมีน้อยลง เพราะที่เกิดได้เพราะศรัทธาและความเชื่อของประชาชนเป็นหลัก ที่จะคงอยู่ และที่จะเกิดใหม่ได้ก็คงเป็นคนที่มีพลังจิตจริง ที่สามารถบัดรักษาโรคด้วยพลังจิตของตนเอง คนเหล่านี้อาจจะ มีมากขึ้นหากทฤษฎีวิวัฒนาการที่มนุษย์จะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้เป็นจริง

นอกจากนั้น คนทั่วไปก็คงจะพัฒนาสัมผัสที่หกของตนเองตาม สภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน แต่ก็คงต้องใช้ เวลาและเงื่อนไขอื่น ๆ ทางสังคมเป็นสําคัญ การที่จะทําให้ ซาวบ้านเปลี่ยนแปลงคงไม่สามารถไปส่งให้เขาทําให้เขาเลิก เหมือนสั่งทหารให้เข้าแถวและ “ซ้ายหันขวาหัน” เขารู้ ของเขาเองว่าเมื่อไรควรจะทําอะไรและอย่างไร เมื่อไรจะ ปรับเมื่อไรจะเปลี่ยนเมื่อไรจะเลิก

อย่างกรณีของความเชื่อเรื่องผีเข้าผีทําในปัจจุบัน แม้ว่าวิชาการด้านจิตวิเคราะห์จิตบําบัดหรือจิตเวชศาสตร์ จะก้าวหน้าพอสมควร แม้หมอจะเชื่อว่าไม่ใช่ผีเข้าหรือผีทํา แต่ก็ไม่อาจจะบังคับให้ชาวบ้านเชื่อตามหมอได้ ยิ่งไปบังคับเขาโรคก็ดูจะยิ่งกําเริบหรือไม่หาย จิตแพทย์จํานวน ไม่น้อยจึงไม่พยายามขัดขืนความเชื่อศรัทธาแบบประเพณี ของชาวบ้าน แต่จะประนีประนอมระหว่างความเชื่อและ เหตุผล ระหว่างไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ขอให้คนไข้หาย เป็นสําคัญ กรณีของผีเข้าผีทํา จิตแพทย์เชื่อว่าเป็นเรื่องอุปาทาน - (hysteria) ประเภทหนึ่ง ที่เรียกกันว่า "ฮิสทีเรีย" ไม่ได้มีความหมายของความวิปริตทางเพศอย่างเดียวอย่างที่เข้าใจ หรือใช้พูดกันทั่ว ๆ ไป จิตแพทย์อธิบายว่า

“โรคอุปาทานจัดว่าเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง และ เป็นโรคทางจิตเวชศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับบุคลิกภาพ แปรปรวน ตามธรรมดาแล้วโรคประสาทมักจะเกิดตามหลัง บุคลิกภาพแปรปรวน โรคอุปาทานไม่ใช่เป็นกลุ่มอาการ อย่างเดียว แต่จะเป็นกลุ่มอาการที่ผิดปกติที่มีลักษณะที่สูญเสีย ในหน้าที่ของประสาทส่วนกลาง การสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่สามารถ จะบอกได้ว่ามีพยาธิสภาพทางสมอง การสูญเสียในหน้าที่นี้มี อยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น การเป็นอัมพาต ความรู้สึกเสีย การรับรู้สญเสีย ตาบอด สะอีก ปวด และมีสภาพจิตแปรปรวน ไปแปลก ๆ บุคลิกภาพของอุปาทานมีลักษณะคือมีอารมณ์ที่ไม่สม กับวุฒิภาวะ ซึ่งเป็นที่สังเกตว่ามีรูปสวยและยิ้มแย้มแจ่มใส และร่วมด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว ขึ้น ๆ ลง ๆ จากการกระตุ้น เช่น ความรักเป็นความโกรธ อารมณ์รุนแรง และเกลียด และแล้วก็หมดไปง่าย ๆ ผู้ที่มาติดต่อสัมพันธ์ ด้วยก็ยากที่จะมีความสัมพันธ์ให้ยึดยาว ทั้งนี้เนื่องมาจากการพัฒนาที่เกิดมีความปวดร้าวมาก่อนในเรื่องของสัมพันธภาพซึ่งสืบต่อกันมาเป็นระยะ ซึ่งเขาจะไม่เข้าใจและไม่ทราบเรื่องเก่าเวลานานแล้ว อารมณ์แปรปรวนตามปกติแล้วจะเปลี่ยนแปลง เสมอโดยไม่มีสาระ ซึ่งจะบอกได้ว่า เหมือนกับการมีบทบาทในการเล่นละคร การฆ่าตัวตาย อาจจะเป็นปัจจัยแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อย ๆ เพื่อให้คนอื่นเห็นใจ และเป็นวิธีการที่จะจัดแจง ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในตนเอง ที่เนื่องจากมีความลําบากใน เรื่องสัมพันธภาพต่อคน”

นายแพทย์สงัน อธิบายว่า เรื่องผีเข้าหากเป็นการเข้า เพียงครั้งเดียวและไม่เข้าอีกถือเป็นเรื่องทางจิตที่เล็กน้อย การรักษาก็ทําได้ไม่ยากนัก นอกนั้นวัฒนธรรมพื้นบ้านเอง ก็ไม่ถือว่าเรื่องผีเข้าเป็นโรคประสาทหรือโรคบ้าอย่างใน สังคมสมัยใหม่ คนที่ถูกผีเข้าจึงไม่ถูกดูถูกดูหมิ่น สามารถ อยู่ในสังคมได้เป็นปกติสุขเหมือนคนอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน ภาวะของผีเข้าคงเป็นการระบายออกซึ่งปัญหาความขัดแย้ง ภายในใจ ความกดดันต่าง ๆ การเข้าสู่ภวังค์ในลักษณะ เข้าเป็นการผ่อนคลายที่ดีทางจิตเวชศาสตร์ เมื่อ “ผีออก” คนไข้ก็สบายดี ผ่อนคลายหายเครียดไปเลย หากเป็น ปัญหาไม่ซับซ้อนก็จะไม่เป็นอีก

หากเป็นกรณีผีเข้าหรือผีทําบ่อย ๆ จิตแพทย์ถือว่า เป็นโรคอุปาทาน (hysteria) เป็นความผิดปกติภายในจิตใจ มีปัญหาความขัดแย้งความกดดันมาก หมอผีอาจจะไล่ผีออก ได้ด้วยความยากลําบาก ออกแล้วก็กลับมาเข้าอีก เป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการติดพันยาวนาน จนแทบจะถือว่าบ้า ไปแล้วก็มี ในกรณีนี้ก็มีการล่ามโซ่เอาไว้ แล้วหาหมอผี เวียนกันมารักษาหรือในท้ายที่สุดก็ส่งโรงพยาบาลประสาท หมอผีมักจะบอกว่ามีอาการแทรกซ้อนของโรคอื่นที่หมอผี เองไม่สามารถรักษาได้ จิตแพทย์จะวินิจฉัยแยกประเภท ต่าง ๆ เท่าที่จิตเวชศาสตร์จะบอกได้ถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีวิธีการที่พัฒนาขึ้นมาจากสภาพท้องถิ่นอยู่เรื่อย ๆ อย่างกรณีของจิตแพทย์ไทยผู้นี้ ซึ่งพยายามหาวิธีการรักษาที่ สอดคล้องกับวัฒนธรรมให้มากที่สุด แม้แต่ภาษาที่ใช้ก็ พยายามไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด เช่นที่เรียกโรคจิตอุปาทาน ว่า hysterical psychosis ก็เรียกว่า spirit possession psychosis หรือโรคจิตผีเข้า ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงคําว่า hysteria นั่นเอง โรคเหล่านี้มีอีกมากมายที่อาจผสมแทรกซ้อนกันได้ เช่น โรคจิตเพท หรือโรคจิตที่เกี่ยวกับความคิด โรคจิตอารมณ์ โศกเศร้า ซึ่งเป็นโรคจิตเกี่ยวกับอารมณ์ นอกนั้นยังมี โรค “อุปาทาน” อื่น ๆ หลายรูปแบบ เช่น อุปาทานหมู่ที่เป็นข่าวอยู่เนือง ๆ เช่น กรณีที่เด็กนักเรียนในโรงเรียน มีอาการปวดหัวเป็นลมไปพร้อมๆ กันหลายคน : อาการอย่างอื่นคล้ายกัน ผู้เชี่ยวชาญจิตเวชศาสตร์ ความเห็นว่า ไม่ใช่ผีสางนางไม้นางตะเคียนทําอย่าง ชาวบ้านเชื่อ แต่เป็นโรคหมู่ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ ในประเทศไทย แต่ในสหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่เรียก กันว่าพัฒนาแล้วก็เกิดได้ หรือกรณีที่เป็นข่าวในประเทศไทย เมื่อหลายปีก่อนเรื่อง “โรค” ข่าวบอกว่าคนกินแตงโมแล้วอวัยวะเพศชายหด คงเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับบางคน และกลายเป็นอุปาทานหมู่ขยายกว้างออกไป ในที่สุด โรคนี้ ค่อย ๆ หายไปและคนก็เริ่มกินแตงโมเหมือนเดิม

ปัจจุบันนี้โรคผีเข้าผีทําไม่ได้หมดไป ไม่มีผู้ใดทํา สถิติไว้ แต่สันนิษฐานว่าโรคชนิดนี้คงมีอยู่อีกนาน โดย เฉพาะในช่วงเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมอย่างทุกวันนี้ อาการช็อคทางวัฒนธรรมมีให้เห็นได้ในทุกรูปแบบ ที่ เห็นได้ทุกวันคืออุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกิดขึ้นไม่ขาด ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการช็อคทางวัฒนธรรม ที่ผู้คนไม่ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคใหม่นี้ได้ทันที ไม่สามารถ ควบคุมตัวเองได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม ทางจิตก็เช่นเดียวกัน โรงพยาบาลโรคประสาทโรคจิตมีคนไข้เพิ่มขึ้นทุกวัน จะไม่มีใครไปหาแพทย์แล้วบอกว่าผู้เข้า หรือผีทํา อย่างน้อยก็กลัว “หมอด่า” และไม่รับรักษา แต่คนไข้จํานวนมากหรือเกือบจะทั้งหมดมักเชื่อว่าอย่างน้อยต้องไปบนบานศาลเจ้า ไปขอต่อวิญญาณ มีเรื่องของปู่ย่าตายายหรือผีสางเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง ขอให้พ้นเวร ๆ พ้นกรรม ขอให้หาย

สังคมไทยยังมีเรื่องลี้ลับอีกมากมายนัก แม้จิตเวช ศาสตร์จะอธิบายได้หลายอย่าง ก็ยังคงอธิบายไม่ได้อกหลายอย่าง หากว่าจิตเวชศาสตร์มีวิธีการศึกษาอย่าง นายแพทย์สงัน สุวรรณเลิศ ซึ่งไม่ได้ศึกษาแต่เรื่องโรคจิต แต่ศึกษาและเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นไปด้วย ก็มีความหวังว่า วิชาการสมัยใหม่จะให้คุณค่าและความหมายมากยิ่งขึ้น เป็นตัวอย่างสําหรับวิชาการทุกแขนง ไม่ว่าวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์หรือมนุษยศาสตร์ ที่ต้องศึกษาความเป็นจริงทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่น ความรู้สึกนึกคิด ประวัติศาสตร์ความเป็นมาทั้งหมด อันสำคัญของคติความเชื่อประเพณีวัฒนธรรม ความสุข ความทุกข์ โรคภัยไข้เจ็บและวิธีการรักษาแบบพื้นบ้าน ไม่ใช่เรื่องของความใจกว้าง หากแต่เป็นความจําเป็นต่อไป

บรรณานุกรม
  • เรย์ ขันธศิริ. (2528). ดุริยางคศิลปะปริทัศน์(ตะวันออก). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

  • เวชขอนแก่น. (2540). โรงพยาบาล โรคจิต. ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.

  • จริยางค์. (2523). พระหลักวิชาการดนตรีลากลและการขับร้องเล่ม 1-3. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร,

  • บ่อคําแสง วงศ์ดาราและคนอื่น ๆ. (1987). วรรณคดีลาว, เวียงจันทน์ : สถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์สังคม กระทรวงศึกษา ลาว.

  • บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล. (2539). ฮีต คอง คะลํา วิถีของคนล้านช้างและไทยอีสาน.ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้ง.

  • ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์. (2533). ปทานุกรมดนตรีสากล. เชียงใหม่ : ฝ่ายเอกสารการพิมพ์สํานักอธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่.

  • พระครูพรหมฐาณวิกรม. (2539). คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์กรมการศาสนา.

  • พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.9). (2537). วิธีสมาทานและวิธีวิปัสสนากรรมฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จินดาอักษร.

  • พระราชสุทธิญาณมงคล. (2544). คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต. สิงห์บุรี : วัดอัมพวัน.

  • พูนพิศ อมาตยกุล. (2529). “จากเพลงไทยถึงเพลงลูกทุ่ง” ใน จากเพลง ไทยถึงเพลงลูกทุ่ง เอกสารหมายเลข 1. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพจํากัด.

  • พรชัย ศรีสารคาม. (2522). ก ผญา. มหาสารคาม : วิทยาลัยครูมหาสารคาม,

  • นิคมานนท์. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย. กรุงเทพฯ : อักษรา พิพัฒน์.

  • ณ ชินะตระกูล. (2533). คู่มือการทําวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.

  • ทูตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สํานักอักษรเจริญทัศน์.

  • เมกาโม พระมหา. (2537). การศึกษาเปรียบเทียบความจริงเรื่องจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับจิตในปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

  • วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น, (2540). สุขภาพจิตกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ขอนแก่น:ขอนแก่นการพิมพ์ ,

  • สภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2540).ของดีอีสาน.ขอนแก่น : ขอนแก่นการพิมพ์,

  • สถาบันการแพทย์แผนไทย. (2541). ชุมนุมแพทย์ไทยและสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2. นนทบุรี :สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.

  • สวิง บุญเจิม. (2536). มรดกอีสาน. อุบลราชธานี : อีสานออฟเซทการพิมพ์.

  • สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2532). ร้องรําทําเพลง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน.

  • สุรศักดิ์ พิมพ์เสน. (2532). การทําแคน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม.

  • สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช. (2540). ความเข้าใจเรื่องจิต. กรุงเทพฯมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทยาลัย.

  • สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2537). ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น ขอนแก่นการพิมพ์.

  • เสาวนีย์ สังฆโสภณ. (2541). ดนตรีเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์.

Commentaires


bottom of page