หมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน
- ครู บุญ
- 21 ม.ค. 2565
- ยาว 6 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565
บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
หมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้ Morlam in Mural Painting I-San Folk Performing Arts that are Indispensable.
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย,ยศยาดา สิทธิวงษ์.(2563).หมอลำในฮูปแต้มสิมอีสานมหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้. ปีพ.ศ.2563.วารสารศิลปกรรมและการออกแบบ แห่งเอเชีย (JAAD). มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี.(มกราคม-มิถุนายน). หน้า 56-77

บทคัดย่อ
บทความเรื่องหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้ ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแปลความ การตีความ ใช้เทคนิคตรวจสอบแบบสามเส้า และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษา พบว่า ฮูปแต้มหมอลำที่ปรากฏในสิมทั้ง 5 หลัง ทำให้ทราบถึงความสำคัญของหมอลำ ได้แก่ 1) หมอลำให้ความบันเทิงและสร้างความสามัคคีปองดองกับคนในชุมชน ดังปรากฏภาพการลำและเซิ้งประกอบขบวนแห่ สิมวัดสระบัวแก้ว สิมวัดโพธารามและสิมวัดป่าเลไลย์2) หมอลำช่วยกลั่นกรองการเลือกคู่ของหนุ่มสาว ดังปรากฏภาพการลำและจ่ายผญา สิมวัดสนวนวารีและ3) หมอลำให้การศึกษาแก่คนในชุมชนและช่วยให้หนุ่มสาวได้ทำความรู้จักกัน ดังปรากฏภาพการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน สิมวัดประตูชัย หมอลำนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งจนกระทั่งช่างแต้มได้นำการแสดงหมอลำแต้มแทรกในบริเวณพื้นที่ว่างของสิมด้วย จนปรากฏเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์สืบมาจนถึงปัจจุบัน
บทนำ
ภาคอีสานมีขนบธรรมเนียมประเพณีอันเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ภายในรอบ 1 ปี (365 วัน) จะมีบุญประเพณีครบทั้งหมดสิบสองเดือน ชาวอีสานเรียกว่า “ประเพณีฮีตสิบสอง” นอกจากบุญประเพณีที่กล่าวมาแล้ว ภาคอีสานยังมีภาษาและวรรณกรรมเป็นของตนเองอีกด้วย ดังพบภาพจิตกรรมฝาผนัง หรือ ฮูปแต้มสิมอีสาน ซึ่งปรากฏเรื่องราวของวรรณกรรมอีสาน เช่น สินไซ พระลักพระลาม และพระเวสสันดร เป็นต้น นอกจากเรื่องราวที่เกี่ยวกับวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานแล้ว ยังมีภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านปรากฏอยู่อีกด้วย ได้แก่ การละเล่น การทำมาหากิน และมหรสพ เป็นต้น ฮูปแต้มเหล่านี้จึงมีความสัมพันธ์กับสถาปัตยกรรม สิมพื้นถิ่นอีสาน และจิตรกรรมพื้นถิ่นอีสานอย่างมาก เนื่องจากภายในบริเวณวัดจะมีสถาปัตยกรรมที่เรียกว่าโบสถ์ หรือ สิม ซึ่งหมายถึง เขตอโบสถ์ที่พระสงฆ์ใช้ทำการประชุมทำสังฆกรรมตามพุทธวินัยของวัดภาคอีสาน (วสันต์ ยอดอิ่ม, 2545) รูปแบบสิมพื้นถิ่นอีสาน ได้แก่ สิมก่อผนังแบบดั้งเดิม (287-147 ปี) สิมโปร่งแบบดั้งเดิม (272-73 ปี) สิมก่อผนังรุ่นหลัง (190-73 ปี) และสิมแบบผสม (190-73 ปี) (สาโรช พระวงศ์, 2551) บริเวณภายในและภายนอกสิมจะปรากฏภาพจิตกรรมฝาผนัง หรือฮูปแต้มเต็มทั้งหลัง
“ฮูปแต้ม” คือ ภาพจิตกรรมฝาผนังที่ตกแต่งในสิม คนอีสานมักเรียกว่า ฮูปแต้ม ที่ปรากฏในสิมเรียกว่า ฮูปแต้มอีสาน ซึ่งหมายถึง ภาพเขียนที่บันทึกเรื่องราวของคนอีสานผ่านงานศิลปะที่มีคุณค่าทางด้านจิตใจสะท้อนถึงคำสอนและคำเตือนเพื่อให้ผู้พบเห็นได้ยึดมั่นทำแต่ความดี และสะท้อนถึงภาพวิถีชีวิตที่สำคัญของคนอีสานแต่ก่อนเก่าอย่างลึกซึ้งงดงาม (ขนิษฐา ขันคำ, 2560) ฮูปแต้มอีสานเหล่านี้ มักจะวาดด้วยกลุ่มช่าง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มช่างเขียนแบบอีสานประเพณี กลุ่มช่างเขียนแบบอีสาน-ไทยประเพณี และกลุ่มช่างเขียนแบบไทยประเพณีรัตนโกสินทร์
ฮูปแต้มสิมอีสานสามารถจำแนกตามเนื้อเรื่องได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเรื่องราวทางศาสนา ได้แก่ พุทธประวัติ พระมาลัย ไตรภูมิอรรถกถาชาดก ปริศนาธรรม กลุ่มวรรณกรรม ได้แก่ สินไซ พระลัก-พระลาม สุริยวงศ์ กาละเกด ปาจิตน์อรพิมพ์ เป็นต้น (พิทักษ์ น้อยวังคลัง, 2549) โดยมีภาพชาวบ้านแสดงเป็นตัวละครประกอบที่สะท้อนวิถีชีวิตสภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสาน (สมบัติ ประจญศาสต์, 2559) ประกอบด้วย อาชีพชาวบ้าน ได้แก่ การทำนา การตักน้ำ และการทอผ้า เป็นต้น การละเล่น ประกอบด้วย การละเล่นสำหรับเด็ก ได้แก่ ขี่ม้าก้านกล้วย หอยเบี้ย เป็นต้น และการละเล่นสำหรับผู้ใหญ่ ตีไก่ มวย หัวล้านชนกัน เป็นต้น และมหรสพการแสดงหมอลำ (ไพโรจน์ สโมสร และคณะ, 2532)
หมอลำเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคอีสานที่ต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และความชำนาญในการท่องจำบทกลอนลำจากวรรณกรรมพื้นบ้านที่ประพันธ์ขึ้นด้วยสำนวนภาษาถิ่นอีสาน (ราชบัณฑิยสถาน, 2542; ธวัช ปุณโณทก, 2537) หมอลำมีพัฒนาการเริ่มจาก หมอลำผีฟ้าและผญาเกี้ยว เทศน์แหล่ของพระสงฆ์ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำโจทย์-แก้ หมอลำเรื่องต่อกลอน หมอลำเพลิน หมอลำชิงชู้ หมอลำเพลินประยุกต์ และหมอลำซิ่ง (สนอง คลังพระศรี, 2541) ประเภทหมอลำที่กล่าวมานี้มีรูปแบบการแสดงที่มีความแตกต่างกัน เช่น หมอลำที่ใช้ในการแสดงประกอบพิธีกรรม คือ หมอลำทรง หมอลำที่ใช้แสดงเพื่อความบันเทิง คือ หมอลำเพลิน หมอลำเรื่องต่อกลอน และหมอลำซิ่ง นอกจากหมอลำจะมีรูปแบบการแสดงเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมแล้วและความบันเทิงแล้ว หมอลำยังได้ถ่ายทอดเนื้อหาสาระที่เป็นความรู้แก่ผู้ชมอีกด้วย
จากเนื้อหาหมอลำที่กล่าวมาเป็นไปได้หรือไม่ว่าหมอลำมีความสำคัญต่อชาวบ้านมากในสมัยนั้น จึงได้ปรากฏหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน หมอลำจึงเป็นมหรสพสร้างความบันเทิงนันทนาการให้แก่ชาวบ้านมาโดยตลอดจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
จากการลงพื้นที่ศึกษาดูงานเรียนรู้ด้านศิลปะและวันธรรมอีสานใต้ ในวันที่ 20-23 ตุลาคม 2561 ผู้เขียนได้เห็นภาพเนื้อหานิทานจากวรรณกรรม และภาพวิถีชีวิตผู้คนที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มสิมอีสาน ซึ่งภาพวิถีชีวิตเหล่านี้ได้สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของคนอีสานที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นนี้มาแต่โบราณกาลแล้ว จนมีผู้กล่าวว่า หากจะหาตัวตนของคนอีสานจะต้องหาให้ครบทั้ง 5 วิญญาณ คือ ข้าวเหนียว ปลาร้า ส้มตำ ลาบ และหมอลำ (ณัฐสุดา ภารพันธ์, 2552) ซึ่งหมอลำเป็นหนึ่งในวิญญาณทั้ง 5 ของอีสาน ซึ่งก็ได้ปรากฏอยู่ใน ฮูปแต้มสิมอีสานด้วยเช่นกัน
ผู้เขียนจึงมีความสนใจศึกษาหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้ ซึ่งหมอลำเป็นการละเล่นสร้างความบันเทิงในงานบุญประเพณีที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีมในจังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อหาความสำคัญของมหรสพการแสดงหมอลำพื้นบ้านหมอลำที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มสิมอีสาน เหตุใดหมอลำจึงมีความสำคัญต่อคนอีสานยิ่งนัก และมีคุณค่าต่อคนอีสานอย่างไร
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาความสำคัญของมหรสพการแสดงพื้นบ้านหมอลำในฮูปแต้มสิอีสาน
2. เพื่อศึกษาภาพสะท้อนหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้
วิธีดำเนินการศึกษาวิจัย
การศึกษาบทความเรื่อง หมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้ ผู้ศึกษาใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแปลความ การตีความ ใช้เทคนิคตรวจสอบแบบสามเส้า และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์ ทำการเลือกศึกษาฮูปแต้มสิมอีสาน ในช่วงลงพื้นอีสานกลาง-ใต้ ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2561 ได้แก่
1. ฮูปแต้มสิมวัดสนวนวารีพัฒนาราม ต.หัวหนอง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น
2. ฮูปแต้มสิมวัดสระบัวแก้ว ต.วังคูณ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น
3. ฮูปแต้มสิมวัดโพธาราม บ.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม
4. ฮูปแต้มสิมวัดป่าเลไลย์ บ.หนองพอก อ.นาดูน จ.มหาสารคาม
5. ฮูปแต้มสิมวัดประตูชัย (บ้านคำไฮ) บ้านประตูชัย อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. ประชากรกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษาในการศึกษาครั้งนี้ คือ กลุ่มผู้รู้ด้านดนตรีและหมอลำ จำนวน 3 ท่าน คือ ดร.ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร (เชี่ยวชาญด้านหมอลำ) รศ.สำเร็จ คำโมง (เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยสากลและพื้นบ้าน) และดร.หิรัญ จักรแสน (เชี่ยวชาญด้านดนตรีพื้นบ้าน)
2. ศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้อ้างผลการศึกษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับฮูปแต้มสิมอีสาน ความรู้เกี่ยวกับหมอลำ ความรู้เกี่ยวกับประเพณีของอีสาน และแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง
3. ศึกษารวบรวมข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เพื่อสังเกตสภาพทั่วของฮูปแต้มอีสานที่ปรากฏอยู่ในสิม และแบบสัมภาษณ์ชนิดไม่มีโครงสร้าง เพื่อสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการที่เป็นผู้รู้เกี่ยวกับดนตรีและหมอลำ
4. การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลข้อมูลโดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากศึกษาเอกสาร การสังเกต การสัมภาษณ์ และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์
ผลการศึกษา
การศึกษาบทความเรื่อง หมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้ มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาความสำคัญของมหรสพการแสดงพื้นบ้านหมอลำในฮูปแต้มสิอีสาน และเพื่อศึกษาภาพสะท้อนหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้ ผลการศึกษา พบว่า
ความสำคัญของมหรสพการแสดงพื้นบ้านหมอลำในฮูปแต้มสิอีสาน
ภาคอีสานมีศิลปะการแสดงหมอลำเป็นมหรสพที่มีวิวัฒนาการควบคู่กับสังคมอีสานมายาวนาน(วิภารัตน์ ข่วงทิพย์, 2559) มหรสพ หมายถึง การแสดงต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับพ.ศ. 2554) ทั้งที่เป็นแบบแผนและไม่มีแบบแผน มีความหมายเดียวกันกับคำว่า การแสดง กีฬาและนันทนาการ (สายไหม จบกลศึก, 2541)
ดังนั้น หมอลำจึงเป็นมหรสพการแสดงที่อยู่เคียงคู่กับสังคมอีสานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 20 (ก่อน พ.ศ. 1900) ได้เกิดหมอลำผีฟ้า และผญาเกี้ยวขึ้น และในพุทธศตวรรษที่ 20 (หลัง พ.ศ. 1900) ได้เกิดเทศน์แหล่ของพระสงฆ์ขึ้น ในพุทธศตวรรษที่ 24 (หลัง พ.ศ. 2322) ได้เกิดหมอลำพื้น และหมอลำกลอนขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ พ.ศ. 2485 - 2490) ได้เกิดหมอลำเรื่องต่อกลอนขึ้น ประมาณ พ.ศ. 2490 – 2510 ได้เกิดหมอลำเพลิน และหมอลำชิงชู้ขึ้น ในระหว่างปี พ.ศ.2523 – 2524 ได้เกิดหมอลำเพลินประยุกต์ และเพลงลูกทุ่งหมอลำขึ้น และ ในปี พ.ศ.2529 จนถึงปัจจุบันเกิดหมอลำซิ่งขึ้น (สนอง คลังพระศรี, 2541) หมอลำเป็นเพลงพื้นบ้านที่นิยมมากในภาคอีสาน ได้พัฒนาการแสดงเป็นคณะมีการฝึกหัดเป็นอาชีพ จนมีผู้สนใจจ้างหมอลำไปแสดงในงานต่าง ๆ และมีทำนองลำเรียกตามภาษาถิ่นว่า “ลาย” คือ ลายทางสั้น ลายทางยาว และลายลำเต้ย (จตุพร ศิริสัมพันธ์, 2552) การแสดงหมอลำของภาคอีสานมักจัดแสดงเป็นมหรสพทั้งในงานอวมงคล และงานมงคล รวมทั้งการแสดงหมอลำนั้นอาจแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ หมอลำในงานพิธีกรรม และหมอลำมหรสพ (ณัฐสุดา ภาระพันธ์, 2552) อาจกล่าวได้ว่า หมอลำ คือ การและเล่น หรือกิจกรรมนันทนาการของคนอีสานอย่างหนึ่งที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน (อุดม บัวศรี, 2546)
ดังจะเห็นได้จากตามงานบุญประเพณีฮีตสิบสอง มักจะมีการจ้างหมอลำมาทำการแสดงอยู่เสมอ โดยเฉพาะหมอลำกลอนที่เป็นที่นิยมของมหรสพสมโภชงาน หมอลำกลอนมีเพียงหมอลำชายหญิง 1 คู่ และหมอลำ 1 คนเท่านั้น แต่ชาวบ้านก็ยังให้ความสนใจนั่งชมการแสดงตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเกือบสว่างเลยก็มี รวมไปถึงหน่วยงานของราชการ ก็มักจ้างหมอลำไปลำรณรงค์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านสาธารณสุข การเมือง และสังคมก็มีความต้องการอาศัยหมอลำไปช่วยเป็นสื่ออยู่เสมอ (ภัทรวุธ บุญประเสริฐ, 2552) เรื่องราวของหมอลำนอกจากจะมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาแล้ว หมอลำยังมีการบันทึกโดยการวาดแทรกไว้ตามฝาผนังสิมอีสานอีกด้วย ซึ่งหมอลำเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของสังคมที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยจัดระเบียบสังคมผ่านการแสดงหมอลำ เช่น ควบคุมหนุ่มสาวให้อยู่ในจารีตประเพณีของสังคมโดยการนำเรื่องราวจากวรรณกรรมอีสานได้แก่ ผาแดงนางไอ่ ท้าวขูลูนางอั้วคำ ท้าวก่ำกาดำ และนกกระยางขาวเป็นต้น ซึ่งเนื้อหาของวรรณกรรมอีสานสานเหล่านี้จะแทรกคติ ความเชื่อ คำสอน มาแสดงหมอลำหรือเรียกว่า ลำเรื่องต่อกลอน และเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องชู้สาวจึงมีประเพณีการลำผญาเกี้ยวบ่าวสาว เป็นกุศโลบายให้หนุ่มสาวได้จีบกันในสายตาของผู้ปกครองเป็นต้น
ฉะนั้นเมื่อชาวอีสานให้คุณค่าหมอลำโดยยกให้เป็นมหรสพการแสดงพื้นบ้านอันดับต้นๆ ของอีสานแล้ว ก็ไม่พลาดที่ช่างแต้มจะนำหมอลำไปแต้มในฮูปแต้มอีสานเช่นเดียวกัน จึงส่งผลให้หมอลำมีคุณค่าเทียบเท่ากับภาพฮูปแต้มวิถีชีวิตทั่วไปของชาวบ้านหรือเรียกภาพเหล่านี้ว่า ภาพกาก ที่ปรากฏแทรกระหว่างวรรณกรรมอีสานตามสิมอีสานในหลายแห่งที่พบได้ทั่วไปตามสิมที่มีฮูปแต้มอีสาน ภาพหมอลำที่ปรากฏในฮูปแต้มอีสานได้สะท้อนความเป็นตัวตนของอีสาน สะท้อนประเพณี พิธีกรรม การละเล่นหรือการนันทนาการของอีสานได้เป็นอย่างดี
ภาพสะท้อนหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้
จากที่กล่าวมาแล้วว่าฮูปแต้มสิมอีสานนอกจากจะมีเนื้อหาที่เป็นวรรณกรรมแล้วยังมีภาพเรื่องราววิถีชีวิตของชาวบ้านแทรกอยู่ในส่วนต่าง ๆ ด้วย ได้แก่ ภาพการทำมาหากิน ภาพหนุ่มสาวเกี้ยวพาราสีกัน ภาพบุญประเพณีตามฮีตสิบสอง และภาพมหรสพการแสดงพื้นบ้านอีสานหมอลำปรากฏอยู่
ฮูปแต้มสิมอีสานที่ปรากฏภาพหมอลำ จำนวน 5 หลัง ได้แก่ ฮูปแต้มสิมวัดสนวนวารีพัฒนาราม จ.ขอนแก่น ฮูปแต้มสิมวัดสระบัวแก้ว จ.ขอนแก่น ฮูปแต้มสิมวัดโพธาราม จ.มหาสารคาม ฮูปแต้มสิมวัดป่าเลไลย์ จ.มหาสารคาม และฮูปแต้มสิมวัดประตูชัย จังหวัดร้อยเอ็ด ปรากฏภาพหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสานอยู่ 3 ลักษณะคือ 1. การลำและจ่ายผญา 2. การลำและเซิ้งประกอบขบวนแห่ และ3. การแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน จากการศึกษาพบว่า
การลำและจ่ายผญา เป็นการลำโต้ตอบกันระหว่างหมอลำชายและหมอลำหญิง พบที่สิมวัดสนวนวารีพัฒนาราม จังหวัดขอนแก่น สร้างใน ปี พ.ศ. 2475 (บุรินทร์ เปล่งดีสกุล, 2554) ปรากฏฮูปแต้มสินไซเป็นหลัก และมีฮูปแต้มวิถีชีวิตของคนอีสานด้วย (กัลญาณี กิจโชติประเสริฐ, 2545) ส่วนฮูปแต้มหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพหมอลำชายหญิง 1 คู่ หมอลำฝ่ายชาย 1 คน ฝ่ายหญิง 1 คน ซึ่งแต่ละฝังของชายหญิงยังมีบริวารหรือทีมอยู่ประมาณ 4-5 คน ซึ่งการแสดงหมอลำในลักษณะนี้มักเป็นการแสดงหมอลำเพื่อจ่ายผญาระหว่างหนุ่มสาวชาวอีสาน ปรากฏดังภาพที่ 1

ภาพประกอบที่ 1 ภาพฮูปแต้มการแสดงหมอลำผญาในสิมอีสาน วัดสนวนวารีพัฒนาราม จ.ขอนแก่น
การลำและจ่าย คือ การร้องเพลงพื้นบ้านของชาวอีสานประเภทหนึ่ง เป็นการร้องลำเกี้ยวกัน ระหว่างชายหญิง โดยมีการจ่ายผญา เว้าผญา พูดผญา และการแก้ผญา ผู้ถามส่วนใหญ่เป็น หมอลำฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายตอบ การลำและจ่ายผญา ในสมัยโบราณนิยมนั่งกับพื้น หมอลำหรือหมอผญาและหมอแคน นั่งล้อมเป็นวง ส่วนผู้ฟังก็นั่งเป็นวงล้อมรอบ บางครั้งก็ลุกขึ้นฟ้อน แต่ผู้จ่ายผญาจะไม่มีการฟ้อน ในบางครั้งทำงานไปด้วย แก้ผญาไปด้วย บางครั้งก็มีหมอสอยคอยสอดแทรก (“สอย” คือสำนวนที่ชาวอีสานนิยมพูดเสริมหรือสอดแทรก ขัดจังหวะหมอลำ เป็นบทร้อยกรองปากเปล่าว่าสั้นๆ ส่วนมากมีถ้อยคำออกไปในทางหยาบโลน เป็นการหยอก ล้อทั้งหมอลำและผู้ฟัง เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ผู้สอยเก่งๆ เรียกว่า “หมอสอย”) ทำให้ผู้ฟังได้รับความ สนุกสนาน (พระมหาโสภรรณ ธนปญฺโญ (เศรษฐา), 2553) จำนวนผู้แสดง 2 คน ได้แก่ หมอลำชาย และหมอลำหญิง บทกลอนลำที่ใช้ เช่น
“ตายดับนกเอี้ยงฝ้าย ตายวายนกเอี้ยงโหม่ง ตายดับนกอีจู้ ชูแล้วจั่งแต่งดอง อันว่า เครือบุ่นเกี้ยวเครือบุ่นซ้ำผัดตาย อันว่า เครือหวายเกี้ยวเครือหวายซ้ำผัดเน่า อันว่า ชู้เก่าน้องทางบ้านก็บ่มี ดอกนา
น้ำต้องตาดคือน้องสิแกว่งหลา น้ำต้องผาคือน้องสิแกว่งอิ้ว ฟ้ายิกคิ้วคือน้องสิแกว่งแขวน
เห็นว่าดำขี้หลี่อย่าฟ้าวขี่เฮือกลาย เห็นว่าดำขอยลอยอย่าฟ้าวพายเฮือเว้น บาดว่าเฮือคาแก้งดำขอยลอยสิได้ช่อย คันบ่ได้ช่อยน้อยยังชิได้ช่อยหลาย”
(ประตูสู่อีสาน, 2561: เว็บไซต์)
โอกาสที่แสดงได้ทุกโอกาส ประโยชน์มีบทบาทให้ความบันเทิง หมอลำให้ความบันเทิง สนุกสนานตื่นเต้นด้วยเสียง ภาษา ท่าทาง เนื้อเรื่องที่สนุกสนานเช่น การอ่านหนังสือจากวรรณกรรมเรื่องต่างๆ ทั้งคดีโลกคดีธรรมหรือการเกี้ยวพาราสี ชิงไหวพริบกันของหนุ่มสาว มีบทบาทด้านความรู้ หมอลำโดยทั่วไปจะสอดแทรกความรู้ทั้งคดีโลกและคดีธรรม เพื่อให้ข้อคิดแก่ผู้ฟังได้ความรู้ โดยไม่ให้รู้ตัว
การลำและเซิ้งประกอบขบวนแห่ ปรากฏฮูปแต้มการลำและเซิ้งประกอบขบวนแห่อยู่ 3 แห่ง ด้วยกัน ได้แก่ ฮูปแต้มสิมวัดสระบัวแก้ว จ.ขอนแก่น สร้างใน ปี พ.ศ. 2474 (บุรินทร์ เปล่งดีสกุล, 2554) ผนังสิมแต้มฮูปพระลัก พระลามเป็นหลัก และภาพวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้น (บุญยงค์ เกศเทศ, 2560: เว็บไซต์) ส่วนฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพขบวนแห่มีหมอลำแคน 1 คน และมีชายหญิงฟ้อนรำประกอบ ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการลำในขบวนแห่เซิ้งอีสาน ปรากฏดังภาพที่ 2

ภาพประกอบที่ 2 ภาพฮูปแต้มการลำและเซิ้งในสิมวัดสระบัวแก้ว จ.ขอนแก่น
ฮูปแต้มสิมวัดฮูปแต้มในสิมวัดโพธาราม จ.มหาสารคาม สร้างก่อน ปี พ.ศ. 2500 (บุรินทร์ เปล่งดีสกุล, 2554) ผนังสิมแต้มฮูปวรรณกรรมเรื่องเผวสันดรชาดกเป็นหลัก ส่วนภาพวิถีชีวิตเสนอภาพชีวิตผู้คนตำข้าวด้วยครกมอง และการลงข่วงเข็ญฝ้าย (ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ และคณะ, 2559) ส่วนฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพหมอแคน 1 คน ชายหนุ่ม และหญิงสาวฟ้อนรำเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการลำในขบวนแห่เซิ้งอีสาน ปรากฏดังภาพที่ 3

ภาพประกอบที่ 3 ภาพฮูปแต้มการลำและเซิ้งในสิมวัดโพธาราม บ.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม
ฮูปแต้มวัดป่าเลไลย์ จ.มหาสารคาม สร้างใน ปี พ.ศ. 2400 (บุรินทร์ เปล่งดีสกุล, 2554) ผนังสิมแต้มฮูปพุทธประวัติและวิถีชีวิตของชาวบ้าน คือ การทำมาหากิน การประกอบอาชีพ ประเพณีท้องถิ่นต่าง ๆ และการละเล่นแสดงหมอลำ (พรเพ็ญ บุญญาทิพย์, 2556) ส่วนฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพหมอแคน 2 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม มีชายหนุ่มฟ้อนรำอย่างสนุกสนานประจำกลุ่มละ 7-8 คน ท่ามกลางหญิงสาวที่ยืนดูอยู่ ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการลำในขบวนแห่เซิ้งอีสาน ปรากฏดังภาพที่ 4

ภาพประกอบที่ 4 ภาพฮูปแต้มการลำและเซิ้งในสิมวัดป่าเลไลย์ จ.มหาสารคาม
จากฮูปแต้มการแสดงหมอลำที่ปรากฏจะเห็นได้ว่าสิมทั้ง 3 หลังนี้ ได้ปรากฏการแสดงหมอลำในลักษณะคล้ายกับการลำและเซิ้ง การลำและเซิ้ง หมายถึง การฟ้อนประกอบการขับกาพย์ ส่วนใหญ่นิยมใช้ในพิธีแห่บั้งไฟขอฝน นิยมเซิ้งเป็นกลุ่มตั้งแต่ 3-5 คนมีหัวหน้าเป็นคนขับกาพย์เซิ้งนำ แล้วคนอื่น ๆจะน้องรับไปเรื่อย ๆ จำนวนผู้แสดง 3-5 คนขึ้นไป บทกลอนลำ เช่น ตัวอย่างกาพย์เซิ้งบั้งไฟที่ใช้ในช่วงเตรียมงาน
“…โอเฮาโอพวกเซิ้งเฮาโอ มาฮอดนี่ฌอาขอสาก่อน มาฮอดบ่อนเฮือนเจ้าศรัทธา ขอเงินตราไปซื้อกินเหล้า ขอนำเจ้าผู้เพิ่นใจบุญ จั่งเป็นคุณลูกหลานมาจอด...”
(อร่ามจิต ชินช่วง, 2531)
โอกาสที่แสดง บุญประเพณีในฮีตสิบสอง ประโยชน์ช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน จากภาวะเศรษฐกิจที่บีบรัดในปัจจุบัน สื่อหมอลำสามารถใช้ศิลปะการแสดงการผ่อนคลายความตึงเครียดในชีวิตประจำวันของประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยศิลปะการแสดงนั้นประกอบไปด้วยบทตลก โศกเศร้า ดีใจ เสียใจ ทำให้ผู้ฟัง ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามกับนักแสดงนั้น ๆ จนสามารถทำให้ผู้ฟัง ผู้ชมลืมสภาพการณ์ความเป็นจริง ในชีวิตประจำวันได้
การแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน วัดประตูชัย (บ้านคำไฮ) จังหวัดร้อยเอ็ด สร้างใน ปี พ.ศ. 2464 (บุรินทร์ เปล่งดีสกุล, 2554) ฮูปแต้มผนังสิมเน้นเนื้อหาวรรณกรรมสินไซและพระเวสันดรชาดก เป็นหลัก และมีการแต้มฮูปวิถีชีวีชาวบ้านด้วยซึ่งในช่วงนี้รัฐสยามได้เข้ามาปกครองพื้นที่ชุมชนอีสานแล้ว (ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ และคณะ, 2559) ส่วนฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ มีหมอลำแคน 1 คน มีชายหญิงรำเกี้ยวคู่กัน 1 คู่ และมีชายหนุ่ม 3 คน ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน ปรากฏดังภาพที่ 5

ภาพประกอบที่ 5 ภาพฮูปแต้มแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอนในสิมวัดประตูชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
จากฮูปแต้มการแสดงหมอลำที่ปรากฏจะเห็นได้ว่าสิมวัดประตูชัย ได้ปรากฏการแสดงหมอลำในลักษณะคล้ายกับแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน ดังนี้
การแสดงลำผญา หมายถึง การนำผญามาใส่ทำนองลำ "กลอนผญา" นี้ คนโบราณใช้พูดเกี้ยวพาราสีกัน เมื่อชายหนุ่มหรือหญิงสาว ไปพบกัน ถ้ามีความรักใคร่พอใจกัน จะพูดเกี้ยวกันเป็นผญา เรียก "จ่ายผญา" จำนวนผู้แสดงมี 3-5 คน แต่พวกผู้ไทยในเขตมุกดาหาร นครพนม สกลนคร เอาผญานี้ไปใช้เป็นกลอนลำ เมื่อไปลำ ณ ที่ใด ก็เอาผญาไปเป็นกลอนลำ ลำเกี้ยวกันไปเกี้ยวกันมา ลำเป็นบทกลอนสั้นๆ ต่อมาพวกลำกลอนเห็นว่า แบบผู้ไทยสะดวกไม่ต้องท่องกลอนยาว จึงเลียนแบบผู้ไทยมาลำ เปลี่ยนชื่อกลอนไปใหม่ว่า "ลำเต้ย" เอาชื่อบ้านชื่อเมืองไปตามเจ้าของ เช่น เต้ยหัวดอนตาล เต้ยศรีภูมิ เต้ยพม่า เป็นต้น ความจริงก็คือ "ลำผญา" นั้นเอง จะได้นำเอาเต้ยมาแสดงพอเป็นตัวอย่าง ดังต่อไปนี้
“…ผู้จบจั่งน้องผู้งามจั่งน้องยืมเพศผู้ใดมา ผู้จบจั่งน้องผู้งามจั่งน้องยืมขาผู้ใดย่างมานอ หือแม่นเทพะไท้ลวงล้อให้พี่ตาย บ้อนอ บ่จบปานใดแล้ว บ่งามปานใดแล้วหูตามีให้เบิ่งเอาถ้อน คันแม่นดีแลฮ้ายเชิยเจ้าให้เบิ่งเอา หั้นถ้อน ผู้จบจั่งเจ้า ผู้งามจั่งเจ้าอยากขอแนวไปปลูก คันแม่นได้ลูกแล้ว แนวเจ้าสิส่งคืน ดอกนา ย้านแต่ติแถลงเว้าเอาเงางามาปั้นฮูบ เอาหีนแฮ่มาคั้นส้ม เอาลมเฮ็ดตองห่อ เอาแดดมาเฮ็ดตอกกิ้ว สิไปหมั้นบ่อนใด บ่ได้ติแถลงหล้ม ตมบ่มีคาดลาดหมื่น บ่ได้คาดลาดล้มเดือนห้าก่อนฝน ดอกนา ลมพานต้องตองแกย้านบ่แน่ ลมพานต้องตองแต้แน่บ่นอ…”
(ประตูสู่อีสาน, 2561: เว็บไซต์)
โอกาสที่แสดง สามารถแสดงได้ทุกโอกาส ประโยชน์เนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในกลอนลำยังมีบทบาทสะท้อนให้เห็นประเพณีวัฒนธรรมชุมชนในท้องถิ่น สร้างเอกภาพทางการเมืองและความคิดของผู้ฟัง สภาพสังคมชาวอีสาน 1. การประกอบอาชีพ ซึ่งมีหลายอย่าง เช่นการทำนา ทำไร่ วัฒนธรรมการกิน เช่น การกินอาหารของชุมชน ประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีแต่งงาน ประเพณีการลงเข็นฝ้าย 2. สร้างเอกภาพทางการเมืองและความคิด หมอลำมีบทบาทสร้างเอกภาพทางความคิดให้แก่ผู้ฟัง โดยวิธีการเสนอข้อมูลที่เป็นบรรทัดฐานสังคม ให้คนปฏิบัติเหมือนกัน 3. สภาพสังคมชาวอีสาน ได้แก่ 1.ธรรมเนียมเกี่ยวกับชีวิต เช่น ฮีตสิบสองคองสิบสี่ 2.สะท้อนด้านความรัก ความกตัญญู ต่อผู้มีพระคุณ ของชาวอีสาน 3.สะท้อน อาชีพ และการดำเนินชีวิต ของชาวอีสาน 4.แสดงถึงสุภาษิต คำพังเพย 5.แสดงถึงคำสอน 6.แสดงถึงความเชื่อ (บุญเสริม แก่นประกอบ, ม.ป.ป.)
หมอลำกลอน หมายถึง หมอลำที่ลำเป็นคู่ โต้ตอบกันระหว่างชายหญิง เน้นเนื้อหาบทกลอนเป็นสำคัญ อาจเกี่ยวกับเหตุการณ์ สังคม ประเพณี และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น หรือบทกลอนทางประวัติศาสตร์ก็ได้ โดยมีการนำแคนเข้ามาประกอบขณะลำ (สุวิทย์ รัตนปัญญา, 2553) การแสงหมอลำกลอน เป็นการลำสลับชายหญิง กลอนลำที่ลำขึ้นอยู่กับการนำเสนอ เช่น กลอนวิชาการ กลอนประวัติศาสตร์ กลอนธรรมชาติ และลักษณะของกลอนขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ได้แก่ กลอนเกี้ยว กลอนโจทย์แก้ กลอนเดินดง เป็นต้น ซึ่งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะลำโต้ตอบหรือบางครั้งก็อาจจะมีการประชันกลอน โดยขึ้นต้นเปิดฉากด้วยกลอนไหว้ครู ใช้ทำนองลำทางสั้น และถัดจากนั้นจะเป็นกลอนบรรยายอาจเป็นกลอนนิทาน ใช้ทำนองลำทางยาว และสุดท้ายเป็นกลอนลำเกี้ยวระหว่างหมอลำชายและหมอลำหญิง ใช้ทำนองลำเต้ยโขง พม่า และธรรมดา การแต่งกายผู้ชายนิยมแต่งกายด้วยชุดสากล เสื้อแขนยาวผูกไท้ ส่วนหมอลำหญิง จะแต่งกายที่สวยงามตามสมัยนิยมคือ สวมชุดผ้าไหม เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดง คือ แคน เป่าคลอประกอบขณะลำ หมอลำกลอนเป็นหมอลำที่ถือว่าเป็นต้นเค้าของหมอลำที่เป็นครูถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างดี เพราะเนื้อหาของกลอนลำส่วนใหญ่จะมีทั้งคดีโลก และคติธรรมที่แทรกด้วยคำสอนต่าง ๆ ของประเพณี และวัฒนธรรมในสังคมอีสานอย่างสมบูรณ์ (เอื้อมเดือน ถิ่นปัญจา, 2548) จำนวนผู้แสดง มี 3 คน บทกลอนลำเช่น
“โอ่ย…โอ้ยละนอ…เออ…อ่วย ฟ้าเอยฟ้าฮ้องหล่าย ทางอุดรหนองคาย น้องได้ยินหรือบ่ ฟ้าเอ้ยนอฮ้องตึ้งพุ้นตึ้งพี้ ใจอ้าย…ห้วงพะนาง..เอ้ยเอย…น่า… บรบวนแล้ว ชายลำสิลาจาก สิได้พากพี่น้อง ลุงป้าคู่สู่คน ลำมาโดนจนล้า ตาลายปากฝ่าว ทางผ่องอิดอ่อนล้า ขายั้งสิบ่ไหว…”ฯลฯ
(สุนทร แพงพุทธ, 2556)
โอกาสที่แสดงสามารถแสดงได้ทุกโอกาส ประโยชน์มีบทบาทเผยแพร่ศาสนาและรักษาบรรทัดฐานของสังคม ศาสนามีความสำคัญกับสังคมของอีสานมาก รวมทั้งเป็นตัวกำหนดค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ อีกทั้งหมอลำเป็นผู้ถ่ายทอดคำสอน เช่น การนำเอาชาดกมาลำเป็นเรื่องราว และตอนท้ายหมอลำก็จะสรุปคติธรรมที่ปรากฏในชาดกนั้นๆ เป็นต้น เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บาปบุญคุณโทษ และนอก จากนี้หมอลำยังมีบทบาทเป็นสื่อพื้นบ้าน คือการลำเพื่อเสนอข่าวสารแก่สาธารณชน หมอลำเป็นสื่อที่ชาวบ้านเข้าถึงและให้ความเชื่อถือโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวที่สื่อสารอาจเป็นการชักชวนให้จงรักภัคดี การตักเตือนภัยที่เกิดแก่ชุมชน ข่าวสารทางราชการต้องการประเทศให้ชุมชนได้รับทราบ นอกจากนี้หมอลำยังมีประโยชน์ในหลายด้านคือ 1) สร้างงาน สร้างอาชีพ จากการพัฒนาปรับปรุง ประยุกต์ จนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แพร่หลาย จริงจัง ประกอบกับมีผู้สนใจศึกษาเรียนรู้ ฝึกหัด เป็นหมอลำหลายประเภท จนมีสำนักงานหมอลำสำหรับติดต่อว่าจ้างให้แสดง ซึ่งสามารถทำให้บุคลหลายคนมีงานทำ มีอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ 2) สร้างโอกาสการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและอื่น ๆของประชาชน กล่าวคือ เมื่อมีการแสดงหมอลำจะทำให้ประชาชนจากหลายท้องที่มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์ สันทนาการซึ่งกันและกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีแก่ชุมชน กลายเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การติดต่อช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในโอกาสต่อไป และ 3) การแสดงถึงความเจริญงอกงามทางด้านวัฒนธรรมจิตใจของประชาชน ทั้งในบทกลอนลำของหมอลำนั้น จะประกอบด้วยการกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เชิญชวนให้ประชาชนประพฤติดี มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และอื่น ๆ โดยทั้งหมดนี้จะแทรกในความบันเทิงจากศิลปะการแสดงนั้น ๆ (เทพพร มังธานี, 2545)
จากการศึกษาฮูปแต้มสิมอีสานทั้งหมดจำนวน 5 หลัง พบว่ามีการสร้างฮูปแต้มขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2400-2500 ซึ่งตรงกับการเกิดหมอลำอีสานในช่วงปี พ.ศ. 2322-2490 ได้แก่ หมอลำพื้น หมอลำกลอน และหมอลำเรื่องต่อกลอน จะเห็นได้ว่าหมอลำที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสานจะเป็นภาพ หมอลำชาย หมอลำหญิง และหมอแคนปรากฏอยู่ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของการแสดงหมอลำกลอนอีสาน และบางภาพยังปรากฏว่ามีขบวนเซิ้งและมีการลำประกอบเพื่อสร้างความสนุกสนานในขบวนแห่ด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏเห็นภาพการเล่นหมอลำเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวโดยอาจจะเป็นลำจ่ายผญาก็เป็นได้ ซึ่งฮูปแต้มสิมอีสานที่ปรากฏมหรสพการแสดงหมอลำที่ปรากฏพบทั้งหมด 5 หลัง แบ่งหมอลำที่ปรากฏออกเป็น 3 กลุ่ม คือ การลำและจ่ายผญา การลำและเซิ้งประกอบขบวนแห่ และการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน มีลักษณะดังนี้ 1) การลำและจ่ายผญา สิมวัดสนวนวารี ฮูปแต้มหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพหมอลำชายหญิง 1 คู่ หมอลำฝ่ายชาย 1 คน ฝ่ายหญิง 1 คน ซึ่งแต่ละฝังของชายหญิงยังมีบริวารหรือทีมอยู่ประมาณ 4-5 คน ซึ่งการแสดงหมอลำในลักษณะนี้มักเป็นการแสดงหมอลำเพื่อจ่ายผญาระหว่างหนุ่มสาวชาวอีสาน 2)การลำและเซิ้งประกอบขบวนแห่ สิมวัดสระบัวแก้วฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพขบวนแห่มีหมอลำแคน 1 คน และมีชายหญิงฟ้อนรำประกอบ ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการลำในขบวนแห่เซิ้งอีสาน สิมวัดโพธาราม ฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพหมอแคน 1 คน ชายหนุ่ม และหญิงสาวฟ้อนรำเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการลำในขบวนแห่เซิ้งอีสาน และสิมวัดป่าเลไลย์ ฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ มีหมอลำแคน 1 คน มีชายหญิงรำเกี้ยวคู่กัน 1 คู่ และมีชายหนุ่ม 3 คน ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน และ3) การแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน สิมวัดประตูชัย ฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ มีหมอลำแคน 1 คน มีชายหญิงรำเกี้ยวคู่กัน 1 คู่ และมีชายหนุ่ม 3 คน ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน
อาจกล่าวได้กว่า มหรสพการแสดงของคนอีสาน ไม่สามารถขาดการแสดงหมอลำได้ เพราะหมอลำเป็นสิ่งเติมเต็มความสุขทางด้านร่ายกาย (รำ) และได้จิตใจ (เสียงลำ) ให้แก่คนอีสานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อใดที่มีภาพวิถีชีวิตของชาวอีสานปรากฏขึ้นเกี่ยวกับงานบุญประเพณี หรือการละเล่นของคนอีสานแล้วย่อมปรากฏมีมหรสพการแสดงหมอลำอยู่ด้วยเสมอ
สรุปและอภิปรายผล
จะเห็นได้ว่ามหรสพการแสดงหมอลำมีความสำคัญกับคนอีสานเท่ากับลมหายใจเลยก็ว่าได้ ดังที่ปรากฏฮูปแต้มมหรสพการแสดงหมอลำในสิมอีสานซึ่งยืนยันได้แล้วว่า หมอลำเป็นมหรสพที่มีความสำคัญต่ออีสานอย่างแท้จริง จากการศึกษาความสำคัญของมหรสพการแสดงพื้นบ้านหมอลำในฮูปแต้มอีสาน สรุปได้ว่า
1) หมอลำให้ความบันเทิงและสร้างความสามัคคีปองดองให้กับคนในชุมชน ดังปรากฏภาพ การลำและเซิ้งประกอบขบวนแห่ สิมวัดสระบัวแก้วฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพขบวนแห่มีหมอลำแคน 1 คน และมีชายหญิงฟ้อนรำประกอบ ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการลำในขบวนแห่เซิ้งอีสาน สิมวัดโพธาราม ฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพหมอแคน 1 คน ชายหนุ่ม และหญิงสาวฟ้อนรำเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการลำในขบวนแห่เซิ้งอีสาน และสิมวัดป่าเรไรย์ ฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ มีหมอลำแคน 1 คน มีชายหญิงรำเกี้ยวคู่กัน 1 คู่ และมีชายหนุ่ม 3 คน ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน 2) หมอลำช่วยกลั่นกรองการเลือกคู่ของหนุ่มสาว ดังปรากฏภาพการลำและจ่ายผญา สิมวัดสนวนวารี ฮูปแต้มหมอลำที่ปรากฏ คือ ภาพหมอลำชายหญิง 1 คู่ หมอลำฝ่ายชาย 1 คน ฝ่ายหญิง 1 คน ซึ่งแต่ละฝังของชายหญิงยังมีบริวารหรือทีมอยู่ประมาณ 4-5 คน ซึ่งการแสดงหมอลำในลักษณะนี้มักเป็นการแสดงหมอลำเพื่อจ่ายผญาระหว่างหนุ่มสาวชาวอีสาน และ 3) หมอลำให้การศึกษาแก่คนในชุมชนและช่วยให้หนุ่มสาวได้ทำความรู้จักกัน ดังปรากฏภาพการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน สิมวัดประตูชัย ฮูปแต้มของหมอลำที่ปรากฏ คือ มีหมอลำแคน 1 คน มีชายหญิงรำเกี้ยวคู่กัน 1 คู่ และมีชายหนุ่ม 3 คน ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งแสดงลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการแสดงหมอลำผญาและหมอลำกลอน
อาจสรุปได้ว่าหมอลำเป็นส่วนช่วยควบคุมสังคมทางอ้อมด้วยเนื้อหากลอนลำที่มีลักษณะเป็นคำสอนแทรกคุณธรรม จริยธรรม วิถีการดำรงชีวิต และประวัติศาสตร์ เป็นสื่อคอยย้ำเตือนชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา หมอลำจึงมีคุณค่าทั้งทางด้านการออกกำลังกายด้วยการฟ้อนรำ การได้ความรู้จากการฟังลำ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ของโบรนิสลอร์ มาลิเนาสกีที่กล่าวถึงหน้าที่นิยมมาใช้กับอินทรีย์นิยม หลักความคิดในการวิเคราะห์สังคม คือ องค์ประกอบต่างๆของวัฒนธรรมทุกส่วนทำหน้าที่สนองความต้องการจำเป็นของมนุษย์และวัฒนธรรม “ทัศนะของหน้าที่นิยมที่มีต่อวัฒนธรรมเน้นหลักสำคัญที่ว่าประเพณีทุกอย่าง วัฒนธรรมทุกอย่าง ความคิดทุกความคิด ความเชื่อทุกความเชื่อของวัฒนธรรม สนองตอบความต้องการจำเป็นหรือทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง มีหน้าที่จะต้องทำหรือเป็นตัวแทนของส่วนที่จะขาดเสียไม่ได้ในวัฒนธรรมนั้น” จุดเด่นในความคิดหน้าที่นิยมของ Malinowski อยู่ที่แนวโน้มส่วนลด คือ แนวการวิเคราะห์ของเขาจะเริ่มมีความต้องการจำเป็นของแต่ละคน เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย และการมีลูกหลาน เนื่องจากความต้องการของมนุษย์แต่ละคนนี้ จึงต้องมีการรวมตัวกันเป็นชุมชนหรือกลุ่มสังคม หรือแม้แต่การสร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมขึ้นก็ด้วยสาเหตุอันเดียวกัน แต่สัญลักษณ์ทำหน้าที่ควบคุมให้บุคคลต้องปฏิบัติหรือกระทำตามแบบที่กำหนดเพื่อให้สามารถสนองความต้องการจำเป็นได้อย่างเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันการตั้งกลุ่มหรือชุมชนและวัฒนธรรมขึ้นใหม่ก็เป็นสาเหตุให้ต้องมีกลุ่มหรือชุมชนที่ซับซ้อนขึ้นไป สนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นมานั้นอีกทอดหนึ่ง วนเวียนไปเช่นนั้น (ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง, 2552) จากทฤษฏีโครงสร้างหน้าที่นิยมดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเมื่อนำมาอธิบายหมอลำแล้วจะเห็นได้ว่าหมอลำเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของสังคมที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยจัดระเบียบสังคมผ่านการแสดงหมอลำ เช่นควบคุมหนุ่มสาวให้อยู่ในจารีตประเพณีของสังคมเพื่อไม่ให้เกิดการชู้สาวโดยมีประเพณีการลำผญาเกี้ยวบ่าวสาว เป็นกุศโลบายให้หนุ่มสาวได้จีบกัน เป็นต้น หมอลำจึงมีความสำคัญจนกระทั่งทำให้ช่างแต้มได้นำการแสดงหมอลำแต้มแทรกในบริเวณพื้นที่ว่างของสิมด้วยจนปรากฏเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์สืบมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อเสนอแนะ
ผลจากการศึกษาบทความเรื่อง หมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน มหรสพการแสดงพื้นบ้านคนอีสานที่ขาดไม่ได้ มีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้
หน่วยงานสถาบันการศึกษาสามารถนำผลการศึกษาบทความนี้ไปจัดทำเป็นหลักสูตรท้องถิ่นหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสาน พร้อมทั้งสามารถเผยแพร่เป็นเอกสารประกอบการสัมมนาความรู้เรื่องหมอลำในฮูปแต้มสิมอีสานได้
2. ข้อเสนอแนะการศึกษาครั้งต่อไป
ควรมีการศึกษาบทความเรื่อง ศิลปะการแสดงพื้นบ้านอีสานที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มสิมในภาคอีสาน
เอกสารอ้างอิง
กัลญาณี กิจโชติประเสริฐ. (2545). ฮูปแต้มสิมวันสนวนวารีพัฒนาราม, นิตยสารศิลปากร (ก.ย. - ต.ค. 2545).
ขนิษฐา ขันคำ. (2560). โฮมภูมิ ครั้งที่ 3 ภูมิปัญญาสู่อนาคต. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 15-16 มิถุนายน 2560.
จตุพร ศิริสัมพันธ์. (2552). เพลงพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนไทย เล่มที่ 34 โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.
ณัฐสุดา ภาระพันธ์. (2552). การปรับตัวของเพลงหมอลำพื้นบ้านอีสานสู่เพลงลูกทุ่งหมอลำในปัจจุบัน: กรณีศึกษา 10 บทเพลง. จุลสารลายไทยฉบับพิเศษวันภาษาไทยแช่งชาติ 29 กรกฎาคม 2552
เทพพร มังธานี. (2545). เปิดผ้าม่านกั้ง: เปิดจิตวิญญาณอีสานสู่จิตวิญญาณสากล. ขอนแก่น: พระธรรมขันต์
บุญยงค์ เกศเทศ. (2560). ฮูปแต้มบนผนังสิม วัดสระบัวแก้ว อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/G2Mnt. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2561.
บุญเสริม แก่นประกอบ. (ม.ป.ป.). สื่อการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เรื่อง เพลงพื้นบ้าน. เอกสารประกอบการสอน.โรงเรียนบ้านชงโค
บุรินทร์ เปล่งดีสกุล. (2554). พัฒนาการของจิตรกรรมฝาผนังอีสาน กรณีศึกษาจังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคามและจังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารคณะศิลปกรรมศาสตร์ ปีที่ 3 ฉบับที่1 (84-113).
ประตูสู่อีสาน. (2561). กลอนเต้ยหรือผญา. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/rPVdL. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561.
พรเพ็ญ บุญญาทิพย์. (2556). กระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์จิตกรรมฝาผนัง วัดโพธารามและวัดป่าเรไรย์ จังหวัดมหาสารคาม. ดำรงวิชาการ.
พระมหาโสภรรณ ธนปญฺโญ (เศรษฐา). (2553). การสังเคราะห์ผญาสุภาษิตอีสานลงในพุทธศาสนสุภาษิต. วิทยานิพนธ์. ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต.สาขาวิชาพระพุทธศาสนา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พิทักษ์ น้อยวังคลัง. (2549). ค่านิยมไตรภูมิในจิตกรรมฝาผนังโบสถ์อีสาน. วารสารสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ 38,2 (ก.ค.-ธ.ค.2549) 283-300.
ไพโรจน์ สโมสร และคณะ. (2532). จิตรกรรมฝาผนังอีสาน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ป จำกัด.
ภัทรวุธ บุญประเสริฐ. (2552). การใช้สื่อพื้นบ้านในการสื่อสารทางการเมือง ศึกษากรณีหมอลำนายภัทรวุธ บุญประเสริฐ. เอกสารวิชาการ หลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) รุ่นที่ 1 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย.
ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (2556). พิมพ์ครั้งที่ 2กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน.
วสันต์ ยอดอิ่ม. (2545). สิมพื้นถิ่นในเขตภาคอีสานตอนบน.วิทยานิพนธ์.ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิภารัตน์ ข่วงทิพย์. (2559). หมอลำพื้นฐาน. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/T3UGQ. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2561.
ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ และคณะ. (2559). สารานุกรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน “จิตรกรรมฝาผนังพุทธอุโบสถแบบดั้งเดิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มหาสารคาม. มหาสารคาม.
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง (2552) แนวคิดและทฤษฎีทางสังคม. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/OEcK4. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2561.
สนอง คลังพระศรี. (2541). หมอลำซิ่ง : กระบวนการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมดนตรีของหมอลำ ในภาคอีสาน. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (วัฒนธรรมศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล.
สมบัติ ประจญศาสต์. (2559). ภูมิปัญญาการกำหนดพื้นที่ภายในสิมอีสาน. วิจัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์.
สายไหม จบกลศึก. (2541). การละเล่นพื้นเมือง. กรุงเทพฯ. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนไทย เล่มที่ 23โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.
สาโรช พระวงศ์. (2551). การศึกษาความหมายของแสงในสิมอีสาน. วิทยานิพนธ์.ปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยา: มหาวิทยาลัยศิลปากร
สุนทร แพงพุทธ และประมวล พิมพ์เสน. (2556). กลอนลำประยุกต์. ขอนแก่น: คลังนานาวิทยา.
สุวิทย์ รัตนปัญญา. (2553). หมอลำกลอน: บริบท คุณค่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและการดำรงอยู่ในประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วิทยานิพนธ์ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค. เลย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.
อร่ามจิต ชินช่วง. (2531). กาพย์เซิ้งบั้งไฟ : กรณีศึกษาเฉพาะอำเภอเมือง จังหวัดยโสธร. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ.
อุดม บัวศรี. (2546). วัฒนธรรมอีสาน. ขอนแก่น: คลังนานาวิทยา.
เอื้อมเดือน ถิ่นปัญจา. (2548). การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเรื่องหมอลำกลอนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนม่วงหวานพัฒนาศึกษาจังหวัดขอนแก่น. วิทยานิพนธ์. ปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต (หลักสูตรและการสอน) ขอนแก่น: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ความคิดเห็น