นางอัปสรา : นาฏยลักษณ์จากภาพศิลาจำหลักประติมากรรมจามโบราณ
- ครู บุญ
- 22 ม.ค. 2565
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565
บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
ในปัจจุบันนางอัปสราได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ แล้วใช่ไหม นางกลับมาเพื่อต้องการเล้าโลมจิตใจเหล่ายอดชายในโลกไห้รุ่มหลงอีกครั้งจริงหรือ หรือว่านางกลับมาเพื่อจุดประสงค์ใด หลังจากที่นางได้หลับใหลไปจากเมืองมนุษย์กว่าพันปี

อาณาจักรจามปาโบราณตั้งอยู่บริเวณตอนกลางชายฝั่งทะเลของประเทศเวียดนามปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์จามปานับตั้งแต่บทบาทของศิลปวัฒนธรรมอินเดียแพร่เข้ามารวมพุทธศตวรรษที่ 10-11 จามปาต้องทำสงครามกับเขมรทางตะวันตกและเวียดนามทางเหนือตลอด ในที่สุดจามปาก็ถูกกลืนโดยชนชาติที่มีวัฒนธรรมแบบจีนและ เวียดนาม จึงทำให้ศิลปะจามปาจึงมีลักษณะคล้ายทางอินเดียและสายจีนมาก ที่เห็นเด่นชัดที่สุด คือ ประติมากรรมในงานสถาปัตยกรรม อาจกล่าวได้ว่าลักษณะเด่นที่สุดของจามปา คือ ศิลปะด้านประติมากรรม นั่นเอง (สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์, 2543)
ประติมากรรมของจามนั้นมีอยู่หลากหลายชนิด แต่ที่เป็นเอกลักษณ์ของประติมากรรมจาม ที่มีแนวการสร้างที่ไม่มีแม้แต่ในอินเดีย คือ การสร้าง ศิวลึงค์ศิลาบนฐานโยนีทรงกลม แล้วรองรับด้วยฐานสี่เหลี่ยม อีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า เป็นศิลปะแบบจ่าเกี่ยว มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 16 ที่รอบฐานสี่เหลี่ยม ทางหนึ่งสลักเป็นภาพนูนต่ำ เป็นนางอัปสรกำลังร่ายรำ (พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจามเมืองดานัง, 2551)

ภาพที่ 1 ศิลปะแบบจ่าเกี่ยว
จากภาพที่ 1 จะเห็นได้ว่า นางอัปสรามีความสำคัญมากต่อศิลปะในยุคจามปามาก ซึ่งนางอัปสรา มีประวัติเรื่องราวอยู่ว่า นางเกิดมาจากการกวนเกษียรสมุทรตามคัมภีร์วิษณุปุราณะมีนาม อื่น ๆ อันได้แก่ สุรสุนทรี วิทยาธรี สุรางคนาง (เมียเทวดาทั่วไป) สมุทาตมชา (สตรีผู้เต็มไปด้วยความมัวเมาหรือในความเพลิดเพลิน) นางอัปสราเป็นเทพฝ่ายสตรีชั้นล่าง เป็นสตรีที่มีความงดงาม ประดับประดาด้วยเครื่องทรงที่วิจิตร แต่ไม่มีเทวดาหรืออสูรตนรับเป็นคู่ครอง พวกนางจึงทำหน้าที่สร้างความรื่นรมย์บนสวรรค์ ขับกล่อมดนตรีและบำเรอกามแก่เทวดาทั้งหลาย นอกจากความงามที่ชายใดได้พบจนคลั่งไคล้แล้ว ในคัมภีร์อถรรพเวทยังมีมนต์แก้การลุ่มหลงมัวเมาในการพนันอันเกิดจากนางอัปสราอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่านางอัปสราเป็นเทพที่มีความงดงามมาก แต่กลับมีชื่อเสียงแงลบว่าความลุ่มหลงมัวเมาต่างล้วนเกิดจากมนตราของนางอัปสราทั้งสิ้น (พลอยชมพู ปุณณวานิชศิริ, 2556)
เป็นไปได้หรือไม่ว่าด้วยอัตลักษณ์ท่าร่ายรำของนางอัปสราที่ปรากฏอยู่บนภาพจำหลักของฐานโยนี หรือตามสถาปัตยกรรม อื่น ๆ ในเวียดนามก็ตามทำให้เกิดแนวคิด การเลียนแบบชุดการแสดง ที่เกี่ยวข้องกับนางอัปสราขึ้นเรียกว่า ระบำนางอัปสรา
เครือจิต ศรีบุญนาค และคณะ (2553) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการผสมผสานทางวัฒนธรรม และได้ศึกษาพบระบำอัปสรา ในเวียดนามใต้ และพบระบำอัปสราจาม ที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นงานสร้างสรรค์ที่นำวัฒนธรรมเดิมผ่านระบบคิดสร้างวัฒนธรรมให้มีชีวิต เช่น ระบำอัปสราของกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบสถาปัตยกรรมขอมโบราณที่เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบการศึกษา มีการพลิกฟื้นวัฒนธรรมความเชื่อเดิมให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น เพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนมีผลต่อด้านเศรษฐกิจ การปกครอง และวัฒนธรรม ที่นำภาพศิลาจำหลักนางอัปสราของจามโบราณ มาประดิษฐ์เป็นลักษณะการแสดงเฉพาะ เรียกว่า
“นาฏยลักษณ์”
เปรียบเทียบท่ารำจากภาพศิลาจำหลักนางอัปสรา กับท่ารำระบำอัปสรา

ภาพที่ 2 ท่ารำ มือซ้ายไปทางขวาของลำตัว มือขวาหักข้อศอก งอเข่าย่อตัวลงของนางอัปสราที่พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจามนครดานัง และท่ารำตัวเอกในระบำนางอัปสราที่เวทีการแสดงของก่อนเข้าชมปราสาทหินหมี่เซิน

ภาพที่ 3 ท่ารำ เรียงตัวซ้อนกัน ยกแขน งอศอกของนางอัปสราที่พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจามนครดานัง และท่ารำตัวเอกในระบำนางอัปสราที่เวทีการแสดงของก่อนเข้าชมปราสาทหินหมี่เซิน

ภาพที่ 4 ท่ารำงอแขนขวาไปด้านหลัง ยกแขนซ้ายงอศอกไปด้านหน้าของนางอัปสราที่พิพิธภัณฑ์ ประติมากรรมจามนครดานัง และท่ารำตัวเอกในระบำนางอัปสราที่เวทีการแสดงของก่อนเข้าชม ปราสาทหินหมี่เซิน

ภาพที่ 5 ท่ารำ งอเข่า งอศอกจีบมือขวา ของนางอัปสราที่พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจามนครดานัง
และท่ารำตัวเอกในระบำนางอัปสราที่เวทีการแสดงของก่อนเข้าชมปราสาทหินหมี่เซิน
จะเห็นได้ว่าท่ารำ ในระบำนางอัปสราส่วนใหญ่มีการ ประดิษฐ์เป็นลักษณะการแสดงเฉพาะ คือ นาฏนาฏยลักษณ์ โดยลอกเลียนแบบจากภาพศิลาจำหลักของนางอัปสราที่พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจามนครดานัง แล้วนำมาประดิษฐ์เป็นชุดการแสดงระบำนางอัปสรา ที่เวทีการแสดงก่อนถึงปราสาทหินหมี่ ที่เมืองมรดกโลกโฮยอาน ดังปรากฏดังภาพที่ 2 - ภาพที่ 5 และทำนองเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงมีทำนองคล้าย บทสวดสรภัญญ์ของไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา คือ จังหวะของเพลงมีระดับปานกลาง ไม่ช้าและเร็วจนเกินไป เช่น “อัปสรา อัปสรา” และ “มาลา ดวงดอกไม้ ขอตั้งไว้ เพื่อบูชา” ซึ่งได้สอดคล้องกับแนวคิดของ มานะ ชัยวงศ์โรจน์ (2548) ที่เกี่ยวกับการร่ายรำในศาสนา กล่าวว่า พิธีการร่ายรำในศาสนาฮินดูเป็นการบอกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเทพเจ้าผู้ร่ายรำจะแสดงท่ารำต่าง ๆ เรียกว่า มุดราสเพื่อสื่อความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง บทเพลงและการร่ายรำหลาย ๆ ศาสนามีคำสอนว่า การแสดงความสักการบูชาที่ดีที่สุด คือ การที่ให้คนได้แสดงออกอย่างเต็มที่ทั้งทางร่างกาย และจิตวิญญาณ สิ่งนี้จึงนำไปสู่การประพันธ์และบรรเลงเพลง รวมทั้งการร่ายรำต่าง ๆ ทางศาสนา และการแสดงระบำอัปสรานี้ก็ได้ปรากฏในการแสดงของเขมรเช่นกัน โดยการแสดงระบำนางอัปสราของเขมร จะมีท่วงท่า และลักษณะการเคลื่อนไหวคล้ายกับการเคลื่อนไหวของนาคมาเป็นท่วงท่าการรำของ ตัวนางที่มีความอ่อนโยน ทั้งลีลาการใช้แขน มือขา และเท้า เอว สะโพก ลำคอ ใบหน้า สายตา และศีรษะ โดยทุกส่วนของร่างกายกระชับ และกลมกลืนกัน มีการเคลื่อนไหวทั้งท่วงท่าช้า ท่วงท่าเร็ว ให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาท่า (เครือจิต ศรีบุญนาค และคณะ, 2553)ซึ่งการแสดงระบำนางอัปสราของเวียดนามก็มีท่วงทาลีลาคล้ายกับนาคเลื้อยของเขมรเช่นกัน ซึ่งก็สอดคล้องกับ กลุ่มละครมะขามป้อม (2548) ที่ได้กล่าวไว้ในเนื้อหาของเอกสารประกอบการแสดงทางวัฒนธรรมครั้งที่ 22 ว่านาคของเขมรน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับศิลาจารึกภาษาสันสกฤตของอาณาจักรจามปาที่พบในเวียดนาม
สรุป
นางอัสราเป็นเทพฝ่ายสตรีที่มีรูปร่างงดงามมาก ซึ่งคอยปรนนิบัติบำเรอเหล่าเทพเทวดาบนสวรรค์ และมีท่าร่ายรำที่สวยงามปรากฏตามศิลาจำหลักของประติมากรรมจามโบราณ จึงเป็นที่มาของระบำนาง อัปสราของเวียดนาม ซึ่งเป็นลักษณะของ นาฏยลักษณ์ คือ การประดิษฐ์ท่าตามภาพศิลาจำหลัก จากประติมากรรมจามโบราณ ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางไปชมการแสดงของก่อนเข้าชมปราสาทหินหมี่เซินเป็นอย่างมาก การแสดงระบำนางอัปสราที่เวียดนามมีภาพสะท้อนอยู่ 3 ด้านได้แก่ 1) ด้านศาสนา ระบำนางอัปสรามีท่ารำที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียเพื่อบูชาเทพเจ้า ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมโดยตรง 2) ด้านศิลปะและวัฒนธรรม ระบำนางอัปสราได้ชุบชีวิตศิลปะ ให้ออกมาร่ายรำต่อสายตาชาวโลกเป็นการประดิษฐ์คิดสร้างวัฒนธรรมไม่ให้คนหลงลืมได้เป็นอย่างดี และ3) ด้านวิถีชีวิตและเศรษฐกิจ ระบำนาง อัปสราสามารถสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ชาวบ้าน ต่างก็มีรายได้จากการบริการนักท่องทั้งสิ้น จากเรื่องราวที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปัจจุบันนางอัปสราได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ แล้วใช่ไหม นางกลับมาเพื่อต้องการเล้าโลมจิตใจเหล่ายอดชายในโลกไห้รุ่มหลงอีกครั้งจริงหรือ หรือว่านางกลับมาเพื่อจุดประสงค์ใด หลังจากที่นางได้หลับใหลไปจากเมืองมนุษย์กว่าพันปี
อ้างอิง
กลุ่มละครมะขามป้อม. (2548). เอกสารประกอบการแสดงทางวัฒนธรรมครั้งที่ 22 . ณ หอประชุมศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
เครือจิต ศรีบุญนาค และคณะ. (2553). การผสมผสานทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาศิลปะการแสดงที่พัฒนาจากภาพศิลาจำหลักสถาปัตยกรรมขอมโบราณในประเทศไทยและกัมพูชา. ทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม.คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์: มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร
พลอยชมพู ปุณณวานิชศิริ. (2556). ลวดลายผ้านุ่งนางอัปสราที่ปราสาทนครวัด: ที่มาและรูปแบบ. วิทยานิพนธ์. สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม เมืองดานัง. (2551). https://shorturl.asia/iBjdL สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558
สุรสวัสดิ์สุขสวัสดิ์.(2543). เวียดนามสองรส.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สายธาร.
Comments