top of page

สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน: การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรม

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย อาจารย์ ดร.ลัดดาวัลย์ สีพาชัย

การที่จะจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมองสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบนนั้น ย่อมมีปัจจัยหลายอย่างแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทพื้นที่ของแหล่งเรียนรู้ คุณค่าของแหล่งเรียนรู้ คนในชุมชน และหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งเรียนรู้
1. บทคัดย่อ

บทความวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน เพื่อศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน และเพื่อศึกษาการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน เป็นการวิจัยแบบผสมผสานทั้งคุณภาพและปริมาณ โดยศึกษาข้อมูลทั้งจากเอกสารและจากการ ลงพื้นที่สัมภาษณ์กลุ่มผู้รู้ ผู้ปฏิบัติ และกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์โดยใช้กรอบการวิเคราะห์ตามทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ในเชิงพรรณนาวิเคราะห์

ผลการศึกษา พบว่า ศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (=3.07) เมื่อพิจารณารายด้าน อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน (=3.39) รองลงมา ได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อม (=3.27) ด้านข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว (=3.26) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (= 2.97) ด้านความสะดวกในการเข้าถึง (=2.90) และด้านที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว (=2.60)

การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า 1. ด้านการประชาสัมพันธ์ได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ด้วยเฟสบุคของทางวัด และจากเว็บไซต์ของแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ 2. ด้านการจัดทำฐานข้อมูล วัดยังไม่มีการจัดทำฐานข้อมูล แต่หน่วยงานของภาครัฐ คือ กรมศิลปากรและสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดทำไว้ 3. ด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน มีชาวบ้านและทางวัดได้อนุรักษ์สิมไว้ ส่วนการฟื้นฟูและปรับปรุงเป็นหน้าที่ของกรมศิลปากร 4. ด้านการปรับภูมิทัศน์เชิงวัฒนธรรม เป็นไปตามสภาพแวดล้อมของวัดซึ่งไม่ได้ปรับตกแต่งให้ส่วนใดส่วนหนึ่งภายในวัดมีความแตกต่างกัน และ5. ด้านการจัดการแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม นักท่องเที่ยว หรือผู้สนใจศึกษาสิมสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ตลอดเวลาด้วยตนเอง เพราะยังไม่มีการจัดการความรู้แหล่งเรียนรู้สิมพื้นอีสานอย่างเป็นระบบ

คำสำคัญ: สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน, การจัดการความรู้, มรดกทางวัฒนธรรม

บทนำ

ภาคอีสานในปัจจุบันมีทั้งหมด 20 จังหวัด แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ อีสานเหนือ อีสานกลาง และอีสานใต้ โดยภาคอีสาน มีเนื้อที่ 1 ใน 3 ของประเทศ ประกอบด้วย กลุ่มคนหลายชาติพันธุ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าลักษณะบางส่วนของภาคอีสาน ติดกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นส่วนใหญ่ (สุจิตต์ วงเทศ, 2543) จากลักษณะความหลากหลายของกลุ่มวัฒนธรรมชุมชนอีสานดังกล่าว ส่งผลให้ลักษณะของภาษา อาชีพ ความเชื่อ ศาสนา และประเพณีหลากหลายตามไปด้วย จนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมขึ้น มรดกทางวัฒนธรรม คือ สถานที่ซึ่งเป็นโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม หรือแหล่งโบราณคดีทางธรรมชาติ เป็นต้น (วชิรญา ตติยนันทกุล, 2557) ปัจจุบันบริเวณที่ตั้งทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญทางโบราณสถาน และศาสนสถานของแต่ละสมัย ในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยม จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ที่ทรงคุณค่ายิ่งในหลาย (ปัณฉัตร หมอยาดี, 2561) และเช่นเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของภาคอีสานก็มีโบราณสถาน และศาสนสถานที่สำคัญดังตัวอย่าง เช่น สิมพื้นถิ่นอีสาน ที่เป็นวัฒนธรรมเฉพาะพื้นถิ่นอีสาน-ลาว เป็นมรดกของบรรพบุรุษสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งคำว่า “สิม” มีความหมายเช่นเดียวกับ “โบสถ์” หรือ “อุโบสถ” โดยสิมมีลักษณะเฉพาะท้องถิ่นอีสานแตกต่างจากสถาปัตยกรรมภาคกลาง สิมพบมากที่ภาคอีสานตอนบน มีจุดประสงค์เพื่อใช้ประชุมทำสังฆกรรม รูปแบบสิม ประกอบไปด้วย สิมน้ำและสิมบก วสันต์ ยอดอิ่ม (2545) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องสิมพื้นถิ่นในเขตภาคอีสานตอนบน จากการสัมภาษณ์ผู้รู้ในชุมชน จึงทำให้ทราบข้อมูลสิมในอีสานตอนบน ทั้งหมด 7 จังหวัดว่ามีจำนวน 40 หลัง ได้แก่ จังหวัดเลย 3 หลัง หนองบัวลำภู 3 หลัง อุดรธานี 4 หลัง หนองคาย 6 หลัง สกลนคร 7 หลัง นครพนม 9 หลัง และมุกดาหาร 8 หลัง สิมเหล่านี้ ล้วนแล้วมีอายุตั้งแต่ 348-50 ปี ซึ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์ และเผยแพร่ให้ประชาชนได้ไปท่องเที่ยว และศึกษาเป็นอย่างมาก ก่อนที่สิมพื้นถิ่นเหล่านี้ จะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ในอีกมุมหนึ่งของการท่องเที่ยวนั้น นอกจากผลกระทบในด้านบวกแล้ว ก็ยังมีผลกระทบด้านลบด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างนักท่องเที่ยวและคนในชุมชนด้วยเช่นกัน ได้แก่ 1) คนในชุมชนอาจเลียนแบบพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจนเกิดความฟุ่มเฟือย 2) เกิดสถานบันเทิงหลากหลาย และทำให้เกิดการแฝงการขายบริการทางเพศ 3) ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีหรือมิจฉาชีพ แฝงตัวเข้าไปในชุมชนแหล่งท่องเที่ยว ทำให้ชาวบ้านหวาดระแวง และ 4) การนำวัฒนธรรมท้องถิ่นมาหลอกลวงนักท่องเที่ยว ให้หลงเชื่อว่าเป็นของจริง แต่แท้จริงแล้วเป็นการประดิษฐ์สร้างขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยเห็นว่า ควรสนับสนุนให้คนในชุมชนท้องถิ่น มีการจัดการความรู้ทางวัฒนธรรมที่ดี ให้สามารถรักษาอัตลักษณ์ความเป็นชุมชนท้องถิ่นของตนเอาไว้ ไม่ใช่ประดิษฐ์วัฒนธรรมเพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว โดยการใช้วิธีการพัฒนา เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย แต่ต้องรักษาคุณค่าและความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชุมชนท้องถิ่นไว้ให้ได้ เป็นต้น

จากผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดจากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าว จึงทำให้หน่วยงานภาครัฐตระหนักเห็นความสำคัญ และได้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นบรรจุไว้ในแผน และนโยบายของชาติ และมีผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการ การประยุกต์ และการพัฒนา และมีส่วนน้อยที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับด้าน “การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรม” ที่มาช่วยเป็นแนวทาง ในการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน ซึ่งการจัดการความรู้ คือ การจัดการที่ให้มีการค้นพบความรู้ ความชำนาญที่ซ้อนเร้นอยู่ในตัวคน เพื่อหาทางนำความรู้นั้นออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปรับปรุงให้ง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์ รวมทั้ง ต้องมีการปรับปรุงความรู้ให้ทันสมัยเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรนั้นอยู่เสมอ (ประเวศ วะสี, 2548) การจัดการความรู้จึงมีประโยชน์ในด้าน ฟื้นฟูความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่เดิม สกัดความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคลและกลุ่มคน มีแนวทางในการใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมจากภายนอก สร้างความรู้ใหม่จากประสบการณ์ของบุคคล กลุ่มชุมชนท้องถิ่น และความรู้ยังได้ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันความรู้สูญหาย เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ และพัฒนาความสามารถของคนในองค์กรได้ (ปาริชาติ วลัยเสถียร, 2549)

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้วิจัยสนใจศึกษา สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน ในจังหวัดนครพนมโดยเลือกเจาะจงเฉพาะสิมที่มีฮูปแต้มเท่านั้น จำนวน 3 หลัง ได้แก่ 1. วัดหัวเวียงรังษี 2. วัดพุทธสีมา 3. วัดโพธิ์คำ ปัจจัยที่ผู้วิจัยเลือกสิมที่มีเฉพาะฮูปแต้มในเบื้องต้นนี้ ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ผู้รู้ที่ให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบนแล้ว ท่านให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ความสำคัญและความน่าสนใจของสิมนั้น จะอยู่ที่จิตกรรมฝาหนังหรือฮูปแต้ม เพราะฮูปแต้มนั้น มักเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิต วรรณกรรม นิทาน เป็นต้น และสาเหตุที่ผู้วิจัยเลือกศึกษาสิมที่มีฮูปแต้ม จำนวน 3 หลัง ได้แก่ 1. วัดหัวเวียงรังษี 2. วัดพุทธสีมา 3. วัดโพธิ์คำทั้งนี้เป็นเพราะว่า มีสาเหตุของข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว ได้แก่ ข้อจำกัดด้านพื้นที่ ข้อจำกัดทางด้านบริการสาธารณูปโภค การดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ความเป็นที่รู้จักของแหล่งท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจากการลงสนามของผู้วิจัยในเบื้องต้นยังไม่พบการจัดการความรู้และศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบวิจัยหรือโครงการที่ส่งผลให้ไร้วี่แววผู้จัดการความรู้ที่ชัดเจน โดยเฉพาะสิมพื้นถิ่นอีสาน ที่ไม่มีการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ และไม่สามารถนำความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์ได้ง่าย และเป็นรูปธรรม อาจจะส่งผลระยะยาวทำให้คนในท้องถิ่นอีสาน ขาดความรู้สึกหวงแหนถึงสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของตน และหลงเดินตามการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกภิวัฒน์ อย่างลืมตัวไปในที่สุด

ผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษางานวิจัยเรื่อง สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน: การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรม เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน เพื่อศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน และเพื่อศึกษาการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน เมื่อมรดกทางวัฒนธรรมในอีสาน ได้มีการจัดการความรู้เรียบร้อยแล้ว ก็จะทำให้ความรู้ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของบรรพบุรุษนั้นยังคงอยู่ ไม่ดับสลายไปตามอายุไขเจ้าของภูมิปัญญา ถือได้ว่าความรู้ คือ สมบัติของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ หากไม่มีการจัดการความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้จากภูมิปัญญาที่เปรียบดั่งสมบัติอันล้ำค่านั้นอาจจะไม่มีคุณค่าอีกต่อไป

2. วัตถุประสงค์

2.1 เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันที่มีอิทธิพลต่อสิมวัดหัวเวียงรังษี วัดพุทธสีมา และวัดโพธิ์คำ

2.2 เพื่อศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมวัดหัวเวียงรังษี วัดพุทธสีมา และวัดโพธิ์คำ

2.3 เพื่อศึกษาการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมวัดหัวเวียงรังษี วัดพุทธสีมา และวัดโพธิ์คำ

3. วิธีดำเนินการศึกษาวิจัย

การศึกษาวิจัยเรื่อง สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน: การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรม เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ทั้งคุณภาพและปริมาณ ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้

1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

1.1 ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีจำนวน 1,500 คน คือ ชาวบ้านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิมพื้นถิ่นอีสาน จำนวน 3 หมู่บ้าน ได้แก่ ชาวบ้าน บ้านธาตุพนม วัดหัวเวียงรังษี จำนวน 500 คน บ้านฝั่งแดง วัดพุทธสีมา จำนวน 500 คน และบ้านน้ำก่ำ วัดโพธิ์คำ จำนวน 500 คน รวมทั้งหมด 1,500 คน

1.2 กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีจำนวน 306 คน คือ ชาวบ้านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิมพื้นถิ่นอีสาน จำนวน 306 คน กำหนดจำนวนตัวอย่าง โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie & Morgan และใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ได้แก่ การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เป็นชาวบ้าน บ้านธาตุพนม วัดหัวเวียงรังษี จำนวน 100 คน บ้านฝั่งแดง วัดพุทธสีมา จำนวน 100 คน และบ้านน้ำก่ำ วัดโพธิ์คำ จำนวน 106 คน รวมทั้งหมด 306 คน

2. ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้อ้างผลการวิจัย ได้แก่ องค์ความรู้ด้านสังคม และวัฒนธรรมของอีสาน องค์ความรู้เกี่ยวกับ การจัดการความรู้ ศักยภาพการท่องเที่ยว มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน และแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

3. ศึกษารวบรวมข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

3.1 วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เป็นแบบสอบถามเพื่อสอบถามความคิดเห็นศักยภาพการท่องเที่ยวของ สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน

3.2 วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ

3.2.1 ใช้แบบสังเกตชนิดไม่มีส่วนร่วม โดยสังเกตสภาพสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการจัดการความรู้สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน ด้วยวิธีการบันทึกภาพบันทึกเสียง และการจดบันทึก

3.2.2 ใช้แบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง เป็นแบบสัมภาษณ์เป็นทางการ เกี่ยวกับข้อมูลการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน เครื่องมือนี้ใช้กับ กลุ่มผู้ปฏิบัติ และกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง

3.2.3 ใช้แบบสัมภาษณ์ชนิดไม่มีโครงสร้าง สำหรับการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกไม่จำกัดคำตอบ

3.2.4. ใช้การสนทนากลุ่ม เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นการตรวจสอบประเด็นข้อมูลภาคสนาม ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถศึกษาสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน: การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรม ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง

4. การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลข้อมูล โดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ถอดเทป และใช้วิธีการแปลความ ตีความ ใช้เทคนิคการตรวจสอบแบบสามเส้า และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์

5. ผลการวิจัย

จากการศึกษาวิจัยเรื่อง สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน: การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรม ทำให้ทราบผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ที่ศึกษา ดังนี้

1. สภาพปัจจุบันของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า

สภาพปัจจุบันของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบนในจังหวัดนครพนม จำนวน 3 แห่ง คือ 1. วัดหัวเวียงรังษี ตั้งอยู่เลขที่ 886 บ้านธาตุพนม ถนนนพนมพนารักษ์ หมู่ที่ 2 ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม 2. วัดพุทธสีมา ตั้งอยู่เลขที่ 137 บ้านฝั่งแดง ถนนเรืองศรี หมูที่ 2 ตำบลฝั่งแดง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และ 3. วัดโพธิ์ บ้านน้ำก่ำ ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พบว่า พื้นที่ทั้ง 3 แห่งนี้ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาร่วมกัน และจากการศึกษาเอกสารหมู่บ้านทั้ง 3 แห่ง ผู้วิจัยได้ใช้กรอบการศึกษาอยู่ 7 ด้าน พบว่า

ในด้านประวัติความเป็นมาของชุมชน โดยชุมชนทั้ง 3 แห่ง ตั้งอยู่ในอำเภอธาตุพนม ล้วนแล้วต่างมีความเป็นมาแตกต่างกันไป ได้แก่ บ้านธาตุพนม ด้านการตั้งบ้านธาตุพนม สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. 2457 ส่วนบ้านฝั่งแดง การตั้งหมู่บ้านเพราะอพยพหนีโรคฝีดาษ และบ้านน้ำก่ำ การตั้งหมู่บ้านเพราะมาจากการผูกตำนานผาแดงนางไอ่ ด้านการอพยพย้ายถิ่น พบว่า ชาวบ้านได้อพยพมาจากประเทศลาวและได้ตั้งชุมชนเกิดขึ้นบริเวณที่เป็นทางน้ำไหลผ่าน ด้านลักษณะการตั้งถิ่นฐาน พบว่า มีการตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่สูงติดลำน้ำ ได้แก่ แม่น้ำโขง และน้ำก่ำ ด้านประชากร ในตำบลมีอาชีพหลัก คือ ทำนา ห่างจาก อำเภอธาตุพนม ประมาณ 6 กิโลเมตร ชาวบ้านทั้ง 3 หมู่บ้านต่างให้ความสำคัญต่อศาสนาจึงได้มีการสร้างวัดเพราะไว้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และได้สร้างโบถ์หรือสิมขึ้น ซึ่งสิมมีความสำคัญต่อพุทธศาสนา เพราะเป็นที่ทำสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์ มีฮูปแต้มและพุทธประวัตินรก ทศชาติ และสินไซ เป็นสื่อในการสืบทอดศาสนาอย่างยั่งยืน อาคารสิมมีบทบาท คือ เป็นที่ทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ ส่วนในปัจจุบันนี้ สิมมีหน้าเป็นแหล่งศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ด้านวรรณกรรมทางพุทธศาสนา และวรรณคดีไทย สิมมีคติความเชื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประเภทของสิมเป็นสิมบก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมของสิมเป็นชนิดสิมทึบ

ภาพที่ 1 สิมวัดหัวเวียงรังษี

ภาพที่ 2 สิมวัดพุทธสีมา

ภาพที่ 3 สิมวัดโพธิ์คำ


2. ศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า

จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 306 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 63.7) มีอายุอยู่ระหว่าง 41-60 ปี (ร้อยละ 76.3) ระดับการศึกษาชั้นประถมศึกษา (ร้อยละ 79.7) และประกอบอาชีพเกษตรกร/องค์กรเกษตรกร (ร้อยละ 82.0)

จากผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบนโดยรวมและรายด้านทั้ง 6 ด้าน คือ 1) ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว 2) ด้านความสะดวกในการเข้าถึง 3) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก 4) ด้านสภาพแวดล้อม 5) ด้านข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว และ 6) ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้าน อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน รองลงมาได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อม ด้านข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านความสะดวกในการเข้าถึง และด้านที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ผลการวิเคราะห์ดังปรากฏดัง ภาพที่ 4

ภาพที่ 4 ผลวิเคราะห์ศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน


เมื่อพิจารณาความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน ในแต่ละด้านทั้ง 6 ด้าน พบว่า

ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ อยู่ในระดับปานกลางและน้อย โดยข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ สิมพื้นถิ่นอีสานมีคุณค่าและสวยงาม รองลงมา ได้แก่ สิมพื้นถิ่นอีสานมีคุณค่าต่อจิตใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยว สิมพื้นถิ่นอีสานมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ชุมชน สภาพแวดล้อมและบรรยากาศสิมพื้นถิ่นอีสานร่มรื่น และข้อที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ สิมพื้นถิ่นอีสานมีลักษณะโดดเด่น ต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่น

ด้านความสะดวกในการเข้าถึง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ อยู่ในระดับปานกลางทุกข้อ โดยข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ ถนนสาธารณะเข้าถึงสิมพื้นถิ่นอีสานหลายเส้นทาง รองลงมา ได้แก่ มีรถโดยสารผ่านสิมพื้นถิ่นอีสานตลอดเวลา การเดินทางไปเที่ยวชมสิมพื้นถิ่นอีสานมีความสะดวก และข้อที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ สถานที่ตั้งสิมพื้นถิ่นอีสานอยู่ใกล้ตัวเมือง

ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้ออยู่ในระดับปานกลางทุกข้อ โดยข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ มีเจ้าหน้าที่ให้ติดต่อสอบถามตลอดเวลา รองลงมา ได้แก่ มีความสะดวกในระบบไฟฟ้า และประปาในพื้นที่ของสิมพื้นถิ่นอีสาน มีการรักษาความปลอดภัยในขณะที่ชมสิมพื้นถิ่นอีสาน และข้อที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ มีที่พักรับรองนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมสิมพื้นถิ่นอีสาน

ด้านสภาพแวดล้อม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ อยู่ในระดับปานกลางทุกข้อ โดยข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ บริเวณสิมพื้นถิ่นอีสานมีความสะอาดและน่าอยู่ รองลงมา ได้แก่ บริเวณสิมพื้นถิ่นอีสานมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ สิมพื้นถิ่นอีสานอยู่ในสถานที่ ที่มีความเหมาะสม และข้อที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ บริเวณสิมพื้นถิ่นอีสานมีอากาศบริสุทธิ์และไม่มีมลพิษ

ด้านข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ อยู่ในระดับปานกลางทุกข้อ โดยข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ สิมพื้นถิ่นอีสานมีพื้นที่เพียงพอในการรองรับนักท่องเที่ยว รองลงมา ได้แก่ บริเวณสิมพื้นถิ่นอีสานมียามรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาชมสิม บริเวณสิมพื้นถิ่นอีสานมีที่พักอาศัยเพียงพอต่อนักท่องเที่ยว และข้อที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ บริเวณพื้นถิ่นอีสานมีอาหารและเครื่องดื่มเพียงต่อนักท่องเที่ยว

ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ อยู่ในระดับปานกลางและมาก โดยข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ สิมพื้นถิ่นอีสานเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมทุกปี รองลงมา คือ สิมพื้นถิ่นอีสานเป็นที่ยอมรับในด้านแหล่งความรู้สำหรับบุคคลทั่วไป และข้อที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบนเป็นสิมที่มีชื่อเสียง

3. การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า

การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน จำนวน 3 แห่ง คือ สิมวัดหัวเวียงรังษี สิมวัดพุทธสีมา และสิมวัดโพธิ์คำ มีการจัดการความรู้ในลักษณะที่เหมือนกัน พบว่า

ด้านการประชาสัมพันธ์ มีการประชาสัมพันธ์สิมพื้นถิ่นอีสาน ผ่านเว็บไซต์สถานศึกษา เว็บไซต์กรมศิลปากรเว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ YouTube เฟสบุคของวัด และผ่านงานประเพณี เช่น บุญกฐิน ผู้วิจัยมีความเห็นว่านอกจากการประชาสัมพันธ์วัดผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ควรมีการรวบรวมเรียบเรียงข้อมูลของวัดเป็นตำราเอกสารเผยแพร่อีกช่องทาง

ด้านการจัดทำฐานข้อมูล วัดไม่มีการจัดทำฐานข้อมูลของวัดโดยแต่เป็นฐานข้อมูลของสถานศึกษาสร้างขึ้นเผยแพร่ข้อมูล และฐานข้อมูลกรมศิลปากร ผู้วิจัยเห็นว่า เหตุผลที่วัดไม่จัดทำฐานข้อมูลอาจเป็นเพราะทางวัดไม่มีผู้ทีสนใจในเรื่องการรวบรวมองค์ความรู้ที่สำคัญในวัดผ่านสื่อออนไลน์ และไม่มีผู้ที่มีความรู้ในด้านการจัดทำฐานข้อมูลและหากเมื่อวัดมีฐานข้อมูลเกิดขึ้นแล้วอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่เก็บฐานข้อมูลทำให้เกิดความยุ่งยาก ดังนั้นเพื่อให้วัดมีชื่อเสียงวัดควรมีฐานข้อมูลเป็นของวัดเอง กรมศิลปกรอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนชาวบ้านให้จัดทำฐานข้อมูลต่อไป

ด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน สิมอีสานทั้ง 3 แห่งอยู่ในการดูแล อนุรักษ์ และฟื้นฟูของกรมศิลปากร พร้อมทั้งมีพระและชาวบ้านในชุมชนร่วมกันดูแลแลรักษา ผู้วิจัยเห็นว่า การอนุรักษ์สิมต้องให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมนำเสนอภูมิปัญญาเกี่ยวกับสิมให้แก่ผู้ที่ไปศึกษาเยี่ยมชม เมื่อชาวบ้านเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งในการกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิมแล้ว ชาวบ้านก็จะให้ความสำคัญและดูแลสิมอย่างจริงจัง

ด้านการปรับภูมิทัศน์เชิงวัฒนธรรม และการ ขึ้นอยู่กับภาพรวมของวัดขึ้นที่มีความพร้อมในการปรับภูมิทัศน์ต่างกันไปของแต่ละจุดภายในวัด ซึ่งทางวัดไม่ได้มุ่งเน้นเพียงบริเวณรอบสิมอีสานโดยตรงเพียงจุดเดียวเท่านั้น ผู้วิจัยเห็นว่าควรมีการจัดสวนย่อมบริเวณรอบสิม เพื่อให้เกิดความสวยงาม และมีสถานที่นั่งข้างบริเวณสิมเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมสิมได้อย่างสะดวกสบาย

ด้านการจัดการแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ในการเข้าชมสิมอีสานนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปศึกษาด้วยตนเองตามความสะดวก ไม่ได้มีการจัดการเข้าเยี่ยมชมสิมอย่างเป็นระบบ ผู้วิจัยเห็นว่า ควรมีการจัดการแหล่งเรียนรู้โดยการจัดทำหนังสือภาพ โปสเตอร์ หนังสือ หรืออาจเป็นเพจฮูปแต้มสิม โดยการอาศัยเทคโนโลยีด้วยก็ยิ่งจะเพิ่มมูลค่าให้กับแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมด้วย


ภาพที่ 5 แนวทางการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน

6. สรุปผล

จากการศึกษาวิจัยเรื่อง สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน: การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรม สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้

จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชน 3 แห่ง คือ 1. วัดหัวเวียงรังษี 2. วัดพุทธสีมา และ 3. วัดโพธิ์ ตั้งอยู่ในอำเภอธาตุพนม ล้วนแล้วต่างมีความเป็นมาแตกต่างกันไป แต่เรื่องที่เหมือนกัน คือ ชาวบ้านทั้ง 3 หมู่บ้านต่างให้ความสำคัญต่อศาสนาจึงได้มีการสร้างวัดเพราะไว้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และได้สร้างโบถ์หรือสิมขึ้น ซึ่งสิมมีความสำคัญต่อพุทธศาสนา เพราะเป็นที่ทำสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์ มีฮูปแต้มและพุทธประวัตินรก ทศชาติ และสินไซ เป็นสื่อในการสืบทอดศาสนาอย่างยั่งยืน และเมื่อศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (=3.07) เมื่อพิจารณารายด้าน อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน (=3.39) รองลงมา ได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อม (=3.27) ด้านข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว (=3.26) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (= 2.97) ด้านความสะดวกในการเข้าถึง (=2.90) และด้านที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว (=2.60)

ในด้านการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า 1. ด้านการประชาสัมพันธ์ได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ด้วยเฟสบุคของทางวัด และจากเว็บไซต์ของแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ 2. ด้านการจัดทำฐานข้อมูล วัดยังไม่มีการจัดทำฐานข้อมูล แต่หน่วยงานของภาครัฐ คือ กรมศิลปากรและสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดทำไว้ 3. ด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน มีชาวบ้านและทางวัดได้อนุรักษ์สิมไว้ ส่วนการฟื้นฟูและปรับปรุงเป็นหน้าที่ของกรมศิลปากร 4. ด้านการปรับภูมิทัศน์เชิงวัฒนธรรม เป็นไปตามสภาพแวดล้อมของวัดซึ่งไม่ได้ปรับตกแต่งให้ส่วนใดส่วนหนึ่งภายในวัดมีความแตกต่างกัน และ5. ด้านการจัดการแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม นักท่องเที่ยว หรือผู้สนใจศึกษาสิมสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ตลอดเวลาด้วยตนเอง เพราะยังไม่มีการจัดการความรู้แหล่งเรียนรู้สิมพื้นอีสานอย่างเป็นระบบ

7. อภิปรายผล

การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน อภิปรายผลได้ว่า

1. สภาพปัจจุบันของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า ชุมชนทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ บ้านธาตุพนม บ้านฝั่งแดง และบ้านน้ำก่ำ ตั้งอยู่ในอำเภอธาตุพนม ล้วนแล้วต่างมีความเป็นมาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการเมืองการปกครอง โรคภัยไข้เจ็บ และความเชื่อเรื่องตำนานนิทานพื้นถิ่น ชาวบ้านบางส่วนได้อพยพย้ายถิ่นมาจากประเทศลาวโดยมาอาศัยอยู่บริเวณที่มีแหล่งน้ำเพื่อทำการเกษตรได้สดวก ชาวบ้านทั้ง 3 หมู่บ้านต่างให้ความสำคัญต่อศาสนาได้สร้างโบถ์หรือสิมขึ้น ซึ่งสิมมีความสำคัญต่อพุทธศาสนา เพราะเป็นที่ทำสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์ มีฮูปแต้มและพุทธประวัตินรก ทศชาติ และสินไซ เป็นสื่อในการสืบทอดศาสนาอย่างยั่งยืน อาคารสิมมีบทบาท คือ เป็นที่ทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ ส่วนในปัจจุบันนี้ สิมมีหน้าเป็นแหล่งศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ด้านวรรณกรรมทางพุทธศาสนา และวรรณคดีไทย เป็นต้น ซึ่งการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในอำเภอธาตุพนมดังกล่าว สอดคล้องกับทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมของ ราล์ฟ ลินตัน นักมานุษยวิทยา ชาวอเมริ กัน โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดจากการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม โดยผ่านการติดต่อสื่อสารระหว่างสังคมที่ต่างวัฒนธรรมและต่างแพร่กระจายวัฒนธรรมไปสู่กนและกัน การเปลี่ยนแปลงทางสังคมส่วนใหญ่เกิดจากการแพร่กระจายของวัฒนธรรมจากภายนอก เข้ามามากกว่าเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นใหม่ขึ้นเองในสังคม (ราล์ฟ ลินตัน, ม.ป.ป. อ้างใน นํ้าเพชร อยู่โต,ม.ป.ป.) การตั้งถิ่นฐานในอำเภอธาตุพนมนี้ทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมากมาย เช่น แหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถาน โดยมีสิมเก่าโบราณเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญในปัจจุบัน

2. ศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสาน พบว่า ศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (=3.07) เมื่อพิจารณารายด้าน อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุดไปหาต่ำสุด ได้แก่ ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน (=3.39) รองลงมาได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อม (=3.27) ด้านข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว(=3.26) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (= 2.97) ด้านความสะดวกในการเข้าถึง (=2.90) และด้านที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือ ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว (=2.60) ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ วีระยา วรพันธุ์ (2553) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เมืองโบราณโนนเมือง บ้านนาโพธิ์ ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และสอดคล้องกับงานวิจัยของ เสกสรรค์ สนวา (2563) การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามวิถีชีวิตของคนในชุมชน พบว่า นักท่องเที่ยวมีความคิดเห็นว่าแหล่งโบราณคดีเมืองโบราณโนนเมือง มีศักยภาพการท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์อยู่ในระดับปานกลาง สาเหตุของผลความพึงพอใจของงานวิจัยอยู่ในระดับปานกลาง ผลปรากฏเช่นนี้สามารถอภิปรายได้ว่า อาจเป็นเพราะด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคเทคโนโลยีทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและง่ายกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก หากสถานที่แห่งใดมีผู้คนสนใจไปเที่ยวชมมากก็จะมีชื่อเสียงตามไปด้วยเช่นกัน แต่ในทางกลับกันหากสถานที่ท่องเที่ยวนั้นไม่มีการบริหารจัดการเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวที่ดีแล้ว ก็สามารถส่งผลในด้านสภาพแวดล้อมที่อาจจะเสื่อมโทรมได้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงอาจทำให้สถานที่ท่องเที่ยวนั้นลดคุณค่าลงไปด้วย

3. การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน พบว่า สิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน จำนวน 3 แห่ง คือ สิมวัดหัวเวียงรังษี สิมวัดพุทธสีมา และสิมวัดโพธิ์คำ มีการจัดการความรู้ในลักษณะที่เหมือนกัน ได้แก่

  • ด้านการประชาสัมพันธ์ มีการประชาสัมพันธ์สิมพื้นถิ่นอีสาน ผ่านเว็บไซต์สถานศึกษา เว็บไซต์กรมศิลปากรเว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ YouTube เฟสบุคของวัด และผ่านงานประเพณี เช่น บุญกฐิน ผู้วิจัยมีความเห็นว่า นอกจากการประชาสัมพันธ์วัดผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ควรมีการรวบรวมเรียบเรียงข้อมูลของวัดเป็นตำราเอกสารเผยแพร่อีกช่องทาง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วงศ์ธีรา สุวรรณิน (2556) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัดในจังหวัดปทุมธานี และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ศิริพร ถาวรวิสิทธิ์ (2564) แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดน่าน พบว่า วัดส่วนใหญ่มีโบสถ์และพระพุทธรูปที่สำคัญ ชุมชนจะจัดประเพณีร่วมกับวัด เช่น ตักบาตร ทำทานและเวียนเทียนในวันสำคัญทางศาสนา พร้อมทั้งการรณรงค์ให้ประชาชนรักษาศีล ฟังเทศน์ ฟังธรรมในวันพระและวันสำคัญทางศาสนา จะเห็นได้ว่าการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวสามารถประชาสัมพันธ์ผ่านการทำบุญประเพณีประจำปีทางพุทธศาสนาด้วยก็ได้

  • ด้านการจัดทำฐานข้อมูล พบว่า วัดไม่มีการจัดทำฐานข้อมูลโดยตรง แต่เป็นฐานข้อมูลของสถานศึกษาสร้างขึ้นเผยแพร่ข้อมูล และฐานข้อมูลกรมศิลปากร ผู้วิจัยเห็นว่า เหตุผลที่วัดไม่จัดทำฐานข้อมูลอาจเป็นเพราะทางวัดไม่มีผู้ทีสนใจในเรื่องการรวบรวมองค์ความรู้ที่สำคัญในวัดผ่านสื่อออนไลน์ และไม่มีผู้ที่มีความรู้ในด้านการจัดทำฐานข้อมูลและหากเมื่อวัดมีฐานข้อมูลเกิดขึ้นแล้วอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่เก็บฐานข้อมูลทำให้เกิดความยุ่งยาก ดังนั้นเพื่อให้วัดมีชื่อเสียงวัดควรมีฐานข้อมูลเป็นของวัดเอง กรมศิลปกรอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนชาวบ้านให้จัดทำฐานข้อมูลต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของกันตภณ แก้วสง่า (2558) ได้ทำวิจัยเรื่อง การจัดการความรู้การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ในแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พบว่า กระบวนการจัดการความรู้ที่ประยุกต์ใช้ สามารถนำมาใช้ในการจัดการความรู้การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ในแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อำเภอพิมาย ได้เป็นอย่างดีในการค้นหาองค์ความรู้ แหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี โดยมีการจัดหมวดหมู่ความรู้ เพื่อพัฒนาฐานข้อมูล และเว็บไซต์ขึ้น เพื่อมีเนื้อหาที่ครอบคลุม ละเอียดชัดเจน และสามารถช่วยในการวางแผนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ในเบื้องต้นได้ ดังนั้น หากวัดมีการจัดทำฐานข้อมูล เพื่อไว้ใช้เก็บข้อมูลของวัดอย่างเป็นระบบแล้ว ก็จะทำให้สามารถค้นหาข้อมูลสำคัญของวัดง่ายตามไปด้วยเช่นกัน

  • ด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน พบว่า สิมพื้นถิ่นอีสานทั้ง 3 แห่ง อยู่ในการดูแล อนุรักษ์ และฟื้นฟูของกรมศิลปากร พร้อมทั้งมีพระสงฆ์และชาวบ้านในชุมชนร่วมกันดูแลแลรักษา ผู้วิจัยเห็นว่า การอนุรักษ์สิมต้องให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมนำเสนอภูมิปัญญาเกี่ยวกับสิมให้แก่ผู้ที่ไปศึกษาเยี่ยมชม เมื่อชาวบ้านเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งในการกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิมแล้ว ชาวบ้านก็จะให้ความสำคัญและดูแลสิมอย่างจริงจัง สอดคล้องกับงานวิจัยของ ไพศาล สรรสรวิสุทธิ์ และคณะ (2557) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดการความรู้ด้านมรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นในจังหวัดอุทัยธานี พบว่า วัฒนธรรมท้องถิ่นมีการดำเนินการด้านการส่งเสริมความรู้ และมีการดำเนินการด้านการอนุรักษ์ความรู้ที่แข้มเข็ง และสอดคล้องกับงานวิจัยของ พลอยภัทรา ตระกูลทองเจริญ (2557) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง ความตระหนักในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วม กรณีศึกษา: หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ เชียงรากน้อย พบว่า ความตระหนักในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมนั้น มีผลมาจากช่วงอายุซึ่งอาจแบ่งได้เป็นกลุ่มคนรุ่นเก่า และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อาจจะให้คุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมของแตกต่างกันออกไปแต่อย่างไรก็ตามควรให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบการอนุรักษ์ชุมชนของเขาจะดีที่สุด

จะเห็นได้ว่ามีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน มีทั้งปัญหาและข้อเสนอแนะแนวทางในการแก้ไข ทั้งนี้การอนุรักษ์โบราณสถานนั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ คนดูแลที่ใกล้ชิดกับโบราณสถานคือ ชาวบ้านนั้นเอง

ดังนั้นการอนุรักษ์โบราณสถานสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบนทั้ง 3 แห่งจึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านในการบริหารจัดการความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน

  • ด้านการจัดการแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ในการเข้าชมสิมอีสานนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปศึกษาด้วยตนเองตามความสะดวก ไม่ได้มีการจัดการเข้าเยี่ยมชมสิมอย่างเป็นระบบ ผู้วิจัยเห็นว่าควรมีการจัดการแหล่งเรียนรู้โดยการจัดทำหนังสือภาพ โปสเตอร์ หนังสือ หรืออาจเป็นเพจฮูปแต้มสิม โดยการอาศัยเทคโนโลยีด้วยก็ยิ่งจะเพิ่มมูลค่าให้กับแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมด้วย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พระครูวาปีจันทคุณ (2560) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง รูปแบบการจัดการความรู้แหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนา ในจังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า การประชาสัมพันธ์แหล่งโบราณคดีในจังหวัดร้อยเอ็ดยังมีน้อยมาก ทั้งนี้เพราะเป็นโบราณคดีที่ไม่มีชื่อเสียงมาก และโดยมาก ไม่ได้จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โบราณคดีแต่ละแห่งขาดการจัดทำฐานข้อมูล แหล่งโบราณคดีในจังหวัดร้อยเอ็ดโดยมาก ไม่มีการปรับภูมิทัศน์ ดังนั้น จึงทำให้ขาดความสวยงามและเหมาะแก่การท่องเที่ยว โบราณสถานเกือบทั้งหมดขาดการจัดแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นิสา พิมพิเศษ (2554) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการจัดการโบราณสถานในจังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่า ปัญหาการจัดการโบราณสถานในพื้นที่ศึกษา มีความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของแหล่งจากการกระทําของมนุษย์ ส่วนแนวทางการจัดการโบราณสถาน ควรจัดตั้งศูนย์รวบรวมข้อมูล บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับโบราณสถานในหลักสูตรการเรียน รวมถึงการสนับสนุนการวิจัยระดับท้องถิ่นด้วย

จากการศึกษาการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการความรู้ของ ปรีดา พูลสิน (2554) ที่กล่าวว่า การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมและจัดเก็บความรู้ภายในชุมชนอย่างเป็นระบบ หากมีการจัดเก็บเป็นระบบก็จะสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุดทั้งต่อผู้สืบทอดและชุมชน และสอดคล้องกับแนวคิดของ ธนากร ตาระกา (2550) ที่กล่าวว่า มรดกทางวัฒนธรรมมีหลักเกณฑ์สากลในการประเมินระดับคุณค่าและความสำคัญ คุณค่าทางวัฒนธรรมมุ่งให้ความสำคัญกับตัวมรดกทางวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติในแต่ละพื้นที่ที่ต่างกันด้วย

ดังนั้น การที่จะจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมองสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบนนั้น ย่อมมีปัจจัยหลายอย่างแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทพื้นที่ของแหล่งเรียนรู้ คุณค่าของแหล่งเรียนรู้ คนในชุมชน และหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งเรียนรู้ โดยทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเข้มแข็ง และต้องมีแผนการจัดการความรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ ถึงจะสามารถเพิ่มศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

8.ข้อเสนอแนะ

8.1 ข้อเสนอแนะในการวิจัย

8.1.1 ผู้ที่สนใจในการศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน สามารถนำผล ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกในการเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวก สภาพแวดล้อม ข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว และความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ไปปรับประยุกต์ใช้ในการสำรวจศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ โดยอาจเลือกบางประเด็นในการศึกษาเชิงลึกซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการได้ข้อมูลที่จะสามารถพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวได้ตามสภาพจริง

8.1.2 ผู้ที่สนใจการศึกษาการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสานตอนบน สามารถนำผล การประชาสัมพันธ์ การจัดทำฐานข้อมูล การอนุรักษ์โบราณสถาน การปรับภูมิทัศน์เชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และการจัดการแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ไปปรับประยุกต์ใช้ในการจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมกับสถานที่อื่น ๆ รวมทั้งสามารถนำผลการวิจัยนี้ไปใช้ในการอ้างอิงในการจัดกทำหลักสูตรท้องถิ่นใช้เป็นคู่มือในการประกอบการสอนในสถานศึกษาได้ด้วย

8.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยศึกษาครั้งต่อไป

8.2.1 ควรมีการจัดทำวิจัยเรื่อง การจัดการความรู้มรดกทางวัฒนธรรมสิมพื้นถิ่นอีสาน ในครั้งต่อไป

8.2.2 ควรมีการจัดทำวิจัยเรื่อง การศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวของสิมพื้นถิ่นอีสาน ในครั้งต่อไป


เอกสารอ้างอิง
  • กันตภณ แก้วสง่า. (2558). การจัดการความรู้การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา. วารสารเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ฉบับที่ 2, 2558.

  • ธนากร ตาระกา. (2550). แนวทางการออกแบบศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์บนพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมทางวัฒนธรรมลพบุรี. วิทยานิพนธ์. ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

  • นํ้าเพชร อยู่โต. (ม.ป.ป.). วิถีไทย. พิษณุโลก. มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม.

  • นิสา พิมพิเศษ. (2554). แนวทางการจัดการโบราณสถานในจังหวัดอุตรดิตถ์. วิทยานิพนธ์. หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

  • บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.

  • ประเวศ วะสี. (2548). การจัดการความรู้ : กระบวนการปลดปล่อยมนุษย์สู่ศักยภาพเสรีภาพและความสุข. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม.

  • ปรีดา พูลสิน. (2554). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการความรู้ทางศิลปวัฒนธรรม: กรณีศึกษาชุมชนวัดโสมนัส. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม.

  • ปัณฉัตร หมอยาดี และคณะ. (2561). วัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว. พิมพ์ครั้งที่ 7. นนทบุรี: สุโขทัยธรรมาธิราช.

  • ปาริชาติ วลัยเสถียร. (2549). กระบวนการเรียนรู้และการจัดการความรู้ชุมชน. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).

  • พระครูวาปีจันทรคุณ. (2559). รูปแบบการจัดการความรู้แหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนา ในจังหวัดร้อยเอ็ด. รายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย: วิทยาลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด.

  • พลอยภัทรา ตระกูลทองเจริญ. (2557). การศึกษาความตระหนักในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมกรณีศึกษา: หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ เชียงรากน้อย. วิทยานิพนธ์. สถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสถาปัตยกรรมภายใน: มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.

  • ไพศาล สรรสรวิสุทธิ์ และคณะ. (2557). การจัดการความรู้ด้านมรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ในจังหวัดอุทัยธานี. วารสารสหวิทยาการด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ฉบับพิเศษ ปีที่ 10 กรกฎาคม 2558

  • วงศ์ธีรา สุวรรณิน. (2556). การศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัดในจังหวัดปทุมธานี. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปีที่ 8 ฉบับที่ 3.

  • วชิรญา ตติยนันทกุล. (2557). การพัฒนาคู่มือการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรมนามธรรมด้านหัตถกรรม จังหวัดอุบลราชธานี. การค้นคว้าอิสระ. ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

  • วสันต์ ยอดอิ่ม. (2545). สิมพื้นถิ่นในเขตภาคอีสานตอนบน. วิทยานิพนธ์. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศิลปากร.

  • วีระยา วรพันธุ์. (2553). การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เมืองโบราณโนนเมือง บ้านนาโพธิ์ ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น. วิทยานิพนธ์. ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยว บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

  • สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2553). เบิ่งสังคมและวัฒนธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: มติชน.

  • เสกสรรค์ สนวา. (2563). การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามวิถีชีวิตของคนในชุมชน. วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์: ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 (2563) : มกราคม-เมษายน หน้า 259-276

  • ศิริพร ถาวรวิสิทธิ์. (2564). แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดน่าน.วารสารสมาคมนักวิจัย ปีที่ 26 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2564 หน้า 244-256

Comentários


bottom of page