top of page

โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสาน

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสาน The Chance of Carting of Youth that Appeared in Mural Painting at Northeast Buddhist Holy Temple
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย,ยศยาดา สิทธิวงษ์.(2563).โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว    
 ที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสาน.ปีพ.ศ.2563.วารสารศิลปกรรมและการออกแบบแห่งเอเชีย  (JAAD).มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี(กรกฎาคม-ธันวาคม). 
บทคัดย่อ

โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสาน ผลการศึกษาพบว่า ปรากฏฮูปแต้มการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวตามประเพณีอยู่ 3 แบบ คือ 1) ประเพณีลงครกกระเดื่องตำข้าว 2) ประเพณีการลงข่วงเข็ญฝ้าย และ 3) ประเพณีการฟ้อนและการลำในขบวนแห่ ซึ่งทั้ง 3 ประเพณีนี้ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้มีโอกาสใกล้ชิดพูดคุยกันเพื่อแสวงหาคู่ครองที่ตนพึงพอใจถึงคุณสมบัติที่เป็นค่านิยมของคนอีสาน คือ “ขยันทำงาน” และจุดประสงค์ด้านอื่น ๆ ตามแต่ความชอบพอของหนุ่มสาว

จากการที่ช่างแต้มได้แต้มฮูปการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวไว้ในสิมอีสานทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ประเพณีฮีตสิบสองของอีสานนั้นเข้มแข็ง ทุกคนให้ความเคารพยำเกรงจึงสามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้จริงในการดำรงชีวิตและสร้างความสงบสุขให้แก่คนในสังคมอีสาน จึงทำให้ช่างแต้มได้บรรจงเลือกสรรตำแหน่งเพื่อจะแทรกรูปภาพการเกี้ยวพาราสีนี้ลงบนฝาผนังของสิม เพื่อแสดงให้เห็นถึงการดำรงเผ่าพันธุ์ของชาวอีสานสืบต่อไป

บทนำ

ภาคอีสานเป็นดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ และมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนเป็นเวลาช้านาน สังเกตได้จากศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงสมัยขอมเรืองอำนาจ นอกจากนี้วัฒนธรรมประเพณีที่ตกทอดมาถึงชาวอีสานในปัจจุบันก็สะท้อนให้เห็นถึงอดีตอันยาวนานของชาวอีสาน ภาคอีสานได้พบร่องรอยของเมืองโบราณหลายแห่ง เช่น ภาพเขียนในอำเภอโขงเจียม ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย นอกจากภาคอีสานจะเป็นแหล่งศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมแล้ว ประเพณี ฮีตสิบสอง การละเล่น และหัตถกรรมพื้นบ้าน ดนตรีและการละเล่นของชาวอีสาน ได้แก่ แคน และหมอลำ ก็ยังได้ถ่ายทอดกันยาวนานมาเหมือนกัน (วินัย วีระวัฒนานนท์, 2532)

สาเหตุที่คนอีสานเคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีก็อาจจะเป็นเพราะว่า คนโบราณสมัยก่อนยังไม่เจริญ จำเป็นต้องกำหนดแนวทางสร้างสังคมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสิ่งที่แตกต่างกันก็ คือ สภาพการดำรงชีวิต นับแต่การกินอยู่ การแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรม ศิลปกรรม ความเชื่อ ศาสนา คุณธรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่คนในสังคมนั้น ๆ ร่วมกันสืบต่อจนกลายเป็นเอกลักษณ์ จนกลายเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของสังคม ประเพณีนี้เองเป็นตัวกำหนดให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบสันติ ขนบประเพณี เป็นระเบียบแบบแผนที่สังคมได้กำหนดไว้แล้วปฏิบัติสืบต่อกันมา ส่วนธรรมเนียมประเพณี เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ทุกคนควรทำไม่มีระเบียบแบบแผนเหมือนขนบประเพณี (คำพูน บุญทวี, 2554) จึงทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน มีประเพณีฮีตสิบสองคองสิบสี่เป็นสิ่งควบคุมสังคมอีสานไว้ให้เกิดความสงบสุข ชุมชนอีสานจึงอยู่ร่วมกันเสมือนญาติพี่น้อง ดังคำกล่าวว่าพริกอยู่บ้านเหนือ เกลืออยู่บ้านใต้ ในสิบสองเดือนของชาวอีสานจะมีการจัดประเพณีจนครบทั้งสิบสองเดือนซึ่งทำให้ชาวอีสานได้หยุดพักผ่อนจากการทำงานหนักหันมาพบปะสังสรรค์กัน ซึ่งถือเป็นโอกาสดี คำว่า “โอกาส” หมายถึง ช่องทาง จังหวะหรือเวลาที่เหมาะสม (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, 2556) ที่หนุ่มสาวชาวอีสานจะได้พูดคุยและทำความรู้จักกันอย่างเปิดเผยอยู่ในขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีอีกด้วย ซึ่งภาพเหตุการณ์โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวเหล่านี้ส่วนหนึ่งได้ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มสิมอีสานซึ่งเป็นการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ที่สะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับการคัดเลือกคู่ครองของคนอีสานไว้อย่างแนบเนียน

จากการลงพื้นที่ศึกษาดูงานเรียนรู้ด้านศิลปะและวัฒนธรรมอีสานใต้ ในระว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2561 ผู้เขียนได้เห็นภาพวิถีชีวิตของชาวอีสานที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มสิมอีสาน ได้แก่ ภาพการทำมาหากิน การละเล่น ประเพณี มหรสพการแสดงหมอลำ มีบางภาพที่ปรากฏการลงข่วงเข็นฝ้าย การฟ้อนรำเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้เขียนมีความสนใจศึกษาโอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสาน เพื่ออยากทราบว่าวิถีชีวิตของคนอีสานสมัยก่อนซึ่งดำรงชีวิตอยู่ภายใต้กรอบประเพณีฮีตสิบสองคองสิบสี่อย่างเคร่งครัดและการที่หนุ่มสาวอยู่ในสายตาของสังคมจะมีวิธีการผ่อนคลายอารมณ์ทางเพศอย่างไร และหนุ่มสาวมีวิธีการเกี้ยวพาราสีกันด้วยวิธีใดบ้าง ตามที่ได้ปรากฏหลักฐานภาพการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวใน ฮูปแต้มอีสานหลายแห่งด้วยกัน และจะเป็นข้อเฉลยให้ได้ทราบว่าหนุ่มสาวอีสานในอดีตมีโอกาสช่องทางใดบ้างในการพบปะเกี้ยวพาราสีกันเพื่อจะได้เป็นข้อมูลสำคัญในการศึกษาวิถีชีวิตของคนอีสานต่อไป

วัตถุประสงค์

1. เพื่อศึกษาฮูปแต้มการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มอีสาน

2. เพื่อวิเคราะห์โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มอีสาน

วิธีดำเนินการศึกษาวิจัย

การศึกษาเรื่อง โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มอีสาน ผู้ศึกษาเลือกศึกษาฮูปแต้มในสิมอีสาน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1) ฮูปแต้มสิมวัดสระบัวแก้ว ต.วังคูณ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น และ 2) ฮูปแต้มสิมวัดโพธาราม บ.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม

ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

1. ประชากรกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษาในการศึกษาครั้งนี้ คือ กลุ่มผู้รู้ด้านประเพณีอีสาน จำนวน 3 ท่าน

2. ศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้อ้างผลการศึกษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับฮูปแต้มสิมอีสาน ความรู้เกี่ยวกับการเกี้ยวพาราสีหนุ่มสาวอีสาน ความรู้เกี่ยวกับประเพณีของอีสาน และแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

3. ศึกษารวบรวมข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เพื่อสังเกตสภาพทั่วไปของฮูปแต้มอีสานที่ปรากฏอยู่ในสิม และแบบสัมภาษณ์ชนิดไม่มีโครงสร้าง เพื่อสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการที่เป็นผู้รู้เกี่ยวกับฮูปแต้มสิมอีสาน

4. การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลข้อมูลโดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากศึกษาเอกสาร การสังเกต การสัมภาษณ์ และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์

ผลการศึกษา

ก่อนจะกล่าวถึงโอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวชาวอีสานที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มสิมอีสาน ผู้เขียนขอกล่าวถึงประเพณีของอีสานก่อนว่าความสำคัญอย่างไร ชาวอีสานมีงานประเพณีและบุญต่าง ๆ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน หากกล่าวถึงงานบุญ เช่น บุญผ้าป่า บุญเบิกฟ้า บุญแจกข้าว และประเพณีที่อยู่ในฮีตสิบสอง เป็นต้น ส่วนงานประเพณี เช่น ประเพณีผูกเสี่ยว ประเพณีขึ้นบ้านใหม่ ประเพณีเลี้ยงปู่ตา ประเพณีลงแขก ประเพณีการบวช ประเพณีผูกแขน ประเพณีกินดอง และประเพณีลงข่วง เป็นต้น (สำลี รักสุทธี, 2555) ประเพณีของชาวอีสานก็เหมือนกับประเพณีของภาคอื่น ๆ คือ มีประเพณีตั้งแต่เกิดจนตาย ในหลายประเพณีที่กล่าวมามีประเพณีที่ค่อนข้างสำคัญคือ ประเพณีการเลือกคู่ของหนุ่มสาวอีสาน

การเลือกคู่ครองหนุ่มสาวอีสาน

การมีครอบครัวถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยเพราะหมายถึงการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเป็นสามี ภรรยา (ผัว เมีย) ยิ่งการเลือกคู่ครองของหนุ่มสาวในอดีตแล้วมักอยู่ในธรรมเนียมประเพณีค่อนข้างมาก พ่อแม่ของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะสังเกตลักษณะของหนุ่มสาวก่อนจะให้คบหากันโดย คุณสมบัติของชาย คือ ความขยันในการทำมาหากิน (ดูที่ฝ่ามือว่าแข็งหรือไม่) ความประพฤติดี (การบวชเรียน) และคุณสมบัติของหญิง ดูที่เฮือนสาม น้ำสี่ เฮือนสามคือ รักษาความสะอาดของร่างกาย ดูแลบ้านให้เรียบร้อย และห้องนอนต้องสะอาดไม่สกปก (สำลี รักสุทธี, 2555)

หากหนุ่มสาวคู่ใดที่ทำผิดธรรมเนียมประเพณีถึงขั้นผิดขนบประเพณี โดยการลักลอบ ชู้สาว ถือว่าทำผิดกฎหมายก็จะถูกลงโทษตามกฎหมาย เมื่อฝ่ายชายกระทำผิดชู้สาว จะได้รับโทษโดยชายใดขึ้นไปหลับนอนด้วยหญิงบนเรือนของหญิง และพอรุ่งสว่างชายนั้นก็ลงไปจากเรือนหญิงเสีย โดยเหตุที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมิได้พูดจากว่ากล่าวกันให้ปรองดอง คือยังมิได้ยอมยกหญิงให้เป็นภรรยาชาย และมิได้มอบชายให้เป็นเขยของพ่อแม่หญิงชื่อว่าละเมิดต้องปรับใช้ชายนั้นเสียเงินสิบบาทเป็นค่าละเมิดแก่พ่อแม่หญิง และให้หาดอกไม้ธูปเทียนไปแปลงผีเรือน และขอขมาโทษแก่พ่อแม่หญิงด้วย เมื่อฝ่ายหญิงกระทำผิดชู้สาว จะได้รับโทษโดยหญิงใดรักใคร่กันกับชายและรับของฝากชาย เป็นต้นว่า แหวนก็ดี เงินทองก็ดี โดยสองต่อสอง ภายหลังหญิงนั้นไปมีสามีอื่นใดโดยยังมิได้ส่งของฝากที่ตนได้รับไว้จากชายนั้น ได้ชื่อว่าละเมิด ต้องปรับไหมหญิงเท่าราคาของตนรับไว้ และให้คืนสิ่งของนั้นเสียด้วย ถ้าของที่ตนรับไว้นั้นแตกหักขาดเสียหรือสูญหายด้วยเหตุใดๆ ต้องปรับไหมหญิงนั้นซื้อหามาใช้ให้แก่ชายจนครบ หรือใช้เงินแทนสิ่งของที่เสียหายไปนั้น จนครบตามที่ตนรับไว้ (นิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์, 2491)

จะเห็นได้ว่าประเพณีเกี่ยวกับการเลือกคู่ครองของหนุ่มสาวอีสานมีความละเอียดอ่อนอย่างมากเพราะต้องให้ความสำคัญกับธรรมเนียมประเพณี ขนบประเพณี และกฎหมายอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้หนุ่มสาวชาวอีสานจึงมีวิธีการเลือกคู่ครองที่สร้างสรรค์ คือ การเกี้ยวพาราสีทดสอบความอดทนและจิตใจกันก่อนแต่งงาน (กินดอง) กัน ประเพณีการเกี้ยวพาราสีหนุ่มสาวชาวอีสานนี้มีหลักฐานปรากฏเด่นชัดในฮูปแต้มสิมอีสานที่เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ชาวอีสานในอดีตไว้มาอย่างยาวนาน ฮูปแต้ม คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังในภาคอีสาน ซึ่งปรากฏบนผนังทั้งภายนอกและภายในของสิม (โบสถ์) วิหาร หอไตร และหอแจก (ศาลาการเปรียญ) แสดงเรื่องราวพุทธประวัติหรือวรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นความงามแบบพื้นบ้านที่ซื่อตรง เรียบง่าย ลักษณะเด่น คือ เนื้อเรื่องแบ่งเป็นตอนๆ เชื่อมต่อกัน ช่างแต้มจะใช้เส้นแถบ หรือใช้ช่องว่างรอบองค์ประกอบภาพแทนการคั่นเนื้อเรื่องแต่ละตอน เพื่อมิให้เกิดความสับสนในเนื้อหาแต่ละตอนยังมีคำบรรยายภาพกำกับไว้ด้วย ช่างแต้มเป็นทั้งฆราวาสและพระภิกษุในสังคมชนบท ซึ่งเชื่อว่าการได้เขียนฮูปแต้มถือเป็นบุญกุศล (วีระพงศ์ มีสถาน 2561) ภาพฮูปแต้มอีสานมักปรากฏเนื้อหาทางศาสนาผสานหลักจริยธรรม ตามจารีตท้องถิ่นไปสู่ประชาชน เนื้อหาหลัก คือ พระเวสสันดรชาดก เสนอจริยธรรมการให้ทาน และวรรณกรรมท้องถิ่น คือ สินไซ กับพระลักพระราม เสนอหลักจริยธรรมด้านความกตัญญู การครองเรือน และคุณธรรมด้านการปกครอง บางครั้งมีการแทรกอารมณ์ขันด้วยภาพอวัยวะทางเพศ และภาพเชิงสังวาสทั้งแบบคลุมเครือและโจ่งแจ้ง เพื่อให้ผู้คนสนใจในเนื้อหาทางศาสนาอย่างแยบคาย นอกจากนี้เนื้อหาที่ปรากฏในฮูปแต้มอีสานยังเสนอภาพเรื่องเมืองสวรรค์ กับเมืองนรก อย่างเห็นได้ชัดเจน ส่วนฮูปแต้มอีสานที่สะท้อนประเพณี มักเสนอสภาพสังคมวัฒนธรรมของผู้คนได้แก่ พิธีศพ การทำนา การหาปลา การละเล่น อาทิการเป่าแคน เป็นต้น (ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์, 2560)

แคน คือ ดนตรีพื้นบ้านอีสานที่มีท่วงทำนอง และจังหวะสนุกสนาน มีเอกลักษณ์เฉาพะตัว ตามลักษณะนิสัยของคนอีสานที่ชอบความรื่นเริง ร้องรำทำเพลงในยามว่างเมื่อเสร็จจากงาน ซึ่งถือเป็นการคลายความเครียด อีกทั้งคนอีสานมีลักษณะเฉพาะคือชอบสนุกสนาน จึงหาโอกาสบันเทิงใจได้ตลอดเวลา จากภาพจิตกรรมในหอพระบาทด้านขวามือของพระประธาน จะเห็นภาพหญิงสาวกำลังปั่นด้าย และมีชายหนุ่มเป่าแคนอยู่ข้าง ๆ แคนเป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่ของชาวอีสาน เสียงแคนเป็นเสียงดนตรีที่มีความไพเราะ มีลายทำนองคึกคักเร่งเร้าสะท้อนถึงวิญญาณการต่อสู้ดิ้นรนของคนอีสาน นอกจากนี้เสียงแคนที่ขับขานยังมีลายทำนองสนุกสนาน หวานชื่นเป็นสื่อสายใยบ่งบอกถึงความรักระหว่างผู้คนบนผืนแผ่นดินเกิดเดียวกัน โดยเฉพาะสมัย ร.4 หมอแคนนิยมเล่นกันมาก ในสมัยก่อนเป็นหญิงสาวชาวบ้านจะปั่นฝ้ายในเวลาค่ำคืน ส่วนชายหนุ่มก็จะเป่าแคนเลาะบ้านเกี้ยวสาว ดนตรียังสามารถช่วยปลอบประโลมให้คลายความทุกข์โศกของผู้ที่สูญเสีย จากการไปของคนในครอบครัว และอุปกรณ์ที่หญิงสาวใช้ในการปั่นด้านคือ อิ้ว ใช้แยกฝ้ายและเมล็ดออกจากกัน ภาพการสื่อสารความหมายของการลงข่วง คือ ประเพณีหนุ่มสาวจีบกัน (สุภาวดี ไชยกาล, 2556)

โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มอีสาน

การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มอีสานนั้น พบว่า มีโอการกระทำในกิจกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวอีสาน ซึ่งธรรมเนียมลาวโบราณนั้น การเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหนุ่ม กับหญิงสาวถือเป็นเรื่องเปิดเผยและไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอาบ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกของฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ก็ตาม ขอเพียงแต่ว่า การแสดงออกนั้นต้อง เปิดเผย ไม่ไปแสดงกันในที่รโหฐานซึ่งผู้ใหญ่หรือบุคคลอื่น ๆ ไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้นพอ ในบางครั้งฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายพูดเกี้ยวฝ่ายหญิงก่อนและมีบางครั้งที่ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายพูดเกี้ยวฝ่ายชายก็ย่อมได้เช่นกัน ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสีย เพราะการพูดเกี้ยวในลักษณะนี้ เป็นเพียงการพูดแบบ ทีเล่นทีจริง เท่านั้น (ไพบูรณ์ แพงเงิน, 2534) ผลการศึกษาโอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวชาวอีสานที่พบในฮูปแต้มสิมอีสานในสิมวัด 2 แห่ง พบฮูปแต้มที่มีภาพเกี่ยวกับการเกี้ยวพาราสีจำนวน 4 ภาพ โดยผู้เขียนได้นำมาวิเคราะห์โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในอีสานได้ผลดังนี้

  • ประเพณีลงครกกระเดื่องตำข้าว พบฮูปแต้มในสิมวัดโพธาราม บ.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม โดยการตำข้าวด้วยครกมองเป็นวิถีชีวิตส่วนหนึ่งของชาวอีสานที่เปิดโอกาสให้บ่าวสาวได้พบปะคุยกัน การตำข้าวจะตำกันในตอนเช้าตรู่ หรือตอนกลางคืน โดยเฉพาะในคืนเดือนหงาย ก่อนจะตำข้าวต้องตักข้าวเปลือกใส่กระบุงเสียก่อน นำไปที่ครกมองพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ การตำข้าวแต่ละครั้ง จะตำสำหรับกินในวันเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นก็ตำใหม่ หญิงสาวคนใดตำข้าวเก่งจะทราบได้จากจังหวะครกที่สม่ำเสมอชวนฟัง หากใครตำข้าวไม่เห็น จังหวะของครกจะไม่สม่ำเสมอ ทำให้เมล็ดข้าวหักไม่สวย ช่วงเวลาตำข้าวนี้หนุ่มสาวจะมีโอกาสได้คุยกัน สาวใดรูปงามหนุ่ม ๆ จะขันอาสามาช่วยตำข้าวมาก โดยสาวไม่ต้องทำเอง การพูดคุยเกี้ยวกันจะยกผญามาพูดจาโต้ตอบกัน ใครมีคารมคมคายก็จะนำมาแสดงให้บ่าวสาวเพศตรงข้ามเกิดความสนใจและชื่นชมในความสามารถของตน (พรสวรรค์ สุวรรณศรี, 2547 อ้างถึงใน จารุวรรณ ธรรมวัตร, 2526)

ภาพประกอบที่ 1 ฮูปแต้มการตำข้าวด้วยครกมอง สิมวัดโพธาราม บ.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม


  • ประเพณีการลงข่วงเข็นฝ้าย พบฮูปแต้มในสิมวัดโพธาราม จ.มหาสารคาม โดยปรากฏฮูปแต้มชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่ กิจกรรมของหนุ่มสาว และกิจกรรมการลงข่วงเข็นฝ้าย (ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ และคณะ, 2559)ซึ่งหนุ่มสาวอีสานในอดีตจะมีการเกี้ยวพาราสีกันในฤดูการที่ว่างเว้นจากการทำงาน สาว ๆ จะพากันมาลวงข่วงเข็นฝ้ายตามลานบ้านของตนเป็นกลุ่ม ๆ

ข่วง เป็นภาษาอีสาน หมายถึง ลานบ้าน โดยใช้ลานบ้านแล้วทำการยกพื้นสูงโดยใช้ไม้ไผ่ทำเป็นแคร่นั่งได้ประมาณ 5-6 คน ตรงกลางจะมีการก่อไฟเพื่อแสงสว่างอีกด้วย

ประเพณีการลงข่วง เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวชาวอีสานได้ปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ได้ลดความนิยมจนเลือนลางหายไป การลงข่วงนั้นนิยมทำกันในฤดูที่เก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้วซึ่งตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี เวลาลงข่วงจะเป็นตอนกลางคืนหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วประมาณ 2 ทุ่ม เมื่อถึงเวลาเหล่าหญิงสาว ในบ้านเรือนที่อยู่กลุ่มเดียวกันจะเก็บฟืนมารวมกันก่อไฟ พร้อมถือเครื่องปั่นฝ้าย ที่กรอด้ายมาเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วทุกคนก็จะทำหน้าที่ของตน ในระหว่างที่หญิงสาว สนทนาและปั่นฝ้ายไปนั้นสิ่งที่หญิงสาวจะเตรียมมาด้วยก็คือ เสี้ยนหมาก แอบยา หรือหมากพลูเพื่อเตรียมต้อนรับชายหนุ่มที่ตนรักหรือที่จะมาคุยด้วย ในระหว่างนั้นก็จะมีชายหนุ่มในละแวกบ้านเดียวกันหรือจากที่อื่น ก็จะชักชวนกันมาเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 2-3 คน เพื่อเกี้ยวพาราสีกับหญิงสาวโดยชายหนุ่มจะเป่าแคน ดีดพิณ สีซอมาด้วย ดังนั้นชายหนุ่มอีสานจึงต้องหัดเป่าแคน หรือดีดพิณกัน หากใครเป่าแคนไม่เป็นก็จะมีความรู้สึกน้อยหน้าคนอื่นและไม่มั่นใจในตนเอง และหญิงสาวมักจะจำเสียงแคนของชายหนุ่มที่เคยมาคุยด้วยได้ เมื่อชายหนุ่มมาถึงข่วงที่หญิงสาวรวมกันอยู่แล้ว ก็จะแยกย้ายกันเข้าทักทายและสนทนากัน การสนทนากันนั้นจะนิยมการจ่ายผญา หากใครจ่ายผญาไม่ได้ก็จะคุยกันธรรมดา แต่ส่วนมากนิยมการจ่ายผญาเพราะถือว่าเป็นการสนทนากันในเชิงปราชญ์ฟัง ตัวอย่าง คำผญา หนุ่มสาวเกี้ยวกัน


“…ชาย - สุขสำบายหมั้นเสมอมันเครือเก่าบ่นอ เทิงพ่อแม่และพี่น้องสำบายถ้วนซู่คนบ่นอ

หญิง – น้องนี้สุขสำบายหมั้นเสมอมันเครือเก่าอยู่ดอกอ้ายเอย เทิงพ่อแม่และพี่น้องสำบายพร้อมสู่คน …” (สำลี รักสุทธี, 2555)

ภาพประกอบที่ 2 ฮูปแต้มการเข็นฝ้าย สิมวัดโพธาราม บ.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม

  • ประเพณีการฟ้อนและลำในขบวนแห่ (การลำผญาเว้าสาว) พบในสิมวัดสระบัวแก้ว ต.วังคูณ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น โดยประเพณีการฟ้อนและลำในขบวนแห่ (การลำผญาเว้าสาว)นี้เป็นประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิม โดยในสมัยก่อนผู้ใหญ่จะเปิดโอกาสให้แก่ชายหนุ่มได้เว้าสาว (พูดกับหญิงสาว) ตามสบาย เพราะพ่อจะไม่หึงหวงลูกสาวหากแต่จะไปนอนเงี่ยหูฟังอยู่ห่าง ๆ เพราะพ่อนั้นก็ได้เข้าใจและผ่านช่วงชีวิตวัยหนุ่มมาก่อนจึงเข้าใจลูกสาวของตนเองเป็นอย่างดี เพียงแต่สิ่งที่พ่อและแม่พยายามไม่ให้เกิดขึ้นก็มีเพียงอย่างเดียวคือ ไม่ให้เกิดเรื่องซู้สาวขึ้นเท่านั้น

จากการที่มีประเพณีเว้าสาวนี้เอง จึงทำให้เกิดการแต่งคำคมขึ้น เพื่อใช้ในการพูดจาโต้ตอบกันขึ้นระหว่างหนุ่มสาว โดยมีการเลือกใช้ถ้อยคำที่ไพเราะ กินใจ และสำนวนคล้องจองกัน บางครั้งก็ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณในการเลือกคำคมที่เหมาะสมมาพูด ซึ่งคำคมในที่นี้ก็คือ คำผญานั้นเอง (ไพบูรณ์ แพงเงิน, 2534) ดังนั้น หมอลำจึงเป็นสื่อความรักของหนุ่มสาว ในสมัยก่อนโอกาสที่หนุ่มสาวจะพบเจอกันมีน้อยมาก ยิ่งใครมีคารมคมคาย เจ้าบทเจ้ากลอนมีความรู้ทั้งทางโลกทางธรรมดีจะเป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม ฉะนั้นเมื่อหนุ่มสาวมาเจอกันก็จะมีการจ่ายผญา มีคำกลอน คำพูดที่ลึกซึ้ง กินใจ (ซึ่งก็จะจดจำมาจากกลอนลำ) (เทพพร มังธานี, 2545) ดังปรากฏฮูปแต้มการฟ้อนและการลำในขบวนแห่สิมวัดสระบัวแก้ว จ.ขอนแก่น ที่ช่างได้สอดแทรกวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีแบบอีสานไว้ในภาพหลายตอน เช่น ประเพณีฮดสรงพระลักพระลามที่ผนังด้านหน้า การทำคลอดโดยหมอตำแย การแต่งกายของหญิงสาวอย่างสวยงามประกอบขบวน การเป่าแคนอย่างรื่นเริง (สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น, 2543) การละเล่นในลักษณะมักจะมีการลำจ่ายผญาร่วมด้วย

ภาพประกอบที่ 3 ฮูปแต้มสิมวัดสระบัวแก้ว ต.วังคูณ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น


ลำผญา คือ การนำเอาคำผญามาผูกเป็นคำกลอนแล้วลำออกมาเป็นสำเนียงหรือท่วงทำนองที่ไพเราะ ส่วนใหญ่จะใช้ลำในเชิงเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มกับสาว ทั้งนี้ โดยจำลองรูปแบบของการคุยสาว หรือการ “เว้าสาว” ซึ่งเป็นประเพณีของอีสานในอดีตมาใช้ในการลำ โดยสมมุติตั้งแต่ฝ่ายชายหนุ่ม เริ่มออกเดินทางไปที่บ้านหรือที่อยู่ของหญิงสาว จนกระทั่งได้พูดจากเกี้ยวพาราสีกัน ฝ่ายชายก็จะพยายามพูดโอ้โลมปฏิโลมให้ฝ่ายหญิงใจอ่อนและยอม “ให้ชู้สาว” แต่ฝ่ายหญิงก็จะพยายามพูดให้ฝ่ายชายเข้าใจถึงความเป็นกุลสตรีของตน เกี่ยงให้ฝ่ายชายกลับไปบ้านไปหาคนเฒ่าคนแก่ หรือบิดามารดามาสู่ขอตนจากบิดามารดา ซึ่งขณะที่พูดจาปลอบโยนกันอยู่นั้น ก็จะมีถ้อยคำที่เป็นคารมคมคายไหลหลั่งออกมาอย่างน่าประทับใจ ประกอบกับน้ำเสียงของหมอลำแต่ละท่านที่มาลำผญา (ไพบูลย์ แพงเงิน, 2534)


ภาพประกอบที่ 4 การรำเซิ้งประกอบขบวนแห่ฮูปแต้มในสิมวัดโพธาราม

บ.ดงบัง อ.นาดูน จ. มหาสารคาม

จากผลการศึกษา พบว่า โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวชาวอีสานที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสานพบว่า มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ 1) ประเพณีการฟ้อนและการลำในขบวนแห่ 2) ประเพณีการลงข่วงเข็นฝ้าย และ3)ประเพณีลงครกกระเดื่องตำข้าว ซึ่งทั้ง 3 ประเพณีนี้ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้มีโอกาสใกล้ชิดพูดคุยกันเพื่อแสวงหาคู่ครองที่ตนพึงพอใจถึงคุณสมบัติที่เป็นค่านิยมของคนอีสาน คือ “ขยันทำงาน” และ อื่น ๆ ตามแต่ความชอบพอของหนุ่มสาว ที่เป็นขนบประเพณีที่สืบต่อกันมาของคนอีสาน

สรุปและอภิปรายผล

ประเพณีเกี้ยวพาราสีของชาวอีสานมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งหมายถึงการคัดกรองคู่ครองก่อนแต่งงาน สามารถสรุปได้จากการเกี้ยวพาราสีที่ปรากฏหลักฐานเด่นชัดในฮูปแต้มสิมอีสานดังนี้

ประเพณีลงครกกระเดื่องตำข้าว มีผลต่อการคัดกรองความรักระหว่างหนุ่มสาว คือ 1) สร้างความสามัคคีโดยชายหนุ่มและหญิงสาวร่วมกันตำข้าวด้วยกัน 2) สร้างความสนิทสนมและมิตรภาพแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ถามความไถ่สุขทุกข์กันระหว่างหนุ่มสาว และ3) อยู่ในธรรมเนียมประเพณี ในขณะที่หนุ่มสาวสังสรรค์กันด้วยกิจกรรมการทำงานอยู่นั้นได้แอบแฝงการเกี้ยวพาราสีกันซึ่งอยู่ในสายตาของคนในชุมชนตลอดเวลา

ประเพณีการลงข่วงเข็นฝ้าย มีผลต่อการคัดกรองความรักระหว่างหนุ่มสาว คือ 1) หญิงสาวได้พิสูจน์ตนเองด้วยการเป็นแม่บ้านแม่เรือนแสดงอาชีพติดตัวให้ชายหนุ่มได้เห็น 2) ชายหนุ่มได้แสดงความสามารถพิเศษด้วยการเป่าแคนอย่างมีอารมณ์สุนทรีย 3) หนุ่มสาวได้ประชันภูมิปัญญาพิสูจน์ความชาญฉลาดมีการจ่ายผญากัน 4) หนุ่มสาวได้ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตให้กันได้รับฟัง และ5) หนุ่มสาวได้อยู่ในธรรมเนียมประเพณี ไม่กระทำตนส่อในเชิงชู้สาวเพราะอยู่ในสายตาของพ่อแม่และชาวบ้านในชุมชน

ประเพณีการฟ้อนและการลำในขบวนแห่ มีผลต่อมีผลต่อการคัดกรองความรักระหว่างหนุ่มสาว คือ 1) สร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกันด้วยการฟ้อนเกี้ยวกันของหนุ่มสาว 2) แสดงความชาญฉลาดด้วยการลำจ่ายผญาระหว่างชายหญิง 3) ผ่อนคลายความเครียดช่วยให้มีกำลังใจทำงานในวันต่อไป 4) ชายหนุ่มได้ระบายความใคร่ทางปากด้วยการหยอกล้อหญิงสาวด้วยคำลามก สองแง่สองง่ามอย่างสนุกสนาน และ 5) หนุ่มสาวอยู่ในธรรมเนียมประเพณีด้วยการฟ้อนรำใกล้ชิดกันได้ ชายหนุ่มพูดจากหยอกล้อหญิงสาวด้วยวาจาสองแง่สองง่ามได้ และสามารถเกี้ยวสามารถเกี้ยวพาราสีกันระหว่างคู่หนุ่มสาวอย่างใกล้ชิดกันได้ โดยทั้งหมดยังอยู่ในสายตาของคนในชุมชน

ในบทความนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ปรากฏหลักฐานของฮูปแต้มสิมอีสานจำนวน 2 แห่งเท่านั้น ซึ่งก็เห็นในเชิงประจักษ์ว่า ชาวอีสานสมัยก่อนได้ให้ความสำคัญและเคารพต่อประเพณีอย่างจริงจัง จะสังเกตเห็นว่า สิมแต่ละหลังจะมีขนบการแต้มอยู่ คือ ภายในสิมจะแต้มฮูปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนา ส่วนภายนอกสิมจะแต้มฮูปวรรณกรรมเนื้อหานิทานพื้นบ้านทั่วไป เพียงแค่เรื่องราวทางศาสนาและนิทานพื้นบ้านอีสานทั้งสองประเภทนี้เท่านั้น เนื้อที่ของการแต้มอูปก็เกือบเต็มผนังของสิมแล้ว แต่ด้วยความสำคัญของวิถีชีวิตผู้คนโดยเฉพาะการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว ช่างแต้มฮูป จึงได้แต้มฮูปเหล่านี้แทรกลงไปบนพื้นที่ว่างของสิมเพราะเห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้มีคุณค่าในการสืบเผ่าพันธุ์ เพราะการเกี้ยวพาราสีของมนุษย์เป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกคู่ครองและแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณี หากสังคมอีสานไม่ควบคุมสิ่งเหล่านี้ไว้จะมีผลกระทบต่อความผาสุขของคนในชุมชน และเกิดปัญหากับหญิงสาวที่ท้องโดยฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ส่งผลให้ลูกที่เกิดมาไม่มีพ่อ ทำให้เกิดความบกพร่องในชีวิตครองครัวโยงใยกันไป จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ชาวอีสานถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและละเอียดอ่อนตลอดมา ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ของพาร์สันเกี่ยวกับความคิดระบบสังคม ที่เป็นแบบแผนค่อนข้างถาวรของการกระทำระหว่างกันของบุคคลในสถานภาพต่างๆ แบบแผนเหล่านั้นอยู่ในกรอบของวัฒนธรรม การยึดค่านิยมของคนเกิดขึ้นได้สองทาง คือ บรรทัดฐานทางสังคมที่บังคับพฤติกรรมจะสะท้อนค่านิยมทั่วไปและระบบความเชื่อของวัฒนธรรม ส่วนค่านิยมและแบบแผนอื่นๆอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งในระบบบุคคล ซึ่งย่อมจะก่อผลกระทบหรือสนองต่อความต้องการจำเป็นของระบบ ซึ่งเป็นตัวกำหนดความยินดีเต็มใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลในระบบสังคมอีกทอดหนึ่ง (ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง, 2552) เช่นเดียวกันกับระบบทางสังคมของอีสานที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นกรอบให้ทำการปฏิบัติตามค่านิยมของคนอีสานที่สืบทอดต่อกันมา เหมือนกับประเพณีที่ผสมผสานกับความเชื่อ ได้แก่ ประเพณีการลงข่วงเข็นฝ้าย ประเพณีการฟ้อนและการลำในขบวนแห่ และประเพณีลงครกกระเดื่องตำข้าว ซึ่งล้วนแล้วเป็นความเชื่อของระบบวัฒนธรรมอีสานทั้งสิ้น

จากการที่ช่างแต้มได้แต้มฮูปการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวไว้ในสิมอีสานทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ประเพณีฮีตสิบสองของอีสานนั้นเข้มแข็ง ทุกคนให้ความเคารพยำเกรงจึงสามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้จริงในการดำรงชีวิตและสร้างความสงบสุขให้แก่คนในสังคมอีสาน จึงทำให้ช่างแต้มได้บรรจงเลือกสรรตำแหน่งเพื่อจะแทรกรูปภาพการเกี้ยวพาราสีนี้ลงบนฝาผนังของสิม เพื่อแสดงให้เห็นถึงการดำรงเผ่าพันธุ์ของชาวอีสานสืบต่อไป

ข้อเสนอแนะ

ผลจากการศึกษาบทความเรื่อง โอกาสการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่ปรากฏในฮูปแต้มสิมอีสาน มีข้อเสนอแนะดังนี้

1. ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้

หน่วยงานสถาบันการศึกษาสามารถนำผลการศึกษาบทความนี้ไปจัดทำเป็นหลักสูตรท้องถิ่นการเกี้ยวพาราสีในฮูปแต้มสิมอีสาน พร้อมทั้งสามารถเผยแพร่เป็นเอกสารประกอบการสัมมนาความรู้เรื่องการเกี้ยวพาราสีในฮูปแต้มสิมอีสานได้

2. ข้อเสนอแนะการศึกษาครั้งต่อไป

ควรมีการศึกษาบทความเรื่อง ประเพณีฮีตสองของอีสานที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มสิมในภาคอีสาน

เอกสารอ้างอิง
  • คำพูน บุญทวี. (2554). วัฒนธรรมพื้นบ้านประเพณีไทยอีสาน. นนทบุรี: โป้ยเซียน (1988).

  • เทพพร มังธานี. (2545). เปิดผ้าม่านกั้ง: เปิดจิตวิญญาณอีสานสู่จิตวิญญาณสากล. ขอนแก่น:พระธรรมขันต์

  • นิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์. (2491). ประวัติศาสตร์ไทยลาว-อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ.

  • พรสวรรค์ สุวรรณศรี. (2547). การวิเคราะห์คุณค่า การดำรงอยู่ และการสืบทอดผญาอีสาน. วิทยานิพนธ์. ปริญญาครุศาตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาศึกษา: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

  • พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (2556). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน.

  • ไพบูลย์ แพงเงิน. (2534). กลอนลำ- ภูมิปัญญาของอีสาน. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์

  • วินัย วีระวัฒนานนท์. (2532). สิ่งแวดล้อมอีสานและการอนุรักษ์. กรุงเทพฯ. โครงการมหาวิทยาลัยในโครงการอีสานเขียว.

  • วีระพงศ์ มีสถาน. (2561). ฮูปแต้ม. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/XKF8A สืบค้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561

  • ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ และคณะ. (2559). สารานุกรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน “จิตรกรรมฝาผนังพุทธอุโบสถ แบบดั้งเดิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มหาสารคาม. มหาสารคาม.

  • ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์. (2560). จิตรกรรมฝาผนังพุทธอุโบสถอีสานในบริบทสังคมวัฒนธรมท้องถิ่นสมัยประเทศสยาม. วารวิชาการนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปีที่ 5 ฉบับที่ 2(10) ก.ค.-ธ.ค. 60: 41-50.

  • ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง. (2552). แนวคิดและทฤษฎีทางสังคม. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/EwypG. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2561.

  • สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น. (2543). สิมพิ้นบ้านวิหารพื้นถิ่น. อุดรธานี. วินิจการพิมพ์.

  • สำลี รักสุทธี. (2555). สืบสานตำนานงานบุญประเพณีอีสาน. กรุงเทพฯ: พ.ศ. พัฒนา.

  • สุภาวดี ไชยกาล. (2556). วิเคราะห์คติธรรมจากจิตกรรมฝาผนังวัดทุ่งศรีเมืองจังหวัดอุบลราชธานี. วิทยานิพนธ์. ปริญญาพุทธศาสนามหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย.

Comments


bottom of page