top of page

ท้าวบาเจียง นางมะโรงสู่การประพันธ์กลอนลำบทโศกทำนองขอนแก่น

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
ท้าวบาเจียง นางมะโรง: วิเคราะห์ความสัมพันธ์เหตุการณ์รักสามเส้าระหว่างนิทานลาว แขวงจำปาสัก และไทยอีสานสู่การประพันธ์กลอนลำบทโศกทำนองขอนแก่น

บทคัดย่อ

การศึกษาเรื่อง การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นแขวงจำปาสัก เรื่องท้าวบาเจียง นางมะโรง เพื่อหาความสัมพันธ์เหตุการณ์รักสามเส้าระหว่างนิทานลาว ไทยอีสาน สู่การประพันธ์กลอนลำบทโศกทำนองขอนแก่น พบว่า ตัวเอกในเรื่องมีวิชีวิตเป็นไปตามเค้าโครงที่เป็นแบบแผนอย่างเดียวกันมีลักษณะร่วมเหตุการณ์ของตัวละครในนิทาน ได้แก่ 1. สองตระกูลผูกมิตรกัน 2. เกิดปมขัดแย้งระหว่างสองครอบครัว 3. ตัวเอกของเรื่องผิดหวังจากความรัก และ 4. โศกนาฏกรรมรักสามเส้า จากการศึกษานิทานเรื่อง ท้าวบางเจียง นางมะโรง ของแขวงจำปาสักประเทศลาว และนิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม ของประเทศไทยภาคอีสานจึง พบว่า แก่นเรื่องของนิทานพื้นบ้านทั้งสองเรื่องนี้ คือ “ความรักที่ไม่สมหวัง

ส่วนกลอนลำที่ผู้เขียนประพันธ์ขึ้น ได้แก่ กลอนลำท้าวบาเจียง (ท้าวบาเจียงเสียใจที่นางมะโรงหนีไปกับท้าวอินทะปะถา) กลอนลำนางมะโรง (นางมะโรงเสียใจที่ท้าวอินทะปะถาไม่จริงใจกับตน)และ กลอนลำท้าวอินทะปะถา (ท้าวอินทะปะถาเสียใจที่ตามหานางมะโรงไม่พบ) สาเหตุที่ผู้เขียนเลือกบทโศกหรือฉากเหตุการณ์ผิดหวังมาประพันธ์กลอนลำทำนองขอนแก่นนั้น ก็เป็นเพราะว่าบทโศกเป็นบทลำที่สะเทือนขวัญและมีสุนทรียรส “สัลลาปังคพิสัย” ที่นับได้ว่าเป็นสุดยอดของฉากเรียกน้ำตาของการลำทำนองขอนแก่น และหากวรรณกรรมร้อยแก้วถูกเลือกสรรมาประพันธ์เป็นบทกลอนแล้วก็ยิ่งจะทำให้เกิดสุนทรียเพิ่มขึ้นและสามารถเข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้เป็นอย่างดี ทำให้วรรณกรรมนิทานพื้นบ้านได้รับความนิยมและคนยุคปัจจุบันสามารถจดจำชื่อเรื่องของนิทานเรื่องนั้นได้ ทั้งที่เคยได้ยินหรือที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ตาม

บทนำ

นครจำปาศักดิ์ได้เรียกขานกันในอดีต หรือแขวงจำปาสักได้เรียกขานกันในปัจจุบัน ล้วนมีตำนานเล่าขานกันมาเช่นเดียวกันแขวงอื่น ๆ ในประเทศลาว นครจำปาศักดิ์เริ่มจากการอพยพของชนชาติลาวกลุ่มหนึ่งจากแคว้นศรีสัตนาคนหุตแล้วมาตั้งถิ่นฐานที่แขวงนครจำบากนาคบุรีศรี แล้วเปลี่ยนนามใหม่เรียกว่า นครจำปาศักดิ์นัคบุรีศรี ปกครองโดยเจ้าสร้อยศรีสมุทพุทธางกูร (นิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์, 2543) และในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่ออีกว่า แขวงจำปาสัก ซึ่งเป็นแขวงหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศลาว

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้น คือ แขวงจำปาสักมีผู้มีความรู้ความสามารถอาจเป็นถึงขั้นนักปราชญ์ของหมู่บ้านหรือเจ้านายในนครจำปาสักก็เป็นได้ ซึ่งได้ยิบยกนำเอาสถานที่ต่างๆ ที่แขวงจำปาสักมาผูกเป็นเรื่องราวขึ้น ชื่อว่าท้าวบาเจียงกับนางมะโรง ได้แก่ เมืองโพนทอง (เมืองเศรษฐาปุระ) เขตเมืองกาง (นครกาละจำบากนาคะบรุลีสี) ภูงอย (สถานที่ที่อินทะปะถาซุ่มแอบมองนางมะโรง) น้ำตกผาส้วม (สถานที่บาเจียงสร้างห้องหอไว้บริเวณน้ำตก) เมืองปากเซ (คือ เส้นทางที่บาเจียงแห่ขันหมากไปเมืองคันเกิ่ง) ภูบางเจียง (สถานที่ฝั่งศพของบาเจียงที่หันไปเมืองเก้าเกิ่ง)

ภาพที่ 1 แสดงภาพภูบาเจียง เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก


ภูคอกช้าง (สถานที่บาฮองสั่งเสนาตัดคอช้าง) ภูต้มไก่ (สถานที่บาฮองสั่งให้เสนาเทต้มไก่ทิ้งริมภูเขา) ภูสะเหล้า หรือภูสาเหล้า(ไห้เหล้าที่ทิ้งอยู่ภูเขาบริเวณริมโขง) ภูนางนอน เมืองโพนทอง (สถานที่นางมะโรงมาเฝ้ารองอินทะปะถา) ดอนปะกำ อยู่ระหว่างฝั่งพะพิมพ์และฝั่งบ้านม่วง (สถานที่นางมะโรงประสูตรบุตรกลางแม่น้ำ) ดอนแดง (สถานที่ประสูติบุตรแล้วเลือดไหลไปติดริมฝั่งแม่น้ำ) ดอนเปลือย เส้นทางที่นางมะโรงลอยน้ำผ่านเรียกดอนนางลอย(สถานที่นางมะโรงขี่แพรไม้สามลำไปตามสายน้ำจนเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย) บ้านห่อข้าว (สถานที่อินทะปะมาขอข้าวชาวบ้านกิน) ดอนนางกวัด (สถานที่นางมะโรงเสียใจอย่างน่าเวทนาสงสาร) บ้านม่วง (สถานที่นางมะโรงกินเหมากม่องและจำความได้ว่าประสูตรบุตรสถานที่นี้) ภูมะโรง (สถานที่ฝังศพนางมะโรง)

ภาพที่ 2 แสดงภาพภูมะโรง หรือภูนางนอน เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก


ภูจำปาสัก (สถานที่ฝังศพท้าวอินทะปะถา) ภูม่านกั้ง (สถานที่ชาวบ้านสร้างภูกีดกัน นางมะโรงกับท้าวอินทะปะถา) (พูสัง กิ่งลัดตะนา, 2558)

นอกจากความโดดเด่นทางด้านภูมิศาสตร์แล้ว วรรณกรรมนิทานท้างบาเจียงกับนางมะโรงยังโดดเด่นในเรื่องของนิทานรักสามเส้าอีกด้วย ซึ่งเนื้อหาของวรรณกรรมลักษณะนี้ตรงกับวรรณกรรมท้องถิ่นไทยอีสานคือเรื่อง ท้าวขูลูนางอั้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์รักสามเส้าเช่นกัน

จากการลงพื้นเข้าร่วมโครงการความร่วมมือทางวิชาการวัฒนธรรมลาว-ไทย “มรดกล้านช้าง”ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 3-9 สิงหาคม 2562 จังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน และแขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้เขียนได้เห็นบริบทพื้นที่ของแขวงจำปาสัก สปป.ลาว ที่ถูกนำมาผู้เรื่องเชื่อมโยงให้เป็นนิทานเรื่อง ท้าวบาเจียง นางมะโรง เล่าสืบต่อกันมา

ผู้เขียนจึงสนใจการวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นแขวงจำปาสัก เรื่องท้าวบาเจียง นางมะโรง เพื่อหาความสัมพันธ์เหตุการณ์ลักษณะร่วมกันของเรื่องรักสามเส้าระหว่างนิทานลาวและไทยอีสาน แล้วผู้เขียนจะนำเหตุการณ์ลักษณะร่วมกันของนิทานนี้ทำการประพันธ์กลอนลำในฉากบทโศกทำนองของแก่น เพื่อสร้างสรรค์งานวรรณกรรมให้อยู่ในรูปของงานวรรณศิลป์ที่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณชนได้

วัตถุประสงค์

เพื่อศึกษาการวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นแขวงจำปาสัก เรื่องท้าวบาเจียง นางมะโรง เพื่อหาความสัมพันธ์หตุการณ์รักสามเส้าระหว่างนิทานลาว ไทยอีสาน สู่การประพันธ์กลอนลำบทโศกทำนองขอนแก่น

ผลการศึกษา

การศึกษาบทความเรื่อง การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นแขวงจำปาสัก เรื่องท้าวบาเจียง นางมะโรง เพื่อหาความสัมพันธ์อนุภาคเหตุการณ์รักสามเส้าของนิทานลาว ไทยอีสาน สู่การประพันธ์กลอนลำบทโศกทำนองของแก่น ในช่วงลงพื้นเข้าร่วมโครงการความร่วมมือทางวิชาการวัฒนธรรมลาว-ไทย “มรดกล้านช้าง”ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 3-9 สิงหาคม 2562 จังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน และแขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก่อนอื่นผู้เขียนจะขอกล่าวถึงวรรณกรรมนิทานท้องถิ่นแขวงจำปาสัก เรื่องท้าวบาเจียง นางมะโรง เพื่อหาความสัมพันธ์เหตุการณ์รักสามเส้าระหว่างนิทานลาว ไทยอีสาน สู่การประพันธ์กลอนลำบทโศกทำนองของแก่น ผู้เขียนขอกล่าวถึงความรู้พื้นฐานของความหมายของนิทานพื้นบ้านและแบบแผนเบื้องต้นของนิทานก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร คำว่า นิทานพื้นบ้าน หมายถึง เรื่องเล่าแต่งเป็นภาษาร้อยแก้ว เป็นเรื่องที่อาจเคยเกิดขึ้นหรือไม่เคยเกิดขึ้นก็ได้ (เสาวลักษณ์ อนันตศานต์, 2554) เกิดจากจินตนาการของมนุษย์ ส่วนแบบแผนของนิทานพื้นบ้าน คือ สูตรแบบแม่แบบ คล้ายกับสูตรแม่แบบการก่อสร้าง ได้แก่ 1. แบบเรื่อง และอนุภาค 2. เค้าโครงของนิทาน 3. ภาพพจน์ 4. ลำดับของถ้อยคำซึ่งเป็นสูตรหรือกฎเกณฑ์ และ 5.การซ้ำ แบบแผนของนิทานพื้นบ้านที่กล่าวมานี้ ทำให้นิทานมีสัดส่วนเรื่องราวที่ดี มีเหตุมีผลอย่างสมบูรณ์แบบ (เสาวลักษณ์ อนันตศานต์, 2548) ในการวิเคราะห์นิทานพื้นบ้านนั้นผู้เขียนได้เลือกวิเคราะห์บทบาทของตัวเอกในนิทาน เฉพาะเหตุการณ์รักสามเส้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะร่วมของตัวละครในนิทานพื้นบ้านลาวและไทยอีสาน

คำว่า รักสามเส้า หมายถึง ความรักที่ชาย 2 คนรักหญิงคนเดียวกัน หรือหญิง 2 คนรักชายคนเดียวกัน(ราชบัณฑิตยสถาน, 2556)


เรื่องย่อ นิทานท้าวบางเจียง นางมะโรง


ภาพที่ 3 แสดงภาพหนังสือวรรณกรรมลาวท้าวบาเจียง นางมะโรง

ที่มา: พูสัง กิ่งลัดตะนา (2558) ท้าวบาเจียง-นางมะโรง


ความเป็นมาเริ่มแรกเกิดจากความสัมพันธ์ของสองตระกูลระหว่าง ตระกูลหัวหน้าชนเผ่า และตระกูลเจ้าเมือง เรื่องราวมีอยู่ว่า พระยาโพนทองถูกเสือกัดจนบาดเจ็บ บางฮองซึ่งเป็นชนเผ่ามาพบเข้าจึงได้ใช้ยาสมุนไพรที่ตนหาได้รักษาพระยาโพนทองจนหายบาดเจ็บพระองค์จึงได้ให้คำมั่นสัญญาต่อบางฮองว่า หากทั้งสองมีบุตรชาย หรือหญิง เหมือนกันก็จะทำการผูกเสี่ยว (เพื่อนตาย) ให้ หากมีบุตรต่างเพศก็ให้แต่งงานกัน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ยังจำฝังใจของทั้งสองคนอยู่เสมอมา เมื่อเวลาผ่านไป บางฮองได้บุตรชาย ชื่อ ท้าวบาเจียง ส่วนพระยาโพนทองได้ลูกสาว ชื่อนางมะโรง บางฮองทราบข่าวเรื่องนางมะโรงว่าเป็นธิดาของพระยาโพนทองและคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะไปสู่ขอนางมาเป็นคู่ชีวิตของลูกชายตน จึงได้แต่งสินสอดไปขอนางมะโรง แต่นางมะโรงมีคนรักอยู่แล้วชื่อว่า ท้าวอินทะปะถา หรือท้าวจำปาสัก นางจึงได้หนีไปกับท้าวอินทะปะถา เมื่อขบวนขันหมากท้าวบาเจียงมาถึงเมืองของนางมะโรงและทราบข่าวการหนีไปของนางมะโรง ทำให้ท้าวบาเจียงฟุ้งซ่านจับดาบแกว่งไปมาพลาดแทงตนเองตาย และถูกนำไปฝังไว้ที่ภูบาเจียง

ส่วนนางมะโรงได้หนีไปรอท้าวอินทะปะถาที่ภูนางนอน แต่ก็ผิดหวังเพราะบางฮองพ่อของบาเจียงได้ให้หมอผีทำพิธีบังตาไม่ให้นางมะโรงเห็นท้าวอินทะปะถา นางได้แต่คองคอยคนรักจนเสียชีวิตแล้วถูกฝังไว้ที่ภูมะโรง ส่วนท้าวอินทะปะถาทราบข่าวว่านางมะโรงตายแล้วก็ตรอมใจตายเช่นกัน ร่างอันไร้วิญญาณจึงถูกนำไปฝังที่ภูจำปาสัก (พูสัง กิ่งลัดตะนา, 2558)

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุการณ์รักสามเส้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังระหว่างชาย 2 หญิง 1 ซึ่งเป็นนิทานของแขวงจำปาสักสืบมา จากการศึกษาวรรณกรรมนิทานท้องถิ่นแขวงจำปาสัก เรื่องท้าวบาเจียง นางมะโรง เพื่อหาความสัมพันธ์เหตุการณ์รักสามเส้าระหว่างนิทานลาว ไทยอีสาน พบว่า มีนิทานไทยอีสานจำนวน 1 เรื่องที่ตรงกับเหตุการณ์รักสามเส้า คือนิทาน ท้าวขูลู กับนางอั้วเคียม


เรื่องย่อนิทาน ท้าวขูลู กับนางอั้วเคียม

ภาพที่ 4 แสดงภาพวรรณกรรมอีสานขูลู นางอั้ว

ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=9BT3C09U3_k


ณ นครกาสี มีกษัตริย์ปกครอง คือ ท้าวพรมสี และพระนางพิมพากาสี มีโอรสชื่อ ท้าวขูลู และไม่ไกลกันนั้นก็มี นครกายนคร มีกษัตริย์ปกครอง คือ ท้าวปุตตาลา และพระนางจันทา มีธิดาชื่อ นางอั้วเคียม ทั้งสองเมืองนี้มีความสนิทสนมกัน จึงได้สาบานกันว่า หากมีโอรส และธิดาเหมือนกันให้เป็นเพื่อนกัน หากได้บุตรต่างเพศก็จะให้แต่งงานกัน ในช่วงที่พระนางจันทาตั้งครรภ์ได้ไปเยี่ยมพระนางพิมพากาสีและได้ขอกินส้มแต่ส้มนั้นยังไม่สุก พระนางพิมพากาสีจึงไม่ให้ส้มนั้นแก่นาง จึงทำให้พระนางจันทาโกรธและได้ตัดสัมพันธ์ความเป็นมิตรสหายกันตั้งแต่บัดนั้น หลังจากนั้นพระนางพิมพาได้ประสูติโอรสชาย คือ ท้าวขูลู และพระนางจันทาได้ประสูติธิดา คือ นางฮั้วเคียม

กาลเวลาผ่านไปท้าวขูลูได้มีโอกาสไปพบเห็นนางฮั้วเคียมจึงตกหลุมรักกลับมาอ้อนวอนให้ มารดาตนไปขอนางอั้วเคียมให้แก่ตน มารดาก็ได้ทำตามที่ท้าวขูลูขอต้องการเมื่อพระนางพิมพากาสีแห่ขบวนขันหมากไปสู่ขอนางอั้ว พระนางพิมพาปฏิเสธและไม่ยอมรับท้าวขูลู แต่กลับไปยอมรับและจะมอบนางฮั้วเคียมให้แต่งงานกับขุนลาง ซึ่งเป็นกษัตริย์เมืองของภูเขาก่ำแทน

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ท้าวขูลูนั้นโศกเศร้าเสียใจพร้อมกับนางอั้วเคียมเช่นกัน ทั้งสองคนจึงลักลอบคบหากัน มารดานางอั้วทราบข่าวจึงได้ต่อว่านางอั้วอย่างเสียหาย นางอั้วเสียใจจึงได้ทำการผูกคอตาย เมื่อท้าวขูลูทราบข่าวว่านางอั้วเคียมผูกคอตาย ตนได้ใช้พระขรรค์แทงพระศอตนตามไปด้วย ส่วนขุนลางก็ได้ถูกธรณีสูบตายด้วยเช่นกัน

จากนิทานเรื่องท้าวขูลู นางอั้วเคียมจะเห็นเป็นเรื่องของรักสามเศร้า คือ ชาย 2 หญิง 1 ซึ่งเป็นความรักที่ไม่สมหวังและเกิดโศกนาฏกรรมในที่สุด (ธวัช ปุณโณทก, 2537)

จากนิทานเรื่อง ท้าวบางเจียง นางมะโรง ของแขวงจำปาสักประเทศลาว และนิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม ของประเทศไทยภาคอีสาน พบว่า ตัวเอกในเรื่องมีวิชีวิตเป็นไปตามเค้าโครงที่เป็นแบบแผนอย่างเดียวกันมีลักษณะร่วมเหตุการณ์ของตัวละครในนิทาน ดังนี้

1. สองตระกูลผูกมิตรกัน

  • นิทานเรื่อง ทาวบางเจียง นางมะโรง : พระยาโพนทองกับบางฮองผูกมิตรกันและได้ทำการสัญญาจะยกลูกที่เกิดมาต่างเพศให้แต่งงานกัน คือ นางมะโรง และท้าวบาเจียง

  • นิทานเรื่องท้าวขูลู นางอั้วเคียม: พระนางพิมพากาสี พระนางจันทา ผูกมิตรกันและได้ทำการสัญญาจะยกลูกที่เกิดมาต่างเพศให้แต่งงานกัน ท้าวขูลู และนางอั้วเคียม

2. เกิดปมขัดแย้งระหว่างสองครอบครัว

  • นิทานเรื่อง ทาวบางเจียง นางมะโรง: นางมะโรงหนีจากเมืองเพื่อไปรออินทะปะถาที่ภูนางนอน ทำให้บางฮองเสียใจและอาฆาตแค้นนางมะโรงกับพระยาโพนทอง

  • นิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม: พระนางจันทาไม่พอใจพระนางพิมพากาสีที่พระนางไม่ให้ตนกินส้มที่ทำให้ตัดขาดความสัมพันธ์กันตั้งแต่บัดนั้น

3. ตัวเอกของเรื่องผิดหวังจากความรัก

  • นิทานเรื่อง ทาวบางเจียง นางมะโรง: นางมะโรงหนีไปรอท้าวอินทะปะถาที่ภูนางนอนทำให้ท้าวบาเจียงผิดหวังจากความรัก

  • นิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม: พระนางจันทามารดาของนางอั้วเคียมกีดกันไม่ให้นางอั้วแต่งงานกับท้าวขูลูและคิดจะมอบนางฮั้วเคียมให้แต่งงานกับขุนลางท้าวขูลูจึงเสียใจมาก

4. โศกนาฏกรรมรักสามเส้า

นิทานเรื่อง ทาวบางเจียง นางมะโรง: ท้าวบาเจียงผิดหวังที่นางมะโรงหนีไปกับท้าวอินทะปะถาจึงได้แกว่งพระขรรค์ถูกตนเองตาย นางมะโรงรออินทะปะถาจนเวลาล่วงเลยไปจึงเข้าใจว่าท้าวอินทะปะถาทอดทิ้งตนและเป็นคนไม่มีสัจจะ ส่วนท้าวอินถะปะถาเมื่อทราบข่าวว่านางมะโรงตายก็ตรอมใจตายเช่นกัน

นิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม: ทั้งสองคนจึงลักลอบคบหากัน มารดานางอั้วทราบข่าวจึงได้ต่อว่านางอั้วอย่างเสียหาย นางอั้วเสียใจจึงได้ทำการผูกคอตาย เมื่อท้าวขูลูทราบข่าวว่านางอั้วเคียมผูกคอตาย ตนได้ใช้พระขรรค์แทงพระศอตนตามไปด้วย ส่วนขุนลางก็ได้ถูกธรณีสูบตายด้วยเช่นกัน

จากการศึกษานิทานเรื่อง ท้าวบางเจียง นางมะโรง ของแขวงจำปาสักประเทศลาว และนิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม ของประเทศไทย ภาคอีสาน จึงพบว่า แก่นเรื่องของนิทานพื้นบ้านทั้งสองเรื่องนี้ คือ “ความรักที่ไม่สมหวัง”

ผู้เขียนจึงได้เลือกนำแก่นเรื่องของเหตุการณ์รักสามเส้า ของนิทานเรื่อง ทาวบางเจียง นางมะโรง และท้าวอินทปะถามาประพันธ์กลอนลำ บทโศกทำนองขอนแก่น ส่วนเหตุการณ์รักสามเส้าของนิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม ของไทยอีสานมีคณะหมอลำเรื่องต่อกลอนหลายคณะได้ทำการประพันธ์และจัดแสดงแล้ว

สาเหตุที่ผู้เขียนเลือกบทโศกหรือฉากเหตุการณ์ผิดหวังมาประพันธ์กลอนลำทำนองขอนแก่นนั้น ก็เป็นเพราะว่า บทโศกเป็นบทลำที่สะเทือนขวัญและมีสุนทรียรส “สัลลาปังคพิสัย” ที่นับได้ว่าเป็นสุดยอดของฉากเรียกน้ำตาของการลำเรื่องต่อกลอนทำนองขอนแก่น และหากวรรณกรรมร้อยแก้วถูกเลือกสรรมาประพันธ์เป็นบทกลอนแล้วก็ยิ่งจะทำให้เกิดสุนทรียเพิ่มขึ้นและสามารถเข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้เป็นอย่างดี ทำให้วรรณกรรมนิทานพื้นบ้านได้รับความนิยมและคนยุคปัจจุบันสามารถจดจำชื่อเรื่องของนิทานเรื่องนั้นได้ ทั้งที่เคยได้ยินหรือที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ตาม


ประพันธ์กลอนลำทำนองขอนแก่นโดยผู้เขียน

  • กลอนลำท้าวบาเจียง

(ท้าวบาเจียงเสียใจที่นางมะโรงหนีไปกับท้าวอินทะปะถา)

บุญผลาบาเจียงท้าว ได้เงาขมมาเคียงย่าง

ความฮักพังมุ่นม้าง นำนางน้องชื่อมะโรง

น้ำตาตกไหลโฟ่ง นางมะโรงมาไลหนี

บาเจียงช้ำชีวี เลวหรือดีบ่ไขแจ้ง

เฝ้าเพียรฮักหนาวจนแล้ง แพงดั่งตาน้องคำพี่

หากว่าหลุดวลี มีผู้ดีเคียงคู่ซ้อน ยังทันต้อน ถ้อนฮักคืน

  • กลอนลำนางมะโรง

(นางมะโรงเสียใจที่ท้าวอินทะปะถาไปม่จริงใจกับตน)


ญอดวงใจใส่พานตั้ง คู่บัลลังก์พระองค์พี่

อินถะปะถากษัตริย์ศรี บารมีกึกก้องนครกว้างลือทั่วแดน

มะโรงนางอุกอั่งแค้น บ้าเลาะแล่นเลียบริมผา

เป็นหยังองค์กษัตริย์ตรา ผิดวาจาสัญญาน้อง

น้ำตานองคองคอยถ้า นอนฝันหาอ้ายสู่ค่ำ

เฮ็ดจั่งใดใจเถิงดำ บ่คึดนำผู้คองเจ้า พระอวนอ้ายหน่ายมะโรง…แล้วบ่


  • กลอนลำท้าวอินทะปะถา

(ท้าวอินทะปะถาเสียใจที่ตามหานางมะโรงไม่พบ)


ผีบังตาหรือเวรต้อง จั่งแนมส่องบ่เห็นไผ

หรือมะโรงน้องลืมไว คึดเปลี่ยนใจคืนเมืองแล้ว

แพงดั่งตาห่วงดั่งแก้ว บ่มีแนวเทียมจักอย่าง

ดินบ่ปิ้นป่าบ่ฮ้าง สิบุกม้างฮื้อป่าแปน…จนว่าพ้อ

สรุป

จากการศึกษาเรื่อง ท้าวบาเจียง นางมะโรง: วิเคราะห์ความสัมพันธ์เหตุการณ์รักสามเส้าระหว่างนิทานลาว แขวงจำปาสัก และไทยอีสานสู่การประพันธ์กลอนลำบทโศกทำนองขอนแก่น พบว่า ตัวเอกในเรื่องมีวิชีวิตเป็นไปตามเค้าโครงที่เป็นแบบแผนอย่างเดียวกันมีลักษณะร่วมเหตุการณ์ของตัวละครในนิทาน ได้แก่ 1. สองตระกูลผูกมิตรกัน 2. เกิดปมขัดแย้งระหว่างสองครอบครัว 3. ตัวเอกของเรื่องผิดหวังจากความรัก และ 4. โศกนาฏกรรมรักสามเส้า ดังนั้นจากการศึกษานิทานเรื่อง ท้าวบางเจียง นางมะโรง ของแขวงจำปาสักประเทศลาว และนิทานเรื่องท้าวขูลูนางอั้วเคียม ของประเทศไทย ภาคอีสาน จึงพบว่า แก่นเรื่องของนิทานพื้นบ้านทั้งสองเรื่องนี้ คือ “ความรักที่ไม่สมหวัง”

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ลักษณะเด่นของวรรณกรรมพื้นบ้านมักจะมีลักษณะร่วมเหตุการณ์ของตัวละครที่เหมือนกันเพราะนิทานบางเรื่องมักนำเรื่องราวมาจากวิถีชีวิตของมนุษย์ อาจเป็นจริงบางส่วนหรือมีอนุภาคที่พิสดารบางส่วนก็ได้ ดังนั้น นิทานลาวไทยจึงมีลักษณะร่วมเหตุณ์การของตัวละครตรงกันหลายตอนเช่นเดียวกับ ท้าวบาเจียง นางมะโรง ของประเทศลาว และ ท้าวขูลู นางอั้วคำ ของไทยอีสาน ประเทศไทย

ส่วนกลอนลำที่ผู้เขียนประพันธ์ขึ้นได้แก่ กลอนลำท้าวบาเจียง (ท้าวบาเจียงเสียใจที่นางมะโรงหนีไปกับท้าวอินทะปะถา) กลอนลำนางมะโรง (นางมะโรงเสียใจที่ท้าวอินทะปะถาไปไม่จริงใจกับตน) และ กลอนลำท้าวอินทะปะถา (ท้าวอินทะปะถาเสียใจที่ตามหานางมะโรงไม่พบ)สาเหตุที่ผู้เขียนเลือกบทโศกหรือฉากเหตุการณ์ผิดหวังมาประพันธ์กลอนลำทำนองขอนแก่นนั้น ก็เป็นเพราะว่า บทโศกเป็นบทลำที่สะเทือนขวัญและมีสุนทรียรส “สัลลาปังคพิสัย” ที่นับได้ว่าเป็นสุดยอดของฉากเรียกน้ำตาของการลำเรื่องต่อกลอนทำนองขอนแก่น และหากวรรณกรรมร้อยแก้วถูกเลือกสรรมาประพันธ์เป็นบทกลอนแล้วก็ยิ่งจะทำให้เกิดสุนทรียเพิ่มขึ้นและสามารถเข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้เป็นอย่างดี ทำให้วรรณกรรมนิทานพื้นบ้านได้รับความนิยมและคนยุคปัจจุบันสามารถจดจำชื่อเรื่องของนิทานเรื่องนั้นได้ ทั้งที่เคยได้ยินหรือที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ตาม

เอกสารอ้างอิง
  • ธวัช ปุณโณทก. (2537). วรรณกรรมภาคอีสาน. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยราคำแหง.

  • นิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์. (2543). ไทยลาว-อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. (ม.ป.ท.).

  • พูสัง กิ่งลัดตะนา. (2558). ท้าวบาเจียง-นางมะโรง. แขวงจำปาสัก. ยูเนสโก้.

  • ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ. ราชบัณฑิตยสถาน.

  • เสาวลักษณ์ อนันตศานต์. (2554). ตำนานพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • _________. (2548). ตำนานพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยราคำแหง.



Comments


bottom of page