top of page

วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนางเพื่อหาความสัมพันธ์เรื่อง โศกนาฏกรรมเหตุการณ์ของนิทานลาวไทย
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย.(2563).การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมเหตุการณ์ของนิทานลาวไทย การประชุม วิชาการระดับชาติและนานาชาติ“ศิลปกรรมวิจัย” ประจำปี 2563.(วันที่28 สิงหาคม 2563 โลกเปลี่ยนศิลป์เปลี่ยนโลก ณ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) 

บทคัดย่อ

การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมเหตุการณ์ของนิทานลาวไทยพบว่า วรรณกรรมท้องถิ่นประจำหลวงพระบางของลาว เรื่องภูท้าว ภูนาง (พุทธเสน กับนางกางฮี) มีโครงเรื่องโศกนาฏกรรมคล้ายกันกับนิทานเรื่องพระรถ เมรีของไทย มีอนุภาคที่เหมือนกัน คือ เหตุการณ์ยักษ์เขียนสาสน์ส่งข่าวลูกสาว (เมรีหรือนางกางฮี) เหตุการณ์ พระฤษีแปลงสาสน์และเหตุการณ์โศกนาฏกรรม นอกจากนี้อนุภาคเหตุการณ์โศกนาฏกรรมยังคล้ายกับนิทานของไทยเรื่องพระอภัยมณีของไทย ตอนเหตุการณ์พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรอีกด้วย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ไทยและลาวมีความสัมพันธ์ตั้งแต่อดีตดังปรากฏจากหลักฐานจากจิตรกรรมฝาผนังที่จารึกความเก่าแก่ของภาษาลาว และประวัติศาสตร์การเกิดของวัฒนธรรมล้านช้างจึงทำให้ด้านสังคม ศิลปะและวัฒนธรรมมีความคล้ายคลึงและใช้ร่วมกัน


บทนำ

วรรณกรรมที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คือ นิทานพื้นบ้านซึ่งนิทานพื้นบ้าน หมายถึง นิทานที่มีฉากตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากปัญญาและจินตนาการของมนุษย์และเล่าถ่ายทอดทางวาจา (นุชนาถ เหละดุวี, 2537) นิทานพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชุมชนและเป็นเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมา การศึกษานิทานพื้นบ้านจึงทำให้สามารถเข้าใจในสภาพแวดล้อมวิถีชีวิต ความเชื่อ ค่านิยม และเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติด้านหนึ่งด้วย ช่วยให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยอธิบายความหมาย ช่วยตีความค่านิยมของสังคม (เสาวลักษณ์ อนันตศานต์, 2530)

นิทานเหล่านี้นอกจากจะอธิบายความเป็นมาของท้องถิ่นแล้ว แม้โครงเรื่องยังเป็นแนวปาฏิหาริย์ นิทานมหัศจรรย์ในภาคอีสานได้สืบทอดวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงจากล้านช้าง ได้แก่ วรรณกรรมตัวอักษร และจารีตประเพณี ก่อนที่จะรับวัฒนธรรมการเขียนหนังสือจากภาคกลาง ด้วยเหตุนี้นิทานพื้นบ้านอีสานและลาวจึงเหมือนกัน แต่ปรากฏชื่อสถานที่ในท้องถิ่นจริงๆ หรือมีโบราณสถานจริง เช่น เรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ท้าวปาจิต-นางอรพิมพ์ อุสาบารส ท้าวคัชนาม และภูท้าว ภูนาง (ธวัช ปุณโณทก, 2525) โดยส่วนใหญ่แล้วนิทานพื้นบ้านมักมีโครงเรื่องที่คล้ายหรือเหมือนกัน และยังพบว่ามีนิทานบางเรื่องแม้จะอยู่คนละสถานที่ก็ยังมีโครงเรื่องหลักและอนุภาคของนิทานที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันด้วย เช่น นิทานพื้นบ้านเรื่องภูท้าว ภูนาง พระรถเสน กันนางกางฮี ของหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางสิบสอง พระรถ เมรี ของประเทศไทย ซึ่งนิทานทั้งสองเรื่องนี้มี อนุภาคย่อยหลายตอนที่เหมือนกัน อนุภาค (motif) คือ องค์ประกอบเล็ก ๆ ในนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษจนทำให้เกิดการจดจำและเล่าสืบทอดต่อกันมา องค์ประกอบที่จัดเป็นอนุภาคเป็นได้ทั้งตัวละคร วัตถุ/สิ่งของ และเหตุการณ์/พฤติกรรม (ประคอง นิมมานเหมินท์, 2543)

จากการลงพื้นที่ศึกษาดูงานด้านศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม ณ นครหลวงเวียงจันทน์ และเมืองหลวงพระบาง ระหว่างวันที่ 21-25 พฤศจิกายน 2561 ผู้เขียนได้เห็นภาพภูมิทัศน์ของเมืองหลวงพระบางที่เปลี่ยนไปตามสังคม ได้แก่ สถาปัตยกรรม และอุตสาหกรรมด้านต่างๆ ถึงแม้สังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ยังมีสถานที่คงความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ก็ คือ ภูท้าว ภูนาง ที่ยังคงความเขียวขจีไปด้วยต้นไม้เต็มภูเขาเพราะชาวบ้านหลวงพระบางให้ความสำคัญกับภูเขาทั้งสองลูกนี้มาตั้งแต่ก่อตั้งเมืองหลวงพระบาง ดังนั้นคนหลวงพระบางถึงให้ความเคารพและยำเกรงไม่กล้าไปตัดไม้หรือล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนแห่งภูเขานี้โดยเด็ดขาดเพราะเนื่องด้วยมีตำนานอันเก่าแก่ที่เล่าขานสืบต่อกันมานั่นเอง

ผู้เขียนจึงสนใจศึกษาการวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมเหตุการณ์ของนิทานลาวไทย เพื่ออยากทราบว่าวรรณกรรมเรื่องใดของไทยบ้างที่มีโครงเรื่อง และเรื่องโศกนาฏกรรมเหตุการณ์เหมือนหรือคล้ายกับนิทานท้องถิ่นภูท้าว ภูนางของเมืองหลวงพระบาง เพื่อจะได้ทราบถึงประวัติศาสตร์ของวรรณกรรมว่ามีจุดกำเนิดมาจากที่ได้เพื่อจะได้เป็นแนวทางให้ผู้สนใจในวรรณกรรมได้ศึกษาค้นคว้าและบันทึกไว้เป็นหลักฐานของชาติต่อไป

วัตถุประสงค์

เพื่อวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมเหตุการณ์ของนิทานลาวไทย

วิธีดำเนินการศึกษาวิจัย

การศึกษาบทความเรื่อง วิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมเหตุการณ์ของนิทานลาวไทยในช่วงลงพื้นที่ศึกษาดูงานด้านศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม ณ นครหลวงเวียงจันทน์ และเมืองหลวงพระบาง ระหว่างวันที่ 21-25 พฤศจิกายน 2561 ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

1. ประชากรกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษาในการศึกษาครั้งนี้ คือ กลุ่มผู้รู้ด้านประวัติเรื่องภูท้าวภูนาง

2. ศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้อ้างผลการศึกษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมนิทาน ความรู้เกี่ยวกับโครงเรื่อง และอนุภาคนิทานพื้นบ้าน และแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

3. ศึกษารวบรวมข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เพื่อสังเกตสภาพทั่วของเมืองหลวงพระบางในภารรวม และแบบสัมภาษณ์ชนิดไม่มีโครงสร้าง เพื่อสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการที่เป็นผู้รู้เกี่ยวกับตำนานเมืองหลวงพระบางและภูท้าว ภูนาง

4. การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลข้อมูลโดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากศึกษาเอกสาร การสังเกต การสัมภาษณ์ และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์

ผลการศึกษา

ก่อนจะกล่าวถึงการวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมนิทานลาวไทย ผู้เขียนขอกล่าวถึงข้อมูลเกี่ยวกับวรรณกรรมท้องถิ่นประเภทนิทานก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจก่อนเข้าสู่การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบางเรื่องภูท้าวภูนางต่อไป

คำว่า วรรณกรรม หมายถึง งานหนังสือ งานประพันธ์ บทประพันธ์ทุกชนิด ทั้งที่เป็นร้อยแล้วและร้อยกรอง (ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, 2530) หากวรรณกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นที่ใดก็จะเรียกวรรณกรรมตามสถานที่พบเห็น เช่น หากพบวรรณกรรมอยู่ท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งก็จะเรียกว่าวรรณกรรมนั้นว่า “วรรณกรรมท้องถิ่น” วรรณกรรมท้องถิ่น หมายรวมถึงวรรณกรรมลายลักษณ์หรือมุขปาฐะ ที่ปรากฏอยู่ในท้องถิ่นแตกต่างกันไปจากวรรณกรรมแบบฉบับหรือวรรณคดีของประเทศ วรรณกรรมท้องถิ่นนั้น เกิดขึ้นด้วย ภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น และมีคนในท้องถิ่นนั้นเองเป็นผู้อนุรักษ์ รูปแบบของวรรณกรรมท้องถิ่น มักจะเป็นไปตามความนิยมของท้องถิ่นนั้น ๆ (ธวัช ปุณโณทก, 2525) วรรณกรรมท้องถิ่นได้สะท้อนภาพสังคมชาวบ้าน หรือวิถีชีวิตชาวบ้าน เหมือนกระจกเงาสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและสิ่งแวดล้อมตามที่กวีหรือผู้แต่งรู้เห็น (ประพันธ์ เรืองณรงค์ และเสาวลักษณ์ อนันตศานต์, 2545)

วรรณกรรมท้องถิ่นของไทยสามารถแบ่งออกเป็นเป็นประเภทหลายลักษณะได้แก่ แบ่งตามลักษณะรูปแบบวรรณกรรม คือ วรรณกรรมร้อยแก้ว เป็นเรื่องเล่าหรือบันทึกด้วยภาษาที่ไม่มีลักษณะบังคับใด ๆ ไม่มีคณะสัมผัส ฯลฯ วรรณกรรมร้อยกรอง เป็นเรื่องราวหรือบันทึกด้วยภาษาที่จำกัดตามลักษณะคำประพันธ์ มีคณะสัมผัส ฯลฯ และ แบ่งตามลักษณะการถ่ายทอด คือ วรรณกรรมลายลักษณ์ เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะมาก่อน แล้วได้รับการบันทึกเป็นตัวอักษรและมีการสืบทอดด้วยการอ่านวรรณกรรมมุขปาฐะ เป็นวรรณกรรมที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมา ด้วยการบอกเล่าจดจำ ไม่มีการบันทึกหรือถ่ายทอดไว้เป็นเรื่องราวหรือสัญลักษณ์ เรื่องราวใดที่มีอยู่นานก็แสดงว่าเรื่องราวนั้นมีผู้นิยมมาก เช่น ปริศนาคำทาย ภาษิตสำนวน เรื่องเล่า ตำนาน นิทาน เป็นต้น (ประคอง เจริญจิตรกรรม, 2535)

วรรณกรรมที่ได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คือ นิทานพื้นบ้าน ซึ่งนิทานพื้นบ้าน หมายถึง นิทานที่มีฉากตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากปัญญาและจินตนาการของมนุษย์และเล่าถ่ายทอดทางวาจา (นุชนาถ เหละดุวี, 2537) นิทานพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชุมชนและเป็นเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมา การศึกษานิทานพื้นบ้านจึงทำให้สามารถเข้าใจในสภาพแวดล้อมวิถีชีวิต ความเชื่อ ค่านิยม และเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติด้านหนึ่งด้วย ช่วยให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยอธิบายความหมาย ช่วยตีความค่านิยมของสังคม (เสาวลักษณ์ อนันตศานต์, 2530) นิทานพื้นบ้านเป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาปากต่อปาก แต่ปัจจุบันได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เนื้อหาวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานแบ่งอธิบายออกเป็นส่วน ๆ ได้แก่ 1) โครงเรื่อง เป็นโครงเรื่องนิทานเพาะถิ่นออกแนวเรื่องจักรๆวงศ์ๆ มีพระราชามเหสี พระราชโอรสพระธิดา พลัดพรากเมือง พบกัน และกลับเมือง 2) ตัวละคร ตัวเอก พระราชา พระมเหสี กลุ่มบริวารที่เป็นมนุษย์ และอมนุษย์ 3) แก่นเรื่อง กฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา และ 4) ฉาก ธรรมชาติ ต้นไม้ ภูเขา ดังนั้นนิทานพื้นบ้านมักเป็นเรื่องราวที่บุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ แต่งขึ้นและเล่าสืบต่อกันมา โดยมีการสอดแทรกคุณธรรม ความเชื่อ และค่านิยมของแต่ละท้องถิ่น เพื่อสั่งสอนให้คนทำความดี แต่เดิมนิทานพื้นบ้านจะเป็นวรรณกรรมแบบมุขปาฐะ แต่ต่อมาในระยะหลังๆ มีการจดบันทึกเอาไว้ด้วย นิทานพื้นบ้านมีความสำคัญในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม ที่ถ่ายทอดเรื่องราววิถีชีวิต วัฒนธรรมคติธรรมและค่านิยมของแต่ละท้องถิ่นผ่านทางเนื้อเรื่องและตัวละคร ตำนานและนิทานเบ็ดเตล็ด (ขวัญชนก นัยจรัญ, 2557)

นิทานเหล่านี้นอกจากจะอธิบายความเป็นมาของท้องถิ่นแล้ว แม้โครงเรื่องยังเป็นแนวปาฏิหาริย์ นิทานมหัศจรรย์ในภาคอีสานได้สืบทอดวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงจากล้านช้าง ได้แก่ วรรณกรรมตัวอักษร และจารีตประเพณี ก่อนที่จะรับวัฒนธรรมการเขียนหนังสือจากภาคกลาง ด้วยเหตุนี้นิทานพื้นบ้านอีสานและลาวจึงเหมือนกัน แต่ปรากฏชื่อสถานที่ในท้องถิ่นจริงๆ หรือมีโบราณสถานจริง เช่น เรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ท้าวปาจิต-นางอรพิมพ์ อุสาบารส ท้าวคัชนาม และภูท้าว ภูนาง (ธวัช ปุณโณทก, 2525) โดยส่วนใหญ่แล้วนิทานพื้นบ้านมักมีโครงเรื่องที่คล้ายหรือเหมือนกัน และยังพบว่ามีนิทานบางเรื่องแม้จะอยู่คนละสถานที่ก็ยังมีโครงเรื่องหลักและอนุภาคของนิทานที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันด้วยเช่น นิทานพื้นบ้านเรื่องภูท้าว ภูนาง พระรถเสน กันนางกางฮี ของหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางสิบสอง พระรถ เมรี ของประเทศไทย ซึ่งนิทานทั้งสองเรื่องนี้มี อนุภาคเหตุการณ์ที่เหมือนกัน อนุภาค (motif) คือ องค์ประกอบเล็กๆ ในนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษจนทำให้เกิดการจดจำและเล่าสืบทอดต่อกันมา องค์ประกอบที่จัดเป็นอนุภาคเป็นได้ทั้งตัวละคร วัตถุ/สิ่งของ และเหตุการณ์/พฤติกรรม (ประคอง นิมมานเหมินท์, 2543)

สาเหตุที่อนุภาคนิทานของลาวและไทยมีลักษณะที่เหมือนกันอาจต้องกลับไปย้อนดูอดีตว่าเพราะเหตุใด ซึ่งจากหลักฐานในอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรล้านช้างในยุคอดีต จนกระทั่งสมัยอยุธยาดินแดนอีสานจึงได้ตกมาเป็นประเทศราชของไทยและถูกผนวกเข้ากับประเทศไทยในปัจจุบัน อีสานของไทยและลาวจึงมีความสัพพันธ์กันทางด้านชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ซึ่งในอดีตอาณาจักรล้านช้างมีศิลปวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะด้านวรรณกรรม ได้แก่ ท้าวอุ่งหรือท้าวเจือง สินไซ กาละเกด รวมไปถึงนิทานเรื่องภูท้าว ภูนาง ที่เป็นนิทานประจำถิ่นหลวงพระบางด้วย (จารุวรรณ เชาว์นวม, 2542) ซึ่งชาวลาวในเมืองหลวงพระบาง เป็นชนเผ่าที่เรียกว่า "กาว" เดิมเมืองนี้ชื่อ "ชวา" การที่เรียกว่า "หลวงพระบาง" นั้น เป็นเพราะเมืองดังกล่าวเป็นเมืองหลวงของลาวในยุคก่อน จึงได้ชื่อว่า"เมืองหลวง" และการที่มีพระพุทธรูปยืนชื่อ "พระบาง" เป็นสัญลักษณ์ของเมือง จึงรวมชื่อเป็น "เมืองหลวงพระบาง" ชนเผ่ากาวนี้ส่วนใหญ่ปัจจุบันอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของลาว ได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตามริมแม่น้ำโขงและหลายหมู่บ้านในเขตจังหวัด เชียงราย โดยรวมกันอยู่เป็นจำนวนมากที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ และอพยพเข้ามาก่อนกรณีพิพาทอินโดจีนหลายสิบปี แต่เป็นจำนวนน้อย การอพยพครั้งที่สองเมื่อกรณีพิพาทระหว่างไทย-อินโดจีน และครั้งหลังเมื่อประเทศลาวประกาศเป็นประเทศอิสรภาพและยกกำลังเข้าต่อสู้ ฝรั่งเศสแต่ปราชัยลง ชาวลาวดังกล่าวได้พากันอพยพเข้ามาเขตไทยเป็นจำนวนมาก ถิ่นที่อยู่เดิม คือ บริเวณเมือง"ศรีสตนาคนหุต" หลวงพระบาง หรือ "แคว้นล้านช้างร่มขาว" เมืองหลวงพระบางเคยเป็นนครหลวงของลาว มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองมะม่วงรู้หาว มะนาวรู้โห่"

เมืองหลวงพระบาง ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายติดฝั่งแม่น้ำโขง มีแม่น้ำคานไหลลงบรรจบแม่น้ำโขงตอนเหนือเมือง ณ ปากน้ำตรงนั้นมีวัดโบราณของลาว คือ วัดเชียงทอง ภายหลังลาวแบ่งแยกออกเป็นหลายภาค หลวงพระบางเป็นเมืองหลวงของลาวภาคเหนือ ตามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้เวียงจันทน์เป็นเมืองหลวง เมืองหลวงพระบางยังเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ ซึ่งประชาชนเรียกองค์ท่านว่า “สมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตแห่งพระราชอาณาจักรลาว” ภูมิประเทศในแคว้นลาวเหนือนี้ เป็นภูเขาล้อมรอบ หาที่ราบได้ยากแม้แต่กลางเมืองหลวงพระบางเองก็มีภูเขาชื่อพูสีอยู่กลางเมือง เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่นำมาบำรุงเลี้ยงชาวหลวงพระบาง จึงได้มาจากไร่ทั้งสิ้น ในอดีตมีผืนนาอยู่แห่งเดียวเป็นของพระเจ้าแผ่นดินหลวงพระบางเรียกว่า "นาหลวง" ตามปรกติ ข้าว เกลือ เสื้อผ้า ไม้ขีดไฟ น้ำมัน เป็นสินค้าขาเข้าของเมืองนี้ ชาวเมืองหลวงพระบางขอบตั้งหมู่บ้าน อยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำ เพราะชอบค้าขายทางน้ำ และหาสัตว์น้ำขาย เช่น ปลา เป็นพวกที่ชำนาญทางว่ายและดำน้ำ ตัวเมืองล้อมรอบไปด้วยภูเขา ที่กลางใจเมือง มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งชื่อพูสี บนเขาลูกนั้นมีสถูปเจดีย์และรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่ในศาลา (หลวงพระบาง, 2555: เว็บไซต์) และบริเวณรอบเมืองหลวงพระบางมีภูที่สำคัญที่เป็นต้นเค้าวรรณกรรมประจำถิ่นหลวงพระบาง คือ ภูท้าว ภูนาง


เนื้อเรื่องย่อนิทานพื้นบ้านลาว-ไทย


นิทานพื้นบ้านประจำถิ่นหลวงพระบาง เรื่อง ภูท้าว ภูนาง

กล่าวถึง บิดาของนางกางฮีเป็นยักษ์ วันหนึ่งได้แปลงกายเป็นมนุษย์และออกเดินเที่ยวป่าจนไปพบกับเจ้าพุทธเสน บิดาของนางกางฮีอยากให้นางได้ลิ้มรสชาติของมนุษย์จึงได้ลวงพุทธเสนให้ไปเมืองของตนและได้เขียนจนหมายปิดผนึกให้กับเจ้าพุทธเสนเพื่อนำไปให้นางกางฮี เจ้าพุทธเสนจึงเอาจดหมายผูกเชือกคล้องคอเดินไปถึงผาตัดแก้ จึงเกิดเมื่อยล้าและได้นอนหลับไป ในระหว่างนั้นเทวดาได้ลงมาเปิดจดหมายอ่านจึงเกิดสงสารที่เจ้าพุทธเสนจะถูกลวงไปฆ่าเทวดาจึงได้แปลงเนื้อความจดหมาย เจ้าพุทธเสนตื่นจากการหลับแล้วได้เดินทางต่อจนไปถึงสวนแถน ได้เจอมะนาวพูดได้พร้อมกับได้พบกับนางกางฮี จึงได้มอบจดหมายที่พ่อของนางฝากมาให้แก่นาง ทั้งสองจึงได้อยู่ครองราชย์สมบัติร่วมกันเมื่อสิ้นชีพจึงได้กลายเป็นภูเขาทั้งสองลูกคือ ภูท้าว และภูนาง (พระรถ-เมรีที่หลวงพระบาง, 2548: เว็บไซต์)

ภาพประกอบที่ 1 ภาพภูท้าวที่หลวงพระบาง ร่างของ พุทเสนในวรรณกรรมนิทานเรื่องภูท้าวภูนาง

ภาพประกอบที่ 2 ภาพภูนางที่หลวงพระบาง ร่างของนางกางฮี ในวรรณกรรมนิทานเรื่องภูท้าวภูนาง


นิทานพื้นบ้านประจำถิ่นไทย เรื่อง นางสิบสอง-พระรถเมรี

กล่าวถึงท้าวนนทเศรษฐี ไม่มีบุตรธิดา จึงได้เข้าไปนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยนำกล้วย 12 ผลไปถวายพระพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาอนาคตขอให้มีบุตรธิดาเป็นจำนวนมาก อยู่มาไม่นานภรรยาก็ได้ตั้งครรภ์ และได้คลอดธิดาออกมาสิบสองคน ต่อมาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ก็ค่อย ๆ หมดไป นนทเศรษฐีกลับกลายเป็นคนจนยากจนเข็ญใจ ด้วยเหตุนี้เศรษฐีโกรธจึงพาธิดาทั้งหมดไปปล่อยไว้ในป่านางทั้งสิบสองหลงในป่าได้พบนางยักษ์ชื่อสนธมาร วันหนึ่งนางสิบสองเห็นนางยักษ์กินเนื้อมนุษย์อยู่จึงเกิดความกลัววิ่งหนีไปหลบอยู่ในต้นไทรใหญ่แต่นางยักษ์ตามหาไม่พบ ขณะนั้นพระเจ้ารถสิทธิ์ ได้พบนางทั้งสิบสองแล้วพาทั้งสิบสองไปเป็นมเหสี อยู่มาวันหนึ่งนางยักษ์รู้ว่านางสิบสองอยู่กับพระรถสิทธิ์จึงใช้เวทมนต์ทำให้พระรถสิทธิ์หลงรักและใช้กลอุบายทำลายนางสิบสองจนกระทั้งได้ถูกควักลูกตาแต่ด้วยบุญยังมีจึงทำให้น้องสุดท้องยังเหลือตาอีกข้าง ทั้งหมดสิบสองนางได้คลอดลูกพร้อม แต่ด้วยความหิวจึงกินลูกตนเอง มีแต่น้องคนสุดท้องที่ไม่กิน เด็กคนนี้ชื่อว่ารถเสน ทุกวันรถเสนจะหาข้าวปลามาให้ป้าและแม่กิน พระอินได้เนรมิตไก่ให้รถเสนไว้ตัวหนึ่ง รถสนถึงได้นำไก่ไปท้าชนเพื่อแลกข้าวมาให้แม่และป้ากิน พระรถสิทธิ์ท้าแข่งชนไก่กับรถเสนและรถเสนได้ชัยชนะได้ข้าวไปสิบสองห่อไปให้ป้ากับแม่กิน ต่อมาพระองค์ได้รู้ว่ารถเสนเป็นบุตรของตนและในขณะนั้นนางยักษ์ก็ทราบเรื่องนี้ด้วย จึงออกอุบายเขียนสารขึ้นประกาศให้คนนำสารไปให้ลูกสาวชื่อเมรีที่เมืองยักษ์ รถเสนรับอาสานำสารไปให้นางเมรี ข้อความในจดหมายกล่าวว่า “เจ้ากังรี (เมรี) ลูกรัก แม่ส่งภาพคือรถเสนกุมารให้เจ้า ถ้ามาถึงกลางวันก็จงกินกลางวัน ถ้าถึงกลางคืนก็จงกินกลางคืนเถิด” แล้วพระรถจึงเอาสารผูกคอม้าแล้วขี่ไป จึงไปหยุดพักที่ อาศรพระฤษี เมื่อพระฤษีได้อ่านจึงได้ทำการแปลงหนังสือให้ เมื่อพระรถเสนมาถึงนางกังรีก็ได้เกิดความรักพระรถเสนและได้จัดการอภิเษกตามมารดาสั่งความมา

เวลาผ่านไปพระรถเสนคิดถึงมารดาจึงหาทางออกอุบายเอาดวงตาคืน จึงได้ทำการมอมเหล้านางกังรี และนางกังรีได้บอกความลับสถานที่ซ่อนดวงตาและห่อยาทิพย์ให้แก่พระรถเสนฟังทั้งหมด พระรถเสนจึงได้โปรยหอยา จนเกิดเป็นภูเขา ป่า ลม ไฟ ฝน เมฆ และแม่น้ำขวางกั้นทางไว้ นางกังรีไม่สามารถไปถึงจึงกั้นใจตาย ด้วยความกตัญญูของพระรถเสนจึงเลือกเดินทางไปช่วยมาดาร และพระรถก็ทำได้สำเร็จ พระรถสิทธิ์รู้ความจริงว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนางสนธมาร แต่ไม่สามารถทำอะไรกับนางได้แล้วเพราะนางได้กลั้นใจตายเสียแล้ว ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สงบพระรถเสนก็ได้เป็นกษัตริย์ครองราชย์สมบัติแทนพระบิดาสืบไป(พระรถ-เมรี. (เล่ม 4), 2492)


นิทานพื้นบ้านประจำถิ่นไทย เรื่อง พระอภัยมณี ตอนพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร

กล่าวถึงพระอภัยมณีตอนพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรโดยเรื่องราวมีอยู่ว่าพระอภัยมณีคิดจะหนีจากนางผีเสื้อ แต่ก็ไม่สามารถทำได้แน่นอน จึงแกล้งทำนายความฝันว่าความฝันที่ตนฝันเป็นฝันร้ายนัก ตามตำราว่าเทวดานั้น คือ มัจจุราชหมายเอาชีวิต แล้วแกล้งทำโศกเศร้าแนะนำให้นางผีเสื้อสะเดาะเคราะห์ นางผีเสื้อก็ขอคำแนะนำว่าจะให้นางสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการอย่างใด พระอภัยจึงบอกให้นางไปอยู่ผู้เดียวที่ตีนเขา แล้วอดข้าวอดปลาให้ครบสามวัน นางผีเสื้อก็เชื่อแล้วออกไปอยู่ที่เขาใหญ่ สินสมุทรสงสารแม่ยิ่งนัก ร้องไห้อาลัยด้วยความเป็นห่วงแม่ พระบิดาจึงห้ามไม่ให้สินสมุทรตามแม่ไปเมื่อนางผีเสื้อไปแล้ว พระอภัยก็ให้สินสมุทรผลักแผ่นศิลาปิดปากถ้ำออกไปแล้วพากันไปที่หาดทราย ฝ่ายเงือกน้ำก็พาลูกเมียไปรอแล้วก็พาพระอภัยขึ้นบ่าพาไป ส่วนสินสมุทรก็ขี่หลังเมียเงือกนางผีเสื้อรู้ความแล้วก็รีบติดตามไปอย่างรีบร้อนและโกรธมาก ทำลายทุกสิ่งที่กีดขวางทางอย่างโมโหไปตลอดทาง นางผีเสื้อไล่ตามพระอภัยมณีจนถึงเกาะแก้วพิสดารแต่เข้าไม่ได้เพราะพระฤษีเสกคาถาป้องกันไว้ ฝ่ายนางผีเสื้อวิงวอนพระอภัยขอติดตามไปด้วยจนตลอดชีวิต ขอให้พระอภัยอย่าได้ตัดรอนความรักของเธอเลย พระอภัยได้ฟังก็สงสาร และได้ชี้แจงนางไปถึงความจำเป็น และเหตุผลที่ต้องหนีมา โดยบอกว่าเราเป็นคนละเผ่าพันธุ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ขอให้หักใจเสีย ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ได้พบกันใหม่อย่าได้แคล้วคลาดจากกันเหมือนชาตินี้เลย นางผีเสื้อก็พยายามอ้อนวอนทำทีว่าขอให้เห็นใจในความรักของเธอด้วย หากพระอภัยไม่เห็นใจนางๆก็จะขอลาตายแต่ขอให้พระอภัยลงมากลางน้ำนี้ก่อนเถิด ฝ่ายพระโยคีก็ช่วยพูดจาปลอบโยนและให้โอวาทนางผีเสื้อ แต่นางผีเสื้อไม่ฟัง และโกรธต่อว่าด่าทอพระโยคีด้วยคำหยาบต่าง ๆนานา ด่ารวมไปถึงเงือกสาวว่ามายุ่งเรื่องผัวเมียคนอื่น จนพระโยคีโกรธเสกทรายขว้างไป ทรายนั้นเป็นดังลูกปืนยิงยักษ์เจ็บปวดไปหมดนางผีเสื้อกลัวตัวสั่นงันงกจึงหลบออกไป (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551)


ความสัมพันธ์อนุภาคนิทานไทยลาว


นิทานท้องถิ่นเมืองหลวงพระบาง คือ ภูท้าว ภูนาง (พระรถเสน กับนางกางฮี) และนางสิบสอง ซึ่งปรากฏว่ามีโครงเรื่องคล้ายกับนางสิบสอง และพระรถ เมรี นิทานท้องถิ่นไทยเช่นกัน เรื่องราวนิทานตำนานพระรถเสน กับนางกางอีของลาวมีทั้งเป็นเรื่องเล่าชาวบ้านที่สืบต่อกันมา ตำนานพงศาวดารล้านช้าง และมีบางอนุภาคของภูท้าว ภูนาง ยังคล้ายกับนิทานเรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรด้วยเช่นกัน ผลการศึกษาความสัมพันธ์อนุภาคนิทานลาวไทย พบว่า

นิทานพระรถเสน กับนางกางฮีของหลวงพระบาง มีเหตุการณ์เรื่องโศกนาฏกรรมคตรงกับนิทานของไทย คือ เรื่องพระรถ เมรี ในอนุภาคเหตุการณ์ ยักษ์เขียนสาสน์ส่งให้ลูกสาวที่เมืองยักษ์ พระฤษีแปลงสาสน์ และโศกนาฏกรรม


เหตุการณ์ยักษ์เขียนสาสน์ส่งข่าวลูกสาว

นิทานเรื่องพระพุทธเสน กับนางกางฮีกล่าวถึงบิดาของนางกางฮีเป็นยักษ์ วันหนึ่งได้แปลงกายเป็นมนุษย์และออกเดินเที่ยวป่าจนไปพบกับเจ้าพุทธเสน บิดาของนางกางฮีอยากให้นางได้ลิ้มรสชาติของมนุษย์จึงได้ลวงพุทธเสนให้ไปเมืองของตนและได้เขียนสาสน์ปิดผนึกให้กับเจ้าพุทธเสนเพื่อนำไปให้นางกางฮี เจ้าพุทธเสนจึงเอาจดหมายผูกเชือกคล้องคอเดินไปถึงผาตัดแก้ จึงเกิดเมื่อยล้าและได้นอนหลับไป เนื้อความในสาสน์เขียนว่า (พระรถ-เมรีที่หลวงพระบาง, 2548: เว็บไซต์)

ดูลา กังฮี คันว่าชายน้อยผู้นี้ ไปฮอดไปเถิงเมื่อใด ให้นางมึงจ่งกินชายน้อยผู้นี้เสียอย่าไว้

(รัตนพล ซื่นเค้า, 2560)


ส่วนนิทานเรื่องพระรถ เมรี กล่าวถึงพระรถสิทธิ์ได้รู้ว่ารถเสนเป็นบุตรของตนและนางยักษ์ก็ทราบเรื่องนี้ด้วย นางจึงออกอุบายเขียนสาสน์ขึ้นประกาหาคนนำสารไปให้ลูกสาวชื่อเมรี ที่เมืองยักษ์ พระรถจึงได้รับอาสานำสารไปให้นางเมรี

“เจ้ากังรีลูกรัก แม่ส่งลาภคือรถเสนกุมารให้เจ้า ถ้ามาถึงกลางวันก็จงกินกลางวัน ถ้าถึงกลางคืนก็จงกินกลางคืนเถิด”

(พัชรินทร์ จันทรัดทัต, 2552)


เหตุการณ์พระฤษีแปลงสาสน์

นิทานเรื่องพระพุทธเสน กับนางกางฮี กล่าวถึงตอนในระหว่างนั้นมีพระฤษีได้ผ่านมาพบเห็นเมื่อท่านตั้งจิตสมาธิก็ได้ล่วงรู้เนื้อหาในสาสน์จึงเกิดสงสารเจ้าพุทธเสนที่ถูกลวงให้ไปถูกฆ่าพระฤษีจึงได้แปลงเนื้อความจดหมายว่า

ซายน้อยผู้นี้เป็นลูกปแห่งนางสุนทะลา หากได้ส่งมาให้เป็นผัวแห่งนางมึง คันว่าชายหากมาถึงเมือใด ให้นางมึงแต่งแปงต้อนรับ แล้วให้นางมึงอะพิเสกเอาท้าวเป็นผัวโดยสะหวัดดีเทิ้น

(รัตนพล ซื่นเค้า, 2560)


ส่วนนิทานเรื่องพระรถ เมรี กล่าวถึงตอนพระรถได้เอาสารผูกคอม้าแล้วขี่นำสารไปยังเมืองของเมรี ระหว่างทางจึงได้หยุดพักใกล้อาศรพระฤษี เมื่อพระฤษีได้อ่านสารจึงเกิดความสงสารพระรสจึงได้ทำการแปลงสารให้ดังความว่า

“เจ้าลูกรักของแม่แม่ส่งลาภ คือ รถเสนกุมารมาให้เจ้า ถ้ามาถึงกลางวันเจ้าจงรับกลางวัน ถ้ามาถึงกลางคืนเจ้าจงรับกลางคืน เจ้าจงถนอมรถเสนกุมารนี้อย่างผัวที่รักของเจ้าเถิด”

(พัชรินทร์ จันทรัดทัต, 2552)


เหตุการณ์โศกนาฏกรรม

นิทานเรื่อง ภูท้าว ภูนาง กล่าวถึงตอนนางกินนา (นางกางฮี) ไม่อยู่ พุทธเสนจึงได้ไปที่สวนมะนาวและเห็นกองกระดูกคนกองเต็มไปหมด พุทธเสนรู้ได้ทันทีว่านางกินนาไม่ใช่มนุษย์ เขาจึงได้วิ่งกลับคืนไปเอามะนาววิเศษและได้วิ่งหนีไป นางกินนากลับมาไม่เห็นพุทธเสนจึงรู้ได้ว่าพุทธเสนหนีไปแล้วจึงได้วิ่งตามไปจนเจอ นางกินนาพยายามขอร้องให้พุทธเสนกลับมาหานาง แต่พุทธเสนไม่ยอมกลับแล้วเอามะนาวผลหนึ่งขว้างใส่ไปตรงหน้านางกินหน้า เกิดเป็นกองไฟกั้นนางกินนาไว้แต่นางกินนาใช้เวทมนต์ดับไฟได้และวิ่งตามมาจนทันพุทธเสนจึงขว้างมะนาวผลที่สองไปอีกครั้งนี้กลายเป็นทะเลสาบนางกินนาจึงวายน้ำมาจนถึงฟังหาพุทธเสนด้วยความอ่อนล้านางจึงหลับไป พุทธสนใจอ่อนจึงเดินมาหานางกินนาแต่นางกินนาได้ตายเสียแล้วท้าวพุทธเสนเสียใจมากเพราะนางกินนารักพุทธสนไม่เคยบกพร่องเลย ท้าวพุทธเสนจึงขาดใจตายข้างนางกินา เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีร่างของทั้งสองจึงกลายเป็นภูเขาสองลูกคือ ภูท้าว และภูนาง (พระรถ-เมรีที่หลวงพระบาง, 2548: เว็บไซต์)

ส่วนนิทานเรื่อง พระรถ เมรี (นางสิบสอง) กล่าวถึงนางเมรีตื่นขึ้นมาไม่เห็นพระรถเสนก็ตกใจ จึงได้รีบออกตามหา ในที่สุดก็มาเจอพระรถเสนกำลังควบม้าหนีอยู่ นางร้องห่มร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม ตัดพ้อว่าทำไมถึงจึงคิดหนีจากนาง พระรถเสนมีใจคิดสงสารนางเมรีมาก จนเกือบจะชักม้ากลับไปหานาง แต่ก็ยับยั้งชั่งใจได้ จึงโปรยยาวิเศษที่ทำให้เกิด ป่า ภูเขา กองเพลิง หมอกควัน ทะเลกรดลงพื้นทีละถุงๆ นางเมรีทนฝ่าป่าฝ่าภูเขา และหมอกควันมาพร้อมกับบริวารยักษ์ แต่เมื่อมาถึงกองเพลิงบริวารก็บอกให้นางเมรีถอยเพราะกลัวนางจะเป็นอันตราย แต่นางเมรีได้ลุยไฟไปเพียงผู้เดียว นางมาจนถึงทะเลกรดก็หมดโอกาสตามไปหาพระรถเสนที่อยู่อักฝั่งของทะเลกรดเรียบร้อยแล้ว น้ำตานางไหลพรากอาบแก้ม ร่างกายเต็มไปด้วยรอยดำจากการลุยกองเพลิงมา ร่างกายนางมีสภาพอ่อนแรงเต็มที อ้อนวอนให้พระรถเสนกลับมาหานาง พระรถเสนไม่กลับและควบม้าจากไปโดยไม่หันกลับมามองเมรีอีกนางเมรีแสนเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ นางกล่าววาจาหนึ่งใกล้ทะเลกรดว่า "ชาตินี้ น้องติดตามพี่มาด้วยความรัก...จะบุกน้ำ...ลุยไฟ...น้องก็ไม่หวั่น...ขอให้ชาติหน้า...พี่เป็นฝ่ายติดตามน้องบ้าง...และขอให้เรา...ได้ครองคู่กัน...ทุกชาติไป..." แล้วนางเมรีก็หมดลมหายใจอยู่ ณ ฝั่งทะเลกรดนั่น (พระรถ-เมรี. (เล่ม 4), 2492)

นอกจากนี้ยังมีนิทานของไทยอีกเรื่องที่มีอนุภาคเรื่องคล้ายกับนิทานเรื่องภูท้าวภูนางของลาว คือนิทานพระอภัยมณีของไทย เหตุการณ์ตอนพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร นิทานเรื่อง พระอภัยมณี กล่าวถึงตอนนางผีเสื้อวิงวอนพระอภัยขอติดตามไปด้วยจนตลอดชีวิต และขอให้พระอภัยอย่าได้ตัดรอนความรักของนางเลย พระอภัยได้ฟังจึงเกิดความสงสาร และได้ชี้แจงนางไปถึงความจำเป็น และเหตุผลที่ต้องหนีมา โดยบอกว่าเราเป็นคนละเผ่าพันธุ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ขอให้หักใจเสีย ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ได้พบกันใหม่อย่าได้แคล้วคลาดจากกันเหมือนชาตินี้เลย นางผีเสื้อก็พยายามอ้อนวอนทำทีว่าขอให้เห็นใจในความรักของนางด้วย หากพระอภัยไม่เห็นใจนาง บัดนี้นางก็จะขอลาตายแต่ขอให้พระอภัยลงมากลางน้ำนี้ก่อนเถิด พระอภัยมณีเป่าปีจึงได้เป่าปี่ซึ่งเสียงปี่คล้ายกับเวทย์มนต์คาถาไม่ใช่คลื่นเสียงทำลายให้นางผีเสื้อตายเพราะหูแตก แต่เป็นเพราะมนต์สะกดที่เปล่งออกมาจากปี่ ผู้เป่าต้องการให้ผู้ฟังเป็นอย่างไรก็ได้ดั่งใจจินตนา พระอภัยเป่าปี่ให้คนหลับมากกว่าฆ่าให้ตาย ดังนั้นเมื่อนางผีเสื้อโดนกระบวนเพลงที่พระอภัยมณีเป่าจึงถึงฆาตชาตะขาดตายในที่สุด

จะเห็นได้ว่าวรรณกรรมนิทานท้องถิ่นที่ยกมาทั้งหมด 3 เรื่อง ได้แก่ นิทานประจำถิ่นหลวงพระบาง ประเทศลาว จำนวน 1 เรื่อง คือ นิทานภูท้าว ภูนาง (พระพุทธเสน กับนางกางฮี) ของเมืองหลวงพระบาง และนิทานประจำถิ่นไทย จำนวน 2 เรื่อง คือ นิทานพระรถเสน กับนางเมรี (นางสิบสอง) และนิทานเรื่องพระอภัยมณี ตอนพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร บางเรื่องมีโครงเรื่องที่เหมือนกัน และบางเรื่องก็มีอนุภาคที่คล้ายกัน นักวิชาการดั่งสุจิตต์ วงศ์เทศได้สนับสนุนความเหมือนกันของโครงเรื่องนิทานว่า นิทานเรื่อง พระรถเมรี เป็นตำนานบรรพชนลาว ล้านช้าง มีจดจำไว้ในต้นเรื่องพงศาวดารล้านช้าง เมื่อมีคนลาวที่ไหนก็จะต้องมีพระรถเมรีที่นั้น จึงเป็นคำอธิบายว่าพระรถ เมรีเป็นตำนานบรรพชนของลาว ไม่ว่าคนลาวจะโยกย้ายอพยพและถูกกวดต้อนไปที่แห่งใด เขาก็จะเอาพระรถ เมรีไปถึงที่นั่น ด้วยเสมอ แล้วจะยิบขึ้นมาเล่าเป็นนิทานประจำถิ่นนั้น ๆ เช่น ถูกกวดต้อนไปอยู่ปราจีนบุรี ฉะเชิงเซา หรือ โยกย้ายอพยพไปอยู่ อ. พนัสนิคม จ. ชลบุรี ก็มีนิทานพระรถ เมรี อยู่ที่นั่นจนถึงวันนี้ และสุจิตต์ วงศ์เทศก็ยังได้กล่าวอีกว่า เรื่องพระรถเมรี น่าจะรับจากชนเผ่ากำมุ (ขมุ) ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมก่อนลาวจะโยกย้ายจากเมืองแถน (ในเวียดนาม) เข้าไปล้านช้างในสมัยหลัง มีร่องรอยู่ในเนื้อความซึ่งพวกลาวแต่งขึ้นใหม่ ว่าบริเวณเมืองหลวงพระบางล้านช้างดั้งเดิมเป็นนี้อยู่ของพระยายักษ์ มีลูกสาวชื่อนางกังฮี หรือกางฮี (คือ นางเมรี) ภายหลังมีผัวชื่อ พุทธเสน (คือ รถเสน) สอดคล้องกับนางเมรี (ฉบับลาว) เป็นลูกสาวยักษ์ครองเมืองยักษ์

เมื่อแพร่เข้ามาในประเทศไทยนิทานเรื่องพระรถเมรี กับพระสุธน มโนห์รา (พระรถ กับเมรี เกิดชาติใหม่ เป็นพระสุธน กับนางมโนห์รา) ก็ได้เป็นละครชาวบ้านเก่าสุดยุคอยุธยา ราว 500 ปี มาแล้ว ที่มีคนนิยมชมชอบมากที่สุดตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ. 2000 เพราะละครทั้ง 2 เรื่อง มีโครงสร้างการดำเนินเรื่องแบบบ้าน ๆ ไม่ตายตัวอาจปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ให้ถูกกับจริตชาวบ้านยุคนั้น ต่างจากละครชาววัง หรือละครหลวงที่เรียกกันสมัยหลัง ๆ ต่อมาว่าละครใน เป็นการละเล่นตามเรื่องพงศาวดารยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดินกับยอยกศาสนาที่ได้จากชาดก และคัมภีร์จากอินเดีย พระรถ เมรี ที่กลับชาติใหม่เป็นพระสุธน มโนห์รา เป็นตำนานบรรพชนลาวลุ่มน้ำโขง ติดตัวกลุ่มชนที่ทยอยโยกย้ายลงไปลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝากตะวันตก ตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ.1500 แล้วฟักตัวอยู่ในรัฐสุพรรณภูมิ มีศูนย์กลางอยู่บริเวณสุพรรณบุรี กับรัฐเพชรบุรี ฯลฯ หลังจากนั้นจึงแพร่กระจายลงไปถึงรัฐนครศรีธรรมราช ศิลปวัฒนธรรมแบบลุ่มน้ำโขงจากรัฐสุพรรณภูมิทยอยเข้าสู่อยุธยา เมื่อพระราชารัฐสุพรรณภูมิในตระกูลไทย-ลาว ยกกำลังไพร่พลยึดครองรัฐอยุธยาราวหลัง พ.ศ. 1952 แล้วปะปนกับศิลปวัฒนธรรมที่มีอยู่ก่อนเป็นแบบมอญ เขมร (สุจิตต์ วงเทศ, 2559: เว็บไซต์)

เมื่อย้อนดูในเรื่องของประวัติศาสตร์ภาษาลาวแล้ว ได้มีนักวิชาการตั้งขอสังเกตไว้ 2 ประเด็น คือ หากศึกษาจากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่กล่าวไว้ว่า“…เมืองเวียงจันทน์ เวียงคำ เมืองชะวาหรือหลวงพระบางเป็นส่วนหนึ่งของของอาณาจักรสุโขทัยและเมืองบริวารอย่างล้านช้าง ซึ่งครอบคลุมถึงภาคอีสานของไทย ก็น่าจะใช้อักษรเหมือนหรือพัฒนาการมาจากอักษรเมืองแม่ นั่นคือ เมืองสุโขทัย และยิ่งในรัชสมัยพระยาลิไทพระองค์ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ นักศาสนา…” (อดุลย์ ตะพัง, 2543)

ซึ่งจากข้อความข้างต้น อาจารย์ ดร.สุเนตร โพธิสาร ได้กล่าวไว้ในเอกสารการสอนวันที่ 23 มกราคม 2559 เรื่องประวัติศาสตร์ภาษาลาว-อักษรลาว มีความเห็นต่างว่า

“…บริเวณลุ่มน้ำโขงในอดีตยังใช้อักษรขอมและมอนมาบันทึกเรื่องลาวของตนเองอยู่ และไทยสยามยังใช้อักษรเขมรอยู่เมื่อสมัย พ.ศ.1700 รวมถึงในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็ยังใช้อักษรเขมรด้วยเช่นกันเพราะในช่วงนั้นยังไม่มีอักษรไทยสยาม และจากการศึกษาของนักอักขระวิทยาพบว่า อักษรลาวได้พัฒนามาก่อนอักษรไทยสยามพระยาลิไทแห่งสุโขทัย (พ.ศ.1899-1919) ดังเห็นได้จากจารึกที่เขียนด้วยสีที่ฝาถ้ำนางอัน เมืองหลวงพระบาง หรือศิลาจารึกพระธาตุฮาง เมืองท่าแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ปี 1350 พ.ศ.1893 ก่อนอาณาจักรล้านช้าง ที่มีรูปแบบตัวอักษรและอัครวิธีในยุคของพระยาลังธิราช ปี ค.ศ.1271…”

ภาพประกอบที่ 3 ภาพเขียนด้วยสีที่ฝาถ้ำนางอัน เมืองหลวงพระบาง

สรุปและอภิปรายผล

จาการศึกษาบทความเรื่อง การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมนิทานลาวไทยพบว่า วรรณกรรมท้องถิ่นประจำหลวงพระบางของลาว เรื่องภูท้าวภูนาง มีโครงเรื่องคล้ายกันกับนิทานเรื่องพระรถ เมรีของไทย คือ โศกนาฏกรรม และมีเรื่องโศกนาฏกรรมที่เหมือนกัน คือ เหตุการณ์ยักษ์เขียนสาสน์ส่งข่าวลูกสาว เหตุการณ์พระฤษีแปลงสาสน์และเหตุการณ์โศกนาฏกรรม นอกจากนี้อนุภาคเหตุการณ์โศกนาฏกรรมยังคล้ายกับนิทานของไทย เรื่องพระอภัยมณีของไทย ตอนเหตุการณ์พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรอีกด้วย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ไทยและลาวมีความสัมพันธ์ตั้งแต่อดีตจึงทำให้ ในด้านสังคม ศิลปะและวัฒนธรรมมีความคล้ายคลึงและใช้ร่วมกัน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมของ แฟร์ดีน็อง เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure)แห่งสำนักโครงสร้างนิยมเชิงสัญญะวิทยา เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง โครงสร้างของภาษา กับโครงสร้างวิธีคิด ของคนนั้นมีความสัมพันธ์กัน เพราะภาษาเป็นตัวสร้างแผ่นที่แห่งโลกที่เป็นจริงให้อยู่ในหัวของคน และแผนที่นี้จะเป็นตัวกำหนดกรอบการรับรู้ การมองเห็นในโลกของคน ดังนั้น วิธีการมองโลกจึงขึ้นอยู่กับ ภาษาที่เราใช้ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างสัญญะ กับกลุ่มผู้ที่ใช้สัญญะนั้น โซซูร์ เสนอว่าคนในสังคมเดียวกันจะ ผลิตซ้ำ สัญญะที่อ้างถึงแนวคิดเดียวกันแม้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่จะคล้ายคลึงกัน เช่น เมื่อผู้ชาย 2 คนคุยถึงผู้หญิงไทย เขาทั้งสองกำลังผลิตซ้ำ สัญญะของผู้หญิงไทยทุกครั้งที่เอยคำนี้และระหว่างสองคนนี้ย่อมมีแนวคิด ที่ร่วมกันในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่า ผู้หญิงไทยไม่ใช่ผู้ชายไทย (จิรพร ศรีบุญรือ, 2546)

จากทฤษฏีการแพร่กระจ่ายทางวัฒนธรรมที่กล่าวว่า “วิธีการมองโลกขึ้นอยู่กับ ภาษาที่เราใช้”ซึ่งสอดคล้องกับสุจิตต์ วงศ์เทศที่กล่าวว่า นิทานเรื่องพระรถเมรีนี้เป็นนิทานดั่งเดิมของลาวซึ่งต้องใช้ภาษาลาวในการเขียน (จาร) แล้วได้แพร่กระจายเข้าสู่ไทย และสอดคล้องกับ สุเนตร โพธิสาร (2559) ที่ได้กล่าวว่า “จากการศึกษาของนักอักขระวิทยาพบว่า อักษรลาวได้พัฒนามาก่อนอักษรไทยสยามพระยาลิไทแห่งสุโขทัย (พ.ศ.1899-1919) ดังเห็นได้จากจารึกที่เขียนด้วยสีที่ฝาถ้ำนางอัน เมืองหลวงพระบาง” ดังนั้นจึงสรุปได้ว่านิทานเรื่องภูท้าว ภูนาง (พระพุทธเสน และนางกางฮี) เป็นนิทานที่ถือกำเนิดมาจากหลวงพระบางประเทศลาว แล้วได้แพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทย จึงทำให้มีโครงเรื่อง และอนุภาคที่เหมือนกันกับนิทานเรื่องพระรถเมรีของไทย และมีอนุภาคคล้ายกับนิทานเรื่องพระอภัยมณีบางตอน

ข้อเสนอแนะ

ผลจากการศึกษาบทความเรื่อง การวิเคราะห์วรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง

เพื่อหาความสัมพันธ์เรื่องโศกนาฏกรรมนิทานลาวไทย มีข้อเสนอแนะดังนี้

1. ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้

ผลของการวิจัยสามารถนำไปบรรจุไว้ในเอกสารประกอบการบรรยายเรื่องวรรณกรรมท้องถิ่นหลวงพระบาง ภูท้าว ภูนาง ที่มีความสัมพันธ์กับอนุภาคนิทานไทยเรื่องพระรถเมรี

2. ข้อเสนอแนะการศึกษาครั้งต่อไป

ควรมีการศึกษาบทความเรื่อง ความสัมพันธ์อนุภาคนิทานเรื่องอื่น ๆที่ปรากฏในนิทานลาวไทย

เอกสารอ้างอิง
  • ขวัญชนก นัยจรัญ. (2557). การวิเคราะห์ภาพสะท้อนค่านิยมของไทยจากนิทานพื้นบ้าน. รายงานวิจัย. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ.

  • จารุวรรณ เชาว์นวม. (2542). นิทานพื้นเมืองลาว: ลักษณะเด่นและความสัมพันธ์กับสังคม. วิทยานิพนธ์. ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

  • จิรพร ศรีบุญรือ. (2546) การศึกษาผญาสื่อประเพณี การสืบทอดและการสะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนคนอีสาน .วิทยานิพนธ์. วารสารศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

  • ธวัช ปุณโณทก. (2525). วรรณกรรมท้องถิ่น. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.

  • นุชนาถ เหละดุวี. (2537). การวิเคราะห์นิทานพื้นบ้านไทยมุสลิมจังหวัดปัตตานี. วิทยานิพนธ์. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.

  • ประคอง เจริญจิตรกรรม. (2535). หนังสือเรียนภาษาไทย รายวิชา ท 035 วรรณกรรมท้องถิ่น. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

  • ประคอง นิมมานเหมินท์. (2543). นิทานพื้นบ้านศึกษา. กรุงเทพฯ: โครงการตำราคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

  • ประพันธ์ เรืองณรงค์ และเสาวลักษณ์ อนันตศานต์. (2545). ภูมิปัญญาทางภาษา. กรุงเทพฯ :วัฒนาพานิช.

  • พระรถ-เมรี. (เล่ม 4 ). (2492). วรรณกรรมชุดวัดเกาะ.พระนคร: ราษฎร์เจริญ.

  • พระรถ-เมรีที่หลวงพระบาง. เรื่องเก่าเล่าตำนาน. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/FheM8. เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2560

  • พัชรินทร์ จันทรัดทัต. (2552). บทบาทและลีลาท่ารำนางเมรีในละครนอก เรื่องรถเสน.วิทยานิพนธ์. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏยศิลป์ไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

  • รัตนพล ชื่นค้า. (2560). นิทานเรื่องนางสิบสอง-พระรถเมรีที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว:เรื่องเล่าจากภาคสนาม. การประชุมวิชาการระดับชาติเรื่อง ขับนิทานนางสิบสอง ขานทำนองพระรถเมรี: นิทานมรดกแห่งอุษาคเนย์ กรมศิลปากร สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ 7 ก.ค. 2560 หน้า 283-294.

  • ราชบัณฑิตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิมพ์ครั้งที่ 3.กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.

  • สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2551). หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้. พื้นฐานวรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. พิมพ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ: สกสค. ลาดพร้าว.

  • สุจิตต์ วงศ์เทศ. (2559). พระรถเมรี ตำนานบรรพชนลาว ละครยอดนิยมของชาวยุคอยุทธยา. สืบค้นจาก. https://www.matichon.co.th/columnists/news_142068 .เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561.

  • เสาวลักษณ์ อนันตศานต์. (2530) วัฒนธรรมพื้นบ้าน : คติความเชื่อ. พิมพ์ครั้งที่ 3.กรุงเทพมหานคร: เคล็ดไทย.

  • หลวงพระบาง. (2555). ข้อมูลประเทศลาว. สืบค้นจาก. https://shorturl.asia/wCg6D. เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2561

  • อดุลย์ ตะพัง. (2543). ภาษาและอักษรอีสาน. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

Comments


bottom of page