สรุปความเชื่อการรักษาโรคด้วยหมอลำทรง
- ครู บุญ
- 22 ม.ค. 2565
- ยาว 4 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565
บทความโดย ศ.สำเร็จ คำโมง
จิตนั้นพัฒนาได้ ด้วยการฝึกควบคุมให้จิตอยู่ในอารมณ์เดียว เรียกว่า ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน หรือทําจิตตภาวนา ซึ่งจะช่วยดับนิวรณ์อันเป็นเครื่องกั้นไม่ให้จิตสงบลงได้ ตามธรรมชาตินั้นจิตมนุษย์มี “พลังอํานาจ” เหนือกาย ดังพุทธพจน์ที่ตรัสถึงจิตโดยย่อว่า “ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”จิตสามารถควบคุมกายได้ จิตที่เป็นกุศลสามารถนําสรรพสัตว์ไปสู่สุคติภูมิได้ และจิตที่เป็นอกุศลก็ย่อม สามารถฉุดคร่าสรรพสัตว์ลงสู่อบายภูมิได้เช่นกัน

โรคที่แม่หมอดาว พานโน เคยลําทรงบําบัดให้
โรคชนิดต่าง ๆ ที่แม่หมอดาว พานโน เคยลําบําบัดรักษา ได้แก่ 1. โรคตา เช่นตาฟาง ตาบอด
2. โรคเงียบเหงา ซึมเซา โดดเดี่ยวตนเอง 3. โรคปวดศีรษะ 4. โรคกระเพาะอาหาร 5. โรคตับ 6. โรคไข้จับสั่น 7. โรคความจําเสื่อม 8. โรคปวดเบ้าตา 9. โรคกลุ้มคลั่ง อาละวาด 10. โรควิงเวียนศีรษะ 11. โรคปวดเมื่อยตามตัว 12. โรคเมื่อยล้าเดินไม่ได้ 13.โรคตัวสั่น ควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ลำบาก 14. โรคอึดแน่น หายใจไม่อิ่ม 15. โรคดิบ คืออยู่ดี ๆ ก็หายแล้วกลับเป็นอีก 16. โรคกระดูก โรคไขข้ออักเสบ 17. โรคน้ำท่วมปอด 18. โรคพูดไม่ได้ 19. หลอดเสียงเสีย 20. โรคขาดอาหาร 21. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ 22. โรคริดสีดวงทวารหนัก 23. โรคขาดโลหิตเลี้ยงสมอง 24. โรคต่อมทอนซิลอักเสบ 25. โรคหัวใจขาดเลือด 26. โรคปอดอักเสบ 27. โรคถุงน้ำดี 28. โรคหมดอาลัยตายอยาก ท้อแท้ในชีวิต 29. โรควบ 39.โรคลมบ้าหมู 31. โรคกลัวทุก ๆ สิ่ง
หมายเหตุ การบอกชื่อโรคในหัวข้อนี้ เรียกชื่อโรคตามที่ได้จากผู้เคยหายป่วยเพราะ พบกรรมสําทรงของนางดาว พานโน จํานวน 64 คน
ปกติแล้ว “เทพ” ผู้เป็นครูที่มอบหมายให้นางดาว พานโน เป็นหมอลําทรง ไม่อนุญาตให้เรียกร้อง ค่าตอบแทนเป็นเงิน เพียงแต่เจ้าของไข้ต้องจัดหาเครื่องบูชาซึ่งเรียกว่า “เครื่องคาย สําหรับเงินนั้นให้จัดเหรียญบาทใส่ลงในถาด เพียง 4 เหรียญ เมื่อเสร็จพิธีกรรม แล้วจะต้องแบ่งคืนให้แก่คนไข้ครึ่งหนึ่ง คือ 5 เหรียญ เพื่อความผูกพันต่อกันฉันพี่น้อง อย่างไรก็ดี ในสภาวะ การคมนาคมและเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ เจ้าของไข้มักจ่ายค่าตอบแทนให้แก่คณะหมอลําซึ่งประกอบด้วยครูบาคือ แม่หมอ หมอม้าคือหมอแคน และบริวารผู้ช่วยจัดพิธีกรรมอีกประมาณ 3 - 5 คน เป็นเงินระหว่าง 200 - 9,000 บาท และต้องจัดรถรับส่งให้ต่างหากจาก
ข้อมูลการจัดสรรเงินตามคําบอกของบริวาร ครูบาไม่ยอมให้คําตอบเพราะจะผิดครู ทราบว่าคณะได้ แบ่งสรรกันดังนี้
ครูบา คือแม่หมอได้ 50 เปอร์เซนต์
หมอม้า คือหมอแคนได้ 30 เปอร์เซนต์
บริวารรวมกันทุกคนได้ 20 เปอร์เซนต์
แต่เจ้าของไข้บางรายก็จัดสรรให้แก่คณะหมอลําทรงเป็นรายบุคคล โดยตรง มากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับ ความพอใจ และความสามารถจ่ายได้ของเจ้าของไข้แต่ละราย
คนไข้ที่เคยรับการบําบัดรักษามาจากที่ใดบ้าง
จากการสํารวจแบบต่อเนื่องถึงวันพิธีลงข่วงซึ่งเป็นพิธีรวมบริวารลําทรงผู้ที่เคยรับการรักษาจากแม่หมอ ดาว พานโน ประจําปี พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 13- 15 เดือนเมษายน พ.ศ. 2550 ที่บ้านพระยืน ตําบล พระยืน อําเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ผู้เก็บข้อมูลพบว่ามีผู้มาร่วมมีจํานวนมากกว่า 200 คน และมาจากที่ ต่าง ๆ กันดังนี้ 1. จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2. จังหวัดฉะเชิงเทรา 3. กรุงเทพมหานคร 4. จังหวัดปราจีนบุรี 5. จังหวัดนครนายก 6. จังหวัดชลบุรี (เมืองพัทยา) 7. จังหวัดสุโขทัย 8. จังหวัดตาก 9. จังหวัดกาญจนบุรี 10.จังหวัดหนองคาย 11.จังหวัดอุดรธานี 12.จังหวัดเลย 13.จังหวัดกาฬสินธุ์ 14.จังหวัดนครราชสีมา 15.จังหวัดบุรีรัมย์16.จังหวัดมหาสารคาม 17.จังหวัดร้อยเอ็ด 18.จังหวัดขอนแก่น
สําหรับจังหวัดขอนแก่นนั้น มีจํานวนมากประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของจังหวัดอื่นโดยมาจากอําเภอ ต่างๆ เรียงตามลําดับจากมากไปหาน้อยโดยประมาณ คือ 1. อําเภอพระยืน (ที่ตั้งบ้านของแม่หมอดาว พานโน) 2.อําเภอเมืองขอนแก่น 3. อําเภอบ้านแฮด 4. อำเภอมัญจาคีรี 5. อําเภอชนบท 6. อําเภอบ้านไผ่ 7. อําเภอบ้านฝาง 8.อําเภอภูเวียง 9. อําเภอภูผาม่าน 10. อําเภอชุมแพ 11. อําเภอหนองเรือ
ผู้ที่มาจากแดนไกลให้คําตอบว่า เหตุที่มารับการรักษาจากนางดาว พานโน นั้นเป็นเพราะ
1. มีผู้แนะนํา ผู้แนะนํานั้นเป็นคนในท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น 2. ก่อนมานั้นมีความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อยากหายจากโรค เพราะมีอาการทรมานมาก จึงตัดสินใจรับการรักษา เพื่อว่าอาจหายได้
ข้อวัตรปฏิบัติของหมอลําทรง
เมื่อนางดาว พานโน เป็นครูบาหมอลําทรงโดยมีเทพธิดาจําปาทองลงมาเข้าทรงแล้ว ต้องถือวัตรปฏิบัติตน ตามคําสั่งสอนของพี่สงกาอย่างเคร่งครัด
ตามตํานานบอกว่า “ พี่สงกา ” เป็นผู้บอกให้นางจําปาปฏิบัติตนดังนี้
1. ต้องคุ้มครองคนรักษาเยียวยาคนไข้ทุกคนทุกรูปทุกนามอย่างเสมอหน้ากันและทั่วถึงกัน ดังบทกลอน ลําว่า :
“…ให้เจ้าเป็นไพหญ้ามุงหลังคาอย่าให้ฮั่ว อย่าให้เหมือยหมอกย้อยฮำหน้าเพิ่นผู้ได...”
(แปลว่า ให้น้องทําตนเสมือนตับหญ้ามุงหลังคา ต้องมุงให้ดี อย่าให้แม้แต่ละอองหมอกรั่วลงมารอหน้าผู้อยู่ใต้ หลังคา)
2. ต้องรับรักษาไข้ของทุกๆคนโดยไม่แยกชั้นวรรณะ ดังบทกลอนลํา ว่า:
“ บ้านต่างบ้าน บ้านแขกกะลันตั้ง เจ้าอย่าฝังหลักแดนสวยกะเลิงลาวญ้อ...”
(แปลว่า แม้แต่คนมาจากต่างถิ่นต่างภาษาจะเป็นแขกกะลันตัน หรือส่วย หรือกะเลิง หรือลาว หรือญอ ก็อย่าได้ กีดกัน หรือแบ่งชนชั้น)
3. ให้พูดจาไพเราะกับทุกๆคน คงบทกลอนลํา ว่า :
“คันเพิ่นพอใจเว้านําเฮา ให้เจ้าเว้าม่วนม่วน ขาหักกะให้เจ้าเว้า ตาบอดกะให้เจ้าเว้า นําเจ้าให้ม่วนหู”
(แปลว่า ถ้าใครพูดด้วยก็ให้พูดตอบด้วยวาจาอันไพเราะ ไม่เลือกชั้นวรรณะว่าเขาเป็นใคร)
4. อย่าอวดอ้างสรรพคุณว่าตนเองเก่ง แล้วอย่าพูดถึงสิ่งไม่ดี ดังบทกลอนลํา ว่า :
“อย่าไปสูลูเว้า ความบ่ดีอ้างอวด อย่าไปเว้าอวดอ้างกลางบ้านให้เพิ่นหยัน...”
(แปลว่า อย่าไปสู่รู้พูดถึงเรื่องไม่ดี และอย่าไปพูดอวดอ้างสรรพคุณตัวเอง เดี๋ยวคนจะหัน)
5. อย่าดื่มเหล้าและอย่าซื้อเหล้าให้คนดื่ม ดังบทกลอนลํา ว่า :
“อย่าไปหาซื้อเหล้าของมึนเมาให้ผู้เฒ่าแดกห่า...”
(แปลว่า อย่าซื้อเหล้ามาให้ผู้อื่นดื่มจนเกินขนาด ด้วยเหตุนี้เครื่องคายจึงใช้เหล้าเพียงครึ่งแก้ว)
6. อย่าห่มผ้าหรือพาดบ่าด้วยผ้าที่ยาวไม่ถึงวา ดังบทกลอนลําว่า :
“ เจ้าอย่าคว้าเอาผ้าบ่เถิงวามาพาดบ่า...”
(แปลว่า อย่าไปคว้าเอาผ้าที่ยาวไม่ถึงวามาพาดบ่า ด้วยเหตุนี้ในเครื่องคายจึงใช้ผ้าขาว 1 วา)
7. ให้เอาแต่ผ้าซิ่นทอด้วยฝ่ายเป็นค่าตอบแทนอย่าเอาผ้าไหม ( นัยว่าเกรงใจเจ้าของไข้ ) ดังบทกลอนลํา ว่า :
“ฟีมซาวห้าหนาดีเนื้อถี่ถี่ ต่ำแต่ชิ้นหมี่ฝ้ายผืนลายงามเมือฝากแม่”
(แปลว่า ให้เอาเฉพาะชิ้นหมีฝ่ายที่ทอด้วยฝีมซาวห้า คือฟีมหน้ากว้างเท่านั้นอย่าเอาชิ้นไหม)
8. อย่าฆ่าไก่ทําอาหารเลี้ยงดูแขก เพราะถือว่าไก่ยังขยายพันธุ์ออกลูกออกหลานได้อีกมาก ดังบทกลอน ลําว่า :
“ อย่าสิฆ่าไก่โจ้นต้มลาบให้แขกกิน คันกินแล้วสิเสียแนวไก่ต่อ...”
(แปลว่า อย่าให้เจ้าของไข้ฆ่าไก่ทําอาหารต้อนรับแขก เพราะไก่ยังสามารถขยายพันธุ์ได้)
9. เมื่อหมอลํามีครอบครัวแล้วต้องเป็นหมอลําแต่เพียงคนเดียว ทั้งบทกลอนลํา ว่า :
“ให้เป็นหมอผู้เดียวแก้วแก่นสะแนนเฮาเอย สะแนนสองสั้น สองคนเฮานั่ง สะแนนก้อมก้อม นอนได้ผู้เดียว เจ้าอาดหลาคผาสาทหลังเขียว นอนผู้เดียวจั่งได้ นอนสองตายผู้หนึ่ง...”
(แปลว่า สามีภรรยาให้เป็นหมอลําเพียงคนเดียว เหมือนนั่งแคร่สั้นๆ ต้องนั่งคนละข้างจึงจะนั่งด้วยกันได้ ถ้าจะนอนต้องนอนได้เพียงคนเดียว ถ้านอนทีละสองคน คนหนึ่งจะตกหรือตาย)
10. เมื่อมีลาภอย่าลืมแบ่งปันบริวาร ดังบทกลอนว่า :
“ เป็นหมอเฒ่าพายกระเป๋าถือแอบ คนแนบข้างขวาซ้ายแกว่งหวี อย่าสิลืมคุณม้าบักคําหลาพวกพี่ ขี่ม้าแล้วคุณม้าอย่าสิลืม...”
(แปลว่า เหมือเป็นหมอแล้ว จะต้องมีคนช่วยปรนนิบัติและต้องมีหมอแคนเป่าแคนให้จึงจําลําได้ เมื่อมีลาภอย่า ลืมบุญคุณ คนพวกนี้ )
11. ให้พูดแต่ความจริงอย่าสร้างเรื่องโกหก ดังบทกลอนลําว่า :
“ลงมาเล่นอย่าขันแข่งวาจา เอาแต่ความสัจจะให้แน่นอนคําเว้า แน่จั่งยิง จริงจังเว้าความจริงแท้จั่งว่า อย่าไปบักแบ้นหน้ามือชี้ใส่ผู้ได้”
(แปลว่า การลํานั้นอย่าอวดอ้าง เอาแต่ความจริงมาว่าเหมือนเล็งเป้าแล้วจึงยิ่ง อย่าไปต่ผู้ใดเลย)
12. อย่าแก่งแย่งลาภยศสรรเสริญกับใครเลย ดังบทกลอนลํา ว่า :
“ ได้แก่เพิ่นกะให้โม ได้แก่โตกะอย่าย้อง ได้แก่พี่แก่น้องอย่านําซ้องให้วุ่นวาย...”
(แปลว่า ถ้าคนอื่นได้อะไรก็ให้อนุโมทนาสาธุด้วย ถ้าตนเองได้ก็อย่าดีใจจนเกินเหตุ ถ้าญาติพี่น้องบริวารได้ก็อย่า ตามไปขอแบ่ง)
13. ให้ตระเตรียมของใช้ในพิธีไปให้ครบครันอย่าไปขอจากเจ้าของใช้ ดังคํากลอนส์ว่า -
“เป็นหมอเฒ่าพายกระเป๋าลากแอกน่อง ของเครื่องใช้ผะอวนน้องอย่าขาดเขิน”
(แปลว่า เมื่อเป็นหมอต้องมีกระเป๋าใบใหญ่ๆ บรรจุข้าวของเครื่องใช้ที่จําเป็นในพิธีให้ครบ)
14. ให้รักผู้อื่นอย่างเสมอหน้ากันหมด ตั้งบทกลอนลําว่า -
“สายสมรน้องนางงามตั้งใจเที่ยง อย่าสิฮักผู้นี้ ซึ่งผู้นั้นเสมอก้ำเกิ่งกัน อย่าสิฮักผู้นี้ ซังผู้นั้นให้ฮักท่อกันเหมิค...”
(แปลว่า ให้น้องมีจิตใจเที่ยงตรงอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ต้องรักทุกคนเท่ากัน)
15. ใครทําผิดถูกอย่างไรให้ช่วยแก้ปัญหาอย่าซ้ําเดิม ทั้งบทกลอนลําว่า :
“ ผิดท่อภูให้ล้าง ผิดท่อช้างให้ญ่อ ต่ำเตี้ยท่อควาย “
(แปลว่า แม้ใครมีความผิดใหญ่เท่าภูเขาก็ให้ลบล้างเสีย หรือมีความผิดใหญ่โตเท่าช้างก็ให้ทําเป็นเรื่องเล็กเท่า ควาย)
สรุปผลการศึกษาเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับดนตรีบำบัด
ข้อมูลเรื่องพิธีกรรมลําทรงนั้นได้ศึกษาเรื่องความเชื่อบทบาทและอิทธิพลของดนตรีแคนและการขับลําที่มีต่อพิธีกรรมเป็นสําคัญ ส่วนเรื่องคติความเชื่อ เรื่ององค์ประกอบของพิธีกรรม และเรื่องของสังคม ตลอดจนประวัติความเป็นมาของพิธีกรรมนั้นได้นํามากล่าวไว้พอสังเขปเพื่อความต่อเนื่องของความเข้าใจเบื้องต้น เพื่อจะนําไปสู่เรื่องบทบาทและอิทธิพลของดนตรีที่มีผลต่อการบําบัดรักษา ในเรื่องดนตรีบําบัดเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่าดนตรีสามารถใช้เป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งในการบําบัดรักษาโรค โรงพยาบาล ทั่วไปใช้ดนตรีบําบัดรักษาโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคจิต โรคเรื้อรัง โรคติดยาเสพติด โรคออทิสซึม อาการทรมาน จากความเจ็บปวด การเคลื่อนไหวลําบาก และช่วยผ่อนคลายความเครียดในห้องคลอด ห้องผ่าตัด หรือห้อง ทํางานทั่วไป
สาเหตุที่ใช้เครื่องดนตรีบําบัดรักษาโรคได้เป็นเพราะองค์ประกอบของดนตรีซึ่งมีทํานอง จังหวะ เสียง ประสาน ไดนามิก สีสันของเสียง และกิจกรรมแบบต่างๆ ทางดนตรีสามารถกระตุ้นประสาท กระตุ้นจิต กระตุ้น กายภาพและขับกล่อมอารมณ์ของคนได้นั่นเอง สรุปเรื่องความรู้เรื่องจิต
พุทธปรัชญาให้ความจริงขั้นปรมัตถ์ว่า จิตมนุษย์นั้นมีจริง คือบุคคลหนึ่งๆ มีจิตถึง 121 ดวง เมื่อจิตทุก ดวงรวมกันอยู่บุคคลก็จะมีความรู้สึกร่มเย็น ถ้าดวงจิตดวงหนึ่งหลุดไปจะทําให้บุคคลมีจิตไม่สมบูรณ์ พิธีกรรม เรียกขวัญตามแบบโบราณประเพณีจึงเกิดขึ้น เพื่อเรียกดวงจิตส่วนที่หายไปกลับมา จิตเป็นธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ สัมปยุตกับเจตสิกและทําให้จิตมนุษย์วิจิตร โดยธรรมชาตินั้นดวงจิตมีคุณภาพผ่องใส แต่สามารถแปรเปลี่ยนเป็น มัวหมอง ได้ด้วยเจตสิก ซึ่งเกิดจากกิเลสอันเป็นเครื่องเศร้าหมองได้แก่โลภะ โมหะ โทสะ เป็นต้นเหตุ
อย่างไรก็ดีจิตนั้นพัฒนาได้ ด้วยการฝึกควบคุมให้จิตอยู่ในอารมณ์เดียว เรียกว่า ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน หรือทําจิตตภาวนา ซึ่งจะช่วยดับนิวรณ์อันเป็นเครื่องกั้นไม่ให้จิตสงบลงได้ ตามธรรมชาตินั้นจิตมนุษย์มี “พลังอํานาจ” เหนือกาย ดังพุทธพจน์ที่ตรัสถึงจิตโดยย่อว่า “ จิตเป็นนาย กาย
เป็นบ่าว” จิตสามารถควบคุมกายได้ จิตที่เป็นกุศลสามารถนําสรรพสัตว์ไปสู่สุคติภูมิได้ และจิตที่เป็นอกุศลก็ย่อม สามารถฉุดคร่าสรรพสัตว์ลงสู่อบายภูมิได้เช่นกัน
สรุปเรื่องพิธีกรรมลําทรง
พิธีกรรมลําทรงนั้นบางท้องถิ่นเรียกว่า พิธีกรรมลํานางเทียม เป็นพิธีกรรมที่เชิญ “ผี” ระดับที่เป็นเทพ มาถือทรงในตัวหมอลําผู้ประกอบพิธีกรรม เพื่อจะได้ช่วยชี้ช่องทางแห่งการบําบัดรักษาโรคหรือสิ่งไม่ดีต่างๆของมนุษย์ เทพที่จะเชิญมาถือทรงในพิธีกรรมลําทรงนี้เป็นผีเมือง ผีป่า ผีบ้าน ผีเสื้อ ผีบรรพบุรุษ ) เป็นต้น
องค์ประกอบของการจัดพิธีกรรมลําทรงนั้นต้องมีส่วนประกอบคือ คนไข้ เจ้าของไข้ หมอลํา หมอแคน และเครื่องบูชา สําหรับคนตรีแคนและการขับลํานั้นถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สําคัญยิ่ง เพราะใช้เป็นสื่อเชิญเทพ หรือผีมาสู่พิธีและยังช่วยดําเนินเรื่องราว บอกสาระของพิธี กับทั้งช่วยปลอบประโลมบําบัดจิตให้แก่คนไข้และ เจ้าของไข้ได้ ลําดับขั้นตอนของพิธีกรรมลําทรงมีขั้นเตรียมการซึ่งหมายถึงการติดต่อหมอลํา อุปกรณ์คือเครื่องคาย และกําหนดการต่างๆ ของพิธีกรรม ส่วนขั้นจัดพิธีกรรมนั้นลําดับดังนี้คือ หัวหน้าหมอลํา การเตรียมวัสดุ เชิญเทพหรือผีลงมาสู่พิธี แล้วถามสาเหตุแห่งการเจ็บป่วย ตามด้วยการลําอ้อนวอน ให้คําสอน ให้คําปลอบ ประโลมใจและเรียกขวัญของคนไข้มาสู่ร่างของคนไข้ การเชิญให้เทพและคนมาร่วมเล่นร้องลําทําเพลงให้จิตใจ เบิกบานด้วยกัน และจบลงด้วยพิธีกรรมอัญเชิญเทพหรือผีกลับคืนสู่ที่สิงสถิตเดิม อย่าอยู่รบกวนคนไข้อีก
สรุปเรื่องบทบาทและอิทธิพลของดนตรีแคนและการขับลําที่มีต่อพิธีกรรม
ดนตรีแคนและการขับลํามักมีบทบาทสําคัญยิ่งต่อพิธีกรรมเพราะ
1. เสียงแคนเปรียบเสมือน “ม้า” เป็นพาหนะนําเทพมาสู่พิธี หมอแคนจึงเปรียบเหมือน “หมอม้า” ผู้ขับม้า
2. เสียงแคนช่วยดึงอารมณ์ให้หมอลําขับลําออกมาได้ทั้งเนื้อความและสําเนียงไพเราะ ทั้งๆที่หมอลําไม่เคยหัดลํามาก่อน
3. เสียงแคนช่วยบรรเลงสนับสนุนเป็นฉากหลังให้แก่กิจกรรมทุกอย่างที่ดําเนินไปในพิธีกรรม
4. เสียงลําเป็นสื่อบรรยายความเข้าใจในขั้นตอนการรักษาไข้
5. เสียงลําช่วยบันดาลความขลังของพิธีกรรม
6. เสียงลําช่วยปลอบประโลมใจและเสริมสุขภาพจิตให้แก่คนไข้และผู้เข้าพิธี
7. เสียงลําและเสียงแคนเป็นสื่อชวนให้คนไข้ และผู้เข้าพิธีรู้สึกสนุก ลุกออกมาฟ้อนรําเป็นการบําบัดรักษาโรคด้วยวิธีกายภาพบําบัดด้วย
จากสถิติจํานวนคนไข้ที่รับการบําบัดรักษาในกรณีตัวอย่างรายของแม่หมอชื่อ นางดาว พานโน แห่ง พระยืน ต.พระยืน อ.พระยืน จ.ขอนแก่น จํานวน 64 คน จํานวนมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันว่าตนเอง รักษาด้วยพิธีกรรมลําทรงอีก 20 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าค่อยทุเลาลงเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า การรักษาบําบัดไข้ด้วยพิธีกรรมลําทรงนี้ “ได้ผล” เหตุของการได้ผลนั้น ผู้วิจัย พบว่าเป็นเพราะสาเหตุ 5 ประการ ดังต่อไปนี้
1.คนไข้มีความเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ของผีสางเทวดาอยู่เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จึงเชื่อในพิธีกรรมทรง ว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์
2.คนไข้มีพื้นฐานทางสุนทรียะดนตรี คือ สามารถซับซาบความงามของดนตรีแทนและการขับลำ บ้านอยู่โดยกําเนิด เมื่อได้ยินเสียงลําเสียงแคนจึงเข้าถึงรสชาติของความงามของทั้งสองส่วนประกอบนี้ได้ รองง่าย ประกอบกับได้ทราบว่าเสียงแคนคือพาหนะของเทพ ยิ่งทําให้ซาบซึ้งเสียงแคนยิ่งขึ้น โดยที่ไม่จําเป็นต้องหมายถึงเรื่องดนตรีวิทยาใดๆ เลย เป็นเหตุให้คนไข้และผู้เข้าร่วมพิธีเกิดอารมณ์คล้อยตาม และตั้งใจฟัง เนื้อความของกลอนลําอย่างซาบซึ้งตลอดพิธี
3. เนื้อความในกลอนลําล้วนแต่เป็นคําปลอบประโลมอ่อนหวาน ชวนให้จิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้ว จิตก็จะอยู่ในอารมณ์เดียวตามหลักการพัฒนาจิต เมื่อจิตสบายแล้วก็จะสามารถควบคุมกายให้ค่อยๆหายจากโรคได้
4. กิจกรรมฟ้อนรําในพิธีกรรมช่วยกระตุ้นจิตของคนไข้ให้เบิกบาน และยังช่วยกระตุ้นกายให้ เคลื่อนไหว เมื่ออวัยวะในกายเคลื่อนไหวได้ ก็เป็นการบําบัดทางกายภาพบําบัด
5. การมาแวดล้อมร่วมพิธีของคนจํานวนมาก โดยเฉพาะพวกญาติพี่น้อง ลูกหลานทั้งหลายทําให้จิต ของคนไข้ได้รับความอบอุ่น ทําให้เกิดพลังจิต อยากหายจากการเจ็บไข้และอยากอยู่กับญาติพี่น้องลูกหลานสืบไป เป็นเหตุให้จิตเข้มแข็งพากายต่อสู้กับโรคภัยได้
ข้อเสนอแนะ
1. บุคคลใดที่อยู่นอกสังคมของบุคคลผู้ยอมรับนับถือคติความเชื่อเรื่องอํานาจของสิ่งเร้นลับเหนือ ธรรมชาติซึ่งไม่มีตัวตน ไม่ควรที่จะกระทําหรือพูดจาลบหลู่ความเชื่อของพวกเขาเหล่านั้น เพราะพิธีกรรม ทั้งหลายที่พวกเขาพากันจัดและอนุรักษ์อยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วล้วนมีคุณค่าต่อสังคมทั้งสิ้น อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งทาง จิตและช่วยเชื่อมความสามัคคีปรองดองในหมู่คณะในสังคมได้ดีและทําได้ง่าย
2. ผู้มีความรู้สมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือองค์กรก็ตาม น่าที่จะนําเอาพิธีกรรมต่างๆนั้นมาขยายผล ให้เกิดประโยชน์ที่เหมาะสม เช่น ให้ความรู้ทางวิทยาการและสังคมวิทยาต่างๆแก่เจ้าพิธี เพื่อที่จะนําความรู้ เหล่านั้นสอดแทรกเข้าไว้ในพิธีกรรมด้วย เมื่อใดที่เจ้าพิธีกรรมพูด เมื่อนั้นบริวารย่อมเชื่อถือ เพราะเชื่อว่านั่นคือ กดิ์สิทธิพูด นับว่าเป็นทางเลือกที่สามารถลัดวงจรการสื่อสารเข้าหาผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง
ชน หน่วยงานสาธารณสุขให้ความรู้ทางสาธารณสุขแก่เจ้าพิธี เพื่อจะได้นําไปแนะนําคนไข้ให้รักษาโรค ได้ถูกต้องตามหลักแพทยศาสตร์ เป็นต้น
บรรณานุกรม
เรย์ ขันธศิริ. (2528). ดุริยางคศิลปะปริทัศน์(ตะวันออก). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
เวชขอนแก่น. (2540). โรงพยาบาล โรคจิต. ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.
จริยางค์. (2523). พระหลักวิชาการดนตรีลากลและการขับร้องเล่ม 1-3. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร,
บ่อคําแสง วงศ์ดาราและคนอื่น ๆ. (1987). วรรณคดีลาว, เวียงจันทน์ : สถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์สังคม กระทรวงศึกษา ลาว.
บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล. (2539). ฮีต คอง คะลํา วิถีของคนล้านช้างและไทยอีสาน.ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้ง.
ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์. (2533). ปทานุกรมดนตรีสากล. เชียงใหม่ : ฝ่ายเอกสารการพิมพ์สํานักอธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่.
พระครูพรหมฐาณวิกรม. (2539). คู่มือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์กรมการศาสนา.
พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.9). (2537). วิธีสมาทานและวิธีวิปัสสนากรรมฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จินดาอักษร.
พระราชสุทธิญาณมงคล. (2544). คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต. สิงห์บุรี : วัดอัมพวัน.
พูนพิศ อมาตยกุล. (2529). “จากเพลงไทยถึงเพลงลูกทุ่ง” ใน จากเพลง ไทยถึงเพลงลูกทุ่ง เอกสารหมายเลข 1. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพจํากัด.
พรชัย ศรีสารคาม. (2522). ก ผญา. มหาสารคาม : วิทยาลัยครูมหาสารคาม,
นิคมานนท์. (2539). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย. กรุงเทพฯ : อักษรา พิพัฒน์.
ณ ชินะตระกูล. (2533). คู่มือการทําวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
ทูตยสถาน. (2530). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สํานักอักษรเจริญทัศน์.
เมกาโม พระมหา. (2537). การศึกษาเปรียบเทียบความจริงเรื่องจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับจิตในปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
วัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น, (2540). สุขภาพจิตกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ขอนแก่น:ขอนแก่นการพิมพ์ ,
สภาวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่นและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2540).ของดีอีสาน.ขอนแก่น : ขอนแก่นการพิมพ์,
สถาบันการแพทย์แผนไทย. (2541). ชุมนุมแพทย์ไทยและสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2. นนทบุรี :สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
สวิง บุญเจิม. (2536). มรดกอีสาน. อุบลราชธานี : อีสานออฟเซทการพิมพ์.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2532). ร้องรําทําเพลง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์มติชน.
สุรศักดิ์ พิมพ์เสน. (2532). การทําแคน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม.
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช. (2540). ความเข้าใจเรื่องจิต. กรุงเทพฯมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทยาลัย.
สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น. (2537). ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น. ขอนแก่น ขอนแก่นการพิมพ์.
เสาวนีย์ สังฆโสภณ. (2541). ดนตรีเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์.
Comments