บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน
- ครู บุญ
- 21 ม.ค. 2565
- ยาว 4 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565
บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
การวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน The Analysis of Lyrics and Melodies of Sarapanya Sermon in I-San Dialed
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย,สำเร็จ คำโมง.(2556).รหัสบทความ ED113 : การวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน ปี พ.ศ.2556 (24 พฤษภาคม 2557). การประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 2/2557 “การพัฒนาองค์ความรู้เชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน” มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

บทคัดย่อ
การศึกษาการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน มุ่งศึกษาการวิเคราะห์สรภัญญ์อีสานโดยเน้นศึกษา ฉันทลักษณ์ และสังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์อีสาน ในการดำเนินการวิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยได้ สัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต การสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ ผู้ขับร้องสรภัญญ์ และเนื้อหาของกลอนสรภัญญ์ โดยการพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า ในด้านชีวประวัติของครูผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์นั้นมีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นพระสงฆ์จำวัด และมีความชอบในเสียงของการขับสรภัญญ์จึงได้ประพันธ์กลอน สรภัญญ์ขึ้นเพื่อให้ศีกาจำศีลได้ขับร้อง ในงานบุญเข้าพรรษา และบุญออกพรรษา เป็นต้น ส่วนผู้ขับร้องสรภัญญ์ที่เป็นต้นเสียงนั้นเป็นศีกาจำศีล ซึ่งได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะได้เป็นผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ ประการแรกที่ผู้ขับร้องสรภัญญ์ได้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ขึ้นเองสาเหตุมาจากความต้องการกลอนสรภัญญ์ ที่จะนำใช้ในการขับร้องตรงตามความต้องการของกิจกรรมของคณะสรภัญญ์ และประการที่สอง คือ ขาดคนประพันธ์กลอนสรภัญญ์
ในด้านบทร้องของสรภัญญ์มักมีสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งพุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ ทั้งข้อพระธรรมและปริยติ ต่าง ๆ เป็นสำคัญ มีการทักทายโอพาปราศรัยระหว่างผู้ขับร้องกับผู้ฟังสอดแทรก ส่วนฉันทลักษณ์ของสรภัญญ์อีสานมักมีลักษณะคำประพันธ์ประเภทกาพย์ คือ ส่งสัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งจบเพลงการใช้วรรณยุกต์ต้องกลมกลืนกับลักษณะการเคลื่อนไหวทำนองเป็นสำคัญ
ในด้านทำนอง พบว่า สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์เป็น โมตีฟ (หน่อยย่อยเอก) แบบสั้น ๆ ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ 4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค ซึ่งช่วงทบ 1 มี 5 เสียง คือ โด เร มี โซ ลา และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น
บทนำ
ยุคแรกเริ่มในอีสานยังไม่มี “ศาสนา” เพราะยังไม่มีการติดต่อกับอินเดียและจีน แต่มนุษย์นั้นย่อมมีความเชื่ออยู่แล้ว คือ ความเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติ หรือพูดรวม ๆ อย่างง่าย ๆ ว่า ความเชื่อเรื่องผี (สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2543) ศาสนาพราหมณ์นั้นเป็นศาสนาที่มีมาก่อนพุทธศาสนาตลอดจน เป็นต้นเค้าของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และอื่นๆ (รุจิรา วงศ์แก้ว. 2533, อ้างถึงใน อารยัน ตคุปต์, 2549: 382) และพระเวทเป็นต้นตำหรับแห่งไสยศาสตร์ของพราหมณ์แต่งเป็นภาษาสันสกฤตโบราณ ในรูปของฉันท์ หรือกาพย์ คัมภีร์ พระเวทแบ่งสาระสำคัญเป็น 2 ภาคคือ มนตระ และพราหมณะ โดยที่มนตระเป็นคำฉันท์ที่ใช้สวด หรือบ่นในเวลาทำพิธี พราหมณะ คือ คำอธิบาย พรรณนากิจการที่จะพึงทำในพิธี (รุจิรา วงศ์แก้ว. 2533, อ้างถึงใน พระราชนิพนธ์ 1.6. 2516 : 281-282) ทำให้นักวิชาการหลายท่านได้สันนิฐานว่าสรภัญญ์น่าจะเกิดขึ้นในยุคนี้ก็เป็นได้
ประเทศไทยจึงมีจุดเริ่มต้นการสวดมาจากศาสนาพราหมณ์ ส่วนการสวดมนต์ในไทยมีอยู่ 2 แบบคือ 1) การสวดเป็นบท ๆ เป็น คำ ๆ ไป เรียกว่าแบบ “ปทภาณะ” เช่น การสวดของพระสงฆ์ ตามวัดทั่วไปหรือในงานพิธีต่าง ๆ และ2) การสวดแบบใช้เสียงตามทำนองของบทประพันธ์ ฉันท์ลักษณ์ต่าง ๆ เรียกการสวดแบบนี้ว่า “สรภาณะ” เช่น พระสงฆ์สวดในงานพิธีรับเทศน์หรือในเทศกาลพิเศษ วิธีการสวดแบบสรภาณะนี้เอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สรภัญญะ” และต่อมา ได้วิวัฒนาการให้พระสงฆ์เทศน์เป็นทำนองแหล่ขึ้นในบททำนองร่ายยาว เช่น เรื่องพระเวสสันดรชาดก (กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, 2553)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นไม่สามารถจะสืบทราบได้ว่ามีการสวด สรภัญญ์แต่เมื่อใด คิดว่าคงได้รับอิทธิพลจากภาคกลางเหมือนกับการสวดอภิธรรมนั่นเอง หากย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ได้สร้างโรงเรียนหลวงทุกหัวเมืองตั้งอยู่ในวัดสำคัญ ๆ และพระเถระที่เรียนรู้ภาษาไทยเป็นครูสอน ฉะนั้นการนำการสวดสรภัญญ์เข้ามาสู่หัวเมืองอีสานน่าจะเป็นสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา การสวดสรภัญญ์ได้รับต้นแบบมาจากภาคกลางเพราะเหตุผลดังนี้ 1) ฉันทลักษณ์ภาคกลาง นั่นคือ บทสรภัญญ์นั้นประพันธ์ด้วย ฉันท์ และกาพย์ (กาพยานีกาพย์ฉบัง เป็นฉันทลักษณ์ของภาคกลาง ชาวอีสานไม่มีแบบฉบับการประพันธ์ฉันท์และกาพย์ยานี ไม่ว่าวรรณกรรมลายลักษณ์เรื่องใด ๆ ) 2) สำนวนและภาษาภาคกลาง คือหลีกเลี่ยงภาษาอีสาน นั่นคือสำนวนบางตอนน่าจะใช้ภาษาถิ่นซึ่งมีความหมายดี แต่กลอนสรภัญญะยังใช้สำนวนภาคกลาง (พระสมชิด จารุธมฺโม (อุทากิจ), 2550)
สรภัญญ์ทำนองหนึ่ง ๆ สามารถที่จะใช้ร้องได้หลายบท ในบทร้องแต่ละบทจะเรียกชื่อบทร้อง ตามความหมายและเนื้อหาของบทร้องนั้น ๆ ความนิยมในการร้องสรภัญญ์ ในภาคอีสานทำให้เกิดการประพันธ์กาพย์กลอนตกแต่งทำนองประกอบกลอนที่ประพันธ์ขึ้นโดยเนื้อร้องจะแต่งขึ้นจากเหตุการณ์ปัจจุบันหรือมีบทถามข่าวตอบข่าว อวยพร และกลอนลา ทำนองที่ประดิษฐ์ขึ้นอาจจะเทียบเคียงไปจากการเทศน์สวดของพระ หรือดัดแปลงมาจากทำนองเพลงไทยเดิม เพลงลูกทุ่ง เมื่อนำไปร้องก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แตกต่างกันออกไป (รุจิรา วงศ์แก้ว, 2533)
ผู้ประพันธ์สรภัญญ์บางส่วน ที่ประพันธ์กลอนสรภัญญ์อาจยังไม่เข้าใจเรื่องของฉันทลักษณ์ในการประพันธ์กลอนสรภัญญ์รวมไปถึงหลักการใส่ทำนองให้กับบทร้องของสรภัญญ์ จึงทำให้กลอนสรภัญญ์บางบทขาดสุนทรียะ ผู้วิจัยจึงได้อาศัยพื้นที่การประกวดแข่งขันขับร้องสรภัญญ์ในจังหวัดขอนแก่นเป็นแหล่งเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยวิธีการสัมภาษณ์ สังเกต และบันทึกวีดีโอ ซึ่งเป็นคณะที่เดินสายการประกวดจนเกิดความชำนาญในการขับสรภัญญ์ ในการประกวดสรภัญญ์ในแต่ละครั้งจะมีกลอนบังคับให้ 1-2 กลอน ที่เกี่ยวกับกิจกรรมในการจัดงานในครั้งนั้นด้วย แล้วให้แต่ละทีมสวมทำนองขึ้นเอง โดยผู้ประกวดจะต้องมีการประพันธ์บทไหว้ครู บทลา ด้วยตนเอง ซึ่งสรุปแล้วคณะสรภัญญ์แต่ละคณะจะต้องมีกลอนสรภัญญ์ที่ประพันธ์ขึ้นด้วยตนเอง และกลอนบังคับให้ใส่ทำนองเอง
ผู้วิจัยจึงได้ทำวิจัยเรื่องการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน เพื่อนำเอาสรภัญญ์อีสานที่ทำการวิเคราะห์แล้วมาทำการถ่ายทอดให้กับบุคคลที่สนใจ นักเรียน นักศึกษา ได้เรียนรู้ หัดประพันธ์สรภัญญ์ด้วยตนเอง ทำให้เกิดสุนทรียะในการสวดมนต์ทำนองสรภัญญ์ และใช้ในการแข่งขันประกวดต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาชีวประวัติของครูประพันธ์สรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์
2. เพื่อวิเคราะห์บทร้องของสรภัญญ์อีสานด้วยฉันทลักษณ์
3. เพื่อวิเคราะห์ทำนองสรภัญญ์อีสานด้วยสังคีตลักษณ์
4. เพื่อจัดทำคู่มือหลักการประพันธ์สรภัญญ์อีสานและบันทึกทำนองด้วยโน้ตสากล
อุปกรณ์และวิธีดำและเนินการวิจัย
การศึกษาการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสานได้มีหลักการแบ่งการวิจัยออกเป็นระยะดังนี้
ระยะที่ 1 : ศึกษาประวัติของคณะสรภัญญ์ในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 4 คณะ
1. กลุ่มประชากร ในการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมจำนวน 205 คน ประกอบด้วย ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ จำนวน 4 คน และผู้ขับร้องสรภัญญ์ จำนวน 201 คน
2. กลุ่มเป้าหมาย ในการวิจัยเชิงคุณภาพ รวมจำนวน 8 คน ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะจง ประกอบด้วย ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ จำนวน 4 คณะๆ ละ 1 คน รวมจำนวน 4 คน และผู้ขับร้องสรภัญญ์ จำนวน 4 คณะๆ ละ 1 คน รวมจำนวน 4 คน
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์ เพื่อสัมภาษณ์เจาะลึก ใช้แนวทางการสังเกต เพื่อสังเกตแบบ มีส่วนร่วม ใช้แนวทางการสนทนากลุ่ม เพื่อจัดกลุ่มสนทนาตรวจสอบความเป็นไปได้ของการวิเคราะห์ทำนองสรภัญญ์อีสาน และใช้สมุดจดบันทึก เพื่อจดบันทึกคำสำคัญที่ได้จากผู้ให้ข้อมูล ใช้กล้องถ่ายรูป วีดีโอ เพื่อบันทึกการสาธิตการขับร้องสรภัญญ์อีสานของผู้ให้ข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์โดยใช้ การแปลความ การตีความ และใช้เทคนิคการตรวจสอบแบบสามเส้า ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูล ศึกษาจำนวน 8 คนใช้วิธีการสัมภาษณ์ และศึกษาเอกสาร ส่วนข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์ได้จากบทกลอน สรภัญญ์ของคณะสรภัญญ์ทฤษฏีที่ใช้ประกอบด้วยทฤษฏีการประพันธ์ กาพย์ ร่าย ทฤษฏีดนตรีสากล และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์ เพื่ออธิบายความเป็นมาของคณะสรภัญญ์ และฉันทลักษณ์ของบทร้องของสรภัญญ์อีสาน และเพื่ออธิบายทำนองสรภัญญ์อีสาน
ระยะที่ 2 : วิเคราะห์บทร้องของสรภัญญ์อีสาน ในจังหวัดขอนแก่นโดยการวิเคราะห์ฉันทลักษณ์การประพันธ์ในแต่ละกลอนของสรภัญญ์ว่ามีฉันทลักษณ์ และการร้อยเรียงลีลาตรงกับทฤษฏีประพันธ์กลอนแบบใด
ระยะที่ 3 : วิเคราะห์ทำนองสรภัญญ์อีสานโดยนำบทร้องและทำนองสรภัญญ์ที่วิเคราะห์แล้วในระยะที่ 2 มาบันทึกเป็นโน้ตสากลโดยใช้หลักของการวิเคราะห์ตามหลักของมานุษยดุริยางควิทยา ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในรูปแบบบทเพลงตามแบบสาก
5. ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการบันทึกโน้ตสากลของบทร้อง และทำนองของสรภัญญ์อีสาน
6. การเสนอผลการศึกษาค้นคว้า การเสนอผลการศึกษาค้นคว้า จะนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัย
ผู้วิจัยแบ่งผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ดังนี้ ดังนี้
1. ชีวประวัติของครูประพันธ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์
คณะสรภัญญ์ส่วนใหญ่ล้วนแต่พึ่งตั้งคณะขึ้นใหม่เพื่อใช้ในการประกวดแข่งขันโดยเฉพาะ และกลอนที่ใช้ในการประกวดแข่งขันนั้นก็เป็นกลอนจำเพาะ ถ้าหากหน่วยงานใดจัดประกวดแข่งขันสรภัญญ์ขึ้นก็จะมีกติกาให้ผู้แข่งขันปฏิบัติตามระเบียบการแข่งขัน แต่ก็มีคณะที่มีประสบการณ์ในการประกวดโดยศึกษาจากระยะเวลาของการตั้งคณะส่วนใหญ่แล้วคณะสรภัญญ์ที่ตั้งนานที่สุดไม่เกิน 7 ปี และในระหว่าง 7 ปีนี้ก็มี
จากเหตุเบื้องต้นที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นผู้วิจัยจึงได้เลือกคณะสรภัญญ์ที่มี ผู้ประพันธ์กลอน สรภัญญ์โดยศึกษาแนวคิดวิธีการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ว่ามีแรงจูงใจอย่างไรบ้างในการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ในครั้งนี้ พบว่ามีคณะสรภัญญ์ อยู่จำนวน 4 คณะ
จากการศึกษาประวัติของสรภัญญ์ทั้ง 4 คณะผู้วิจัยได้แบ่งศึกษา 2 กลุ่มคือ ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ และผู้ขับร้องสรภัญญ์ ดังนี้
1. ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์
ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์เป็นทั้งผู้ประพันธ์และผู้ถ่ายทอดการขับร้องสรภัญญ์ให้แก่สีกาที่ไปจำศีลทุกวันพระและวันสำคัญทางศาสนา ภูมิเดิมที่ท่านสนใจเกี่ยวกับสรภัญญ์คือเป็นความชอบส่วนตัวแล้วเริ่มแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสรภัญญ์มาโดยตลอดจนสามารถประพันธ์กลอนสรภัญญ์ได้และให้สีกาเป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของท่าน
ส่วนครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ที่ไม่ใช่พระจะมีอยู่สองกลุ่มคือ กลุ่มที่เป็นครูและอาจารย์ที่สอนในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย และกลุ่มที่เป็นสีกาที่ขับร้อง สรภัญญ์และฝึกฝนตนเองจากการเป็นผู้ขับร้องจนสามารถประพันธ์กลอนสรภัญญ์ได้ ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ทั้งสองกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะตั้งคณะสรภัญญ์เพื่อใช้ในการเดินสายในการประกวดแข่งขันมากกว่าการขับร้องในวัด
จากการศึกษาการประพันธ์ระหว่างครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ ที่เป็นพระ ครู อาจารย์ และผู้ขับร้องสรภัญญ์ พบว่า การประพันธ์กลอนสรภัญญ์ของพระนั้น เป็นเรื่องปกติเพราะต้นกำเนิดการเทศน์แหล่อีสานมาจากพระหรือบทสวดต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาษาบาลีโดยส่วนใหญ่ ดังนั้นพระจึงรู้เรื่องฉันทลักษณ์ในการประพันธ์กลอนประเภทต่างๆ ดีเยี่ยม และเนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านศาสนาเพราะหากมีประเพณีหรือบุญต่าง ๆ ส่วนการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ของครู และอาจารย์ นั้นก็มีเทคนิคการประพันธ์กลอนสรภัญญ์ไม่ต่างจากพระมากนัก เพราะใช้ฉัทลักษณ์ในการประพันธ์ที่เหมือนกัน
2. ผู้ขับร้องสรภัญญ์ (หัวหน้าคณะ)
ผู้ขับร้องสรภัญญ์ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วง 35-70 ขึ้นไป ชุดและเครื่องประดับที่ใส่มาทำการประกวด สรภัญญ์ส่วนใหญ่จะออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด รวมไปถึงค่ารถในการเดินทางมาขับร้องสรภัญญ์ การแสดงในแต่ละครั้งบางคณะก็หวังที่จะได้รางวัล เพื่อจะได้นำเงินรางวัลที่ได้นั้นไปทดแทนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการเข้าร่วมประกวด แต่ปัจจัยที่ได้เดินทางมาทำการประกวดแข่งขันสรภัญญ์ก็เพราะว่าตนเองมีความชื่นชอบและหลงใหลในการขับร้องสรภัญญ์ อีกสาเหตุหนึ่งของการตั้งคณะสรภัญญ์คือ การได้พบปะพูดคุยกันระหว่างวัยผู้สูงอายุไม่ให้เหงา เกิดความสามัคคีกันในหมู่คณะ

2. บทร้องของสรภัญญ์อีสานด้วยฉันทลักษณ์
2.1 การศึกษาบทร้องสรภัญญ์ด้วยฉันทลักษณ์
1) ด้านการแบ่งวรรคตอน พบว่า การวิเคราะห์การแบ่งวรรคตอนของสรภัญญ์พบว่ามีการแบ่งวรรคตอนออกเป็น 3 รูปแบบคือ1) แบ่งวรรคตอนแบบ 2 วรรค 2) แบ่งวรรคตอนแบบ 4วรรค 3) แบ่งวรรคตอนแบบ 6 วรรค โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย พบว่า รูปแบบการแบ่งวรรคตอนที่มีมากที่สุด คือ การแบ่งวรรคตอนแบบ 4 วรรค รองลงมาคือ การแบ่งวรรคตอนแบบ 6 วรรค และรูปแบบการแบ่งวรรคตอนที่น้อยที่สุด คือ การแบ่งวรรคตอนแบบ 2 วรรค
2) ด้านการส่งสัมผัส พบว่า การส่งสัมผัสของบทร้องสรภัญญ์จากการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 แบบคือ ส่งสัมผัสแบบร่าย ส่งสัมผัสแบบกาพย์ และส่งสัมผัสแบบผสม จากการวิเคราะห์การส่งสัมผัสของบทร้องสรภัญญ์ โดยเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า รูปแบบของการส่งสัมผัสที่มากที่สุดคือ การส่งสัมผัสแบบกาพย์ รองลงมาคือ การส่งสัมผัสแบบร่าย และรูปแบบของการส่งสัมผัสที่น้อยที่สุดคือ การส่งสัมผัสแบบผสม
3) ด้านความยาวของบท พบว่า จำนวนบทของสรภัญญ์จำนวน 11 กลอน มีความยาวของจำนวนบทขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระของการประพันธ์ เพราะมีรูปแบบการประพันธ์เหมือนร่ายคือ ไม่กำหนดความยาวของบท และเน้นความต้องการถ่ายทอดของผู้ประพันธ์เป็นหลัก รวมถึงช่วงเวลาในการเข้าร่วมประกวดแข่งขันด้วย หากการประกวดแข่งขันมีเวลา 20 นาที ต่อหนึ่งคณะดังนั้นผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ก็จะประพันธ์กลอนที่มีเวลาที่เหมาะสมกับการประกวดแข่งขันในเวทีนั้น ๆ
4) ด้านการร้อยเรียงลีลา พบว่า การร้อยเรียงลีลาตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 รส คือ เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง และสัลลาปังคพิสัย จากการวิเคราะห์รสบทร้องของสรภัญญ์ จำนวน 11 กลอน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย พบว่ารสบทร้องของสรภัญญ์ที่เลือกใช้มากที่สุดคือเสวรจนี รองลงมาคือ สัลลาปังคพิสัย และรสบทร้องที่เลือกใช้น้อยที่สุด คือ พิโรธวาทัง

3. ทำนองสรภัญญ์อีสานด้วยสังคีตลักษณ์
3.1 ศึกษาทำนองสรภัญญ์ด้วยสังคีตลักษณ์
สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์ พบว่า สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์เป็นโมตีฟ (หน่อยย่อยเอก) แบบสั้น ๆ ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ 4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค ซึ่งช่วงทบ 1 มี 5 เสียง คือ โด เร มี โซ ลา และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น
3.2 จำนวนทำนองที่ปรากฏมีจำนวนจำกัด
จากการวิจัยพบว่า มีจำนวนจำกัดระหว่าง 6-10 ทำนองที่เป็นลักษณะทำนองใช้ซ้ำ แบบสตรอฟิกซอง (Strophicn Dorg) คือทำนองเดิมใช้บทร้องได้หลายบท เนื่องจากการสืบทอดสรภัญญ์เป็นแบบ “มุขปาฐะ” คือ แบบปากต่อปาก ปัญหาก็คือ ไม่ได้รับการบันทึกโน้ตดนตรี หรือบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน จากการวิจัยสามารถอธิบายสังคีตลักษณ์ จากการบันทึกสรภัญญ์เป็นโน้ตสากล พบว่า
1. เนื้อร้องมาลาดวงดอกไม้
1) ทำนองสรภัญญ์นิพนธ์ขึ้นจากมาตราเสียง เพนตาโทนิก (Pentatoinc Scale) ซึ่งใน 1 ช่วงประกอบด้วยเสียง “โด เร มี โซ ลา” (Cdega)
2) ใช้อัตราจังหวะสองหลังเครื่องหมาย 2/4 คือ 1 ห้อง มี 2 จังหวะนับ จังหวะนับที่ 1 เป็นจังหวะหนัก
3) โมตีฟ ของทำนองเป็นแบบ “หนึ่งและ สอง”
4) วลีหนึ่งของทำนองมีความยาว 2 ห้อง
5) ประโยคหนึ่งประกอบด้วย 2 วลี และท่อนหนึ่งประกอบด้วย 2 ประโยค
6) ทำนองสรภัญญ์มีหลายทำนองแม้บทร้องอันเดียวกันก็สามารถใส่ทำนองต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับนักปราชญ์ผู้ประดิษฐ์ทำนองให้แก่บทร้องนั้น ๆ
7) ทำนองสรภัญญ์บางบทอาจนำลักษณะของเพลงร่วมสมัยและเพลงพื้นบ้านมาประสมผสานอยู่ด้วยก็มี
สรุปและอภิปรายผล
สรุป
ในด้านชีวประวัติของครูผู้ประพันธ์กลอน สรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์นั้นมีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ ครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นพระสงฆ์จำวัด และมีความชอบในเสียงของการขับ สรภัญญ์จึงได้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ขึ้นเพื่อให้ศีกาจำศีลได้ขับร้อง ในงานบุญเข้าพรรษา และบุญออกพรรษา เป็นต้นส่วนผู้ขับร้องสรภัญญ์ที่เป็นต้นเสียงนั้นเป็นศีกาจำศีล ซึ่งได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะได้เป็นผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ ประการแรกที่ผู้ขับร้องสรภัญญ์ได้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ขึ้นเอง สาเหตุมาจากต้องการกลอนสรภัญญ์ไว้ใช้ในการขับร้องตรงตามความต้องการของกิจกรรม และประการที่สอง คือ ขาดคนประพันธ์กลอนสรภัญญ์
ในด้านบทร้องของสรภัญญ์มักมีสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งพุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ ส่วนฉันทลักษณ์ของสรภัญญ์อีสานมักมีลักษณะคำประพันธ์ประเภทกาพย์ คือ ส่งสัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งจบเพลงการใช้วรรณยุกต์ต้องกลมกลืนกับลักษณะการเคลื่อนไหวทำนองเป็นสำคัญ
ในด้านทำนอง พบว่า สังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์เป็นโมตีฟ (หน่อยย่อยเอก) แบบสั้น ๆ ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ 4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค ซึ่งช่วงทบ 1 มี 5 เสียง คือ โด เร มี โซ ลา และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น
อภิปรายผล
การวิจัยศึกษาบทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสานในครั้งนี้ได้มีผลการวิจัยบางส่วนซึ่งได้สอดคล้องกับผลการวิจัยเรื่องนี้อยู่หลายประเด็น ดังนี้
1. ชีวประวัติของครูประพันธ์สรภัญญ์และผู้ขับร้องสรภัญญ์
ผลการวิจัยในครั้งนี้พบว่าครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์เป็นทั้งผู้ประพันธ์และผู้ถ่ายทอดการขับร้องสรภัญญ์ให้แก่สีกาที่ไปจำศีลทุกวันพระและวันสำคัญทางศาสนาซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ นารีรัตน์ จันทวฤทธิ์ (2553) ได้ให้ทัศนะว่าสำหรับการสวด สรภัญญ์ในเมืองไทยนั้นมีการสวดมานานแล้ว ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 ผู้ที่สวดจึงมักเป็นพระสงฆ์ และอุบาสกอุบาสิกาที่อ่านภาษาบาลีได้ และสอดคล้องกับแนวคิดของ ประมวล พิมพ์เสน (2553) ได้อธิบายว่าสมัยพระอาจารย์สิง ขันตยาคโม และอาจารย์พระมหาปิน ปัญญาพโล พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้มาปักหลักเผยแผ่ศาสนธรรม “ภาคปฏิบัติ” ณ วัดป่าโคกเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรม) ในตัวเมืองขอนแก่น ได้แต่งหนังสือจงรัก ยกย่องพระพุทธศาสนา ร้อยกรองเป็นคำฉันท์ต่าง ๆ ใช้สวดเป็นทำนองสรภัญญ์
ถ้าหากศึกษาการประพันธ์ระหว่างครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ ที่เป็นพระ ครู อาจารย์ และผู้ขับร้องสรภัญญ์ จะพบว่า การประพันธ์กลอนสรภัญญ์ของพระนั้น เป็นเรื่องปกติเพราะต้นกำเนิดการเทศน์แหล่อีสานมาจากพระหรือบทสวดต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาษาบาลีโดยส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ รุจิรา วงศ์แก้ว (2533. อ้างถึงใน, กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2512) ได้กล่าวว่าใน ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์บทสวดมนต์ต่าง ๆ เป็นคำฉันท์ ทรงจัดระเบียบทำวัตรสวดมนต์สำหรับนักเรียน ลูกเสือ และเสือป่าขึ้น และได้ใช้ระเบียบนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นพระจึงรู้เรื่องฉันทลักษณ์ในการประพันธ์กลอนประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประพันธ์กลอนแหล่ การประพันธ์บทร้องสรภัญญ์ เป็นต้น และเนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านศาสนาเพราะหากมีประเพณีหรือบุญต่าง ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ แก้วตา จันทรานุสรณ (ม.ป.ป.) ซึ่งได้อธิบายเกี่ยวกับสรภัญญ์ว่า ประเทศไทยจึงรับเอาการร้องสรภัญญ์มานานควบคู่กับพุทธศาสนา มีพัฒนาการมาจากการสวดพระธรรมวินัยของพระสงฆ์มาเป็นการขับร้องของฆราวาสเนื้อหาของสรภัญญ์มักเกี่ยวกับศาสนาและประเพณีซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ พระสมชิด จารุธมฺโม (อุทากิจ) (2550) พบว่าจริยธรรมด้านหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ในบทขับร้องสรภัญญ์อีสานจะเน้นเรื่อง ทาน ศีล บุญ กรรม ความกตัญญู ความสามัคคี และอบายมุข มากกว่าคำสอนในข้ออื่น ๆ จริยธรรมด้านจารีต ในบทขับร้องสรภัญญ์อีสานจะเน้นจริยธรรมทั้งของบุคคลและจริยธรรมในสังคม
2. บทร้องของสรภัญญ์อีสาน
ผลการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า บทร้องของสรภัญญ์มีสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งพุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ ทั้งข้อพระธรรมและปริยติต่าง ๆ เป็นสำคัญมีการทักทาย โอพาปราศรัยระหว่างผู้ขับร้องกับผู้ฟังสอดแทรก และมักจบด้วยกลอนลำลา สอดคล้องกับผลการวิจัยของ มัลลิกา มาภา (2553) ได้อธิบายเหตุการณ์สื่อสารของสรภัญญ์ทั้งหมด ซึ่งจัดเป็น 3 ส่วนได้แก่ ส่วนนำ ส่วนเนื้อหา และส่วนสรุป หัวข้อหลักของการสวดสรภัญญะ คือ การแสดงความเคารพ ความศรัทธาต่อคุณพระศรีรัตนตรัย วัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อเพิ่มความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ยกระดับจิตใจให้ดีขึ้น และสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น เนื้อหาของเหตุการณ์สื่อสาร คือ สวดสรภัญญะเพื่อจรรโลงใจ ส่วนฉันทลักษณ์ของสรภัญญ์อีสานมีลักษณะคำประพันธ์ประเภทกาพย์ คือ ส่งสัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งจบเพลงการใช้วรรณยุกต์ต้องกลมกลืนกับลักษณะการเคลื่อนไหวทำนองเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ มานิตย์ โคกค้อ (2552) ในท้องถิ่นอีสาน นิยมแต่งด้วยกาพย์ยานี 11 โดยมีเนื้อหาเป็นภาษาไทยกลาง และภาษาไทยอีสานด้านทำนองสวด พบว่า ขึ้นอยู่กับลักษณะบังคับทางฉันทลักษณ์ บางครั้งอาจแต่งทำนองก่อนแล้วจึงแต่งเนื้อหา บางครั้งอาจแต่งเนื้อหาก่อนแล้วจึงแต่ทำนองสวดตามทีหลัง
3. ทำนองสรภัญญ์อีสานด้วยสังคีตลักษณ์
ผลการวิจัยในครั้งนี้พบว่า สังคีตลักษณ์ของ สรภัญญ์เป็นโมตีฟ (หน่อยย่อยเอก) แบบสั้น ๆ ขยายโมตีฟเป็นวลีที่มีความยาวไม่เกิน 2 ห้อง ในอัตราจังหวะ 2 หรืออัตราจังหวะ 4 ทำนองเดินขึ้น เดินลง อยู่ในช่วงแคบ ๆ ของมาตราเสียงเพนตาโทนิค ซึ่งช่วงทบ 1 มี 5 เสียง คือ โด เร มี โซ ลา และลงจุดพักเพลงที่เสียงลา เป็นส่วนใหญ่ที่ให้เกิดอารมณ์ไปในทางเศร้าและผ่อนคลาย เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการขับสรภัญญ์ ซึ่งต้องให้ความสงบเย็น โดยทำนองของสรภัญญ์แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ทำนองหลัก คือ และทำนองสตอฟิกซอง คือ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ เดชา ศรีคงเมืองลักษณะเฉพาะของทำนองสรภัญญะนั้นมีขอบเขตของเสียงเพียง 3 เสียงหลัก ซึ่งจะขอกล่าวกรณีตัวอย่างที่นำมาประกอบการพิจารณานี้ เสียงหลักคือ F , G และ Aทำนองที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้เป็นทำนองใน 1 ประโยคของการสวด เมื่อเทียบกับบทประพันธ์แล้ว มีการบรรจุคำสวดครบ 1 บทประพันธ์ รูปแบบทำนองเป็นลักษณะ “เอกบท” (Strophic Form) กล่าวคือ ในรูปแบบทำนองเดียวกันนี้สามารถบรรจุคำสวดที่แตกต่างออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ย่อมมีรายละเอียดใน การออกเสียงคำที่แตกต่างกันทำให้เกิดโน้ตแทรกแซงที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ทำนองอยู่ภายใต้โครงทำนอง (Melodic Contour ) เดียวกัน นอกจากบทสวดภาษาบาลีแล้ว ยังมีบทสวดที่ประพันธ์ด้วยฉันท์ภาษาไทย ทำให้ทำนองสรภัญญ์มีหลายทำนองแม้บทร้องอันเดียวกันก็สามารถใส่ทำนองต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับนักปราชญ์ผู้ประดิษฐ์ทำนองให้แก่บทร้องนั้น ๆ รวมทั้งทำนองสรภัญญ์บางบทอาจนำลักษณะของเพลงร่วมสมัยและเพลงพื้นบ้านมาประสมผสานอยู่ด้วยก็มี
ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาวิจัยการวิเคราะห์บทร้องและทำนองสรภัญญ์อีสาน มีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1.1 ภูมิปัญญาท้องถิ่นเปรียบเสมือนรากเหง้าที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมในระดับชาติและระดับโลก จากการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของสังคมในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์ สืบทอด และถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมาก ข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ ชี้ว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ สรภัญญ์อีสานที่ได้สืบทอดกันมาอย่างช้านาน ซึ่งได้รับผลกระทบทางด้านทุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจกรรม การเผยแพร่การขับร้องสรภัญญ์ให้มากขึ้น รัฐบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐควรจะตั้งการกอบกู้ ฟื้นฟู และบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป
1.2 จากกรณีตัวอย่างทั้งด้านครูผู้ประพันธ์สรภัญญ์ และผู้ขับร้องสรภัญญ์ ที่มีบทบาทสำคัญที่เป็นผู้สืบทอดสรภัญญ์ ที่จากรึกไว้ในสังคมไทย ควรได้รับการฝึกอบรมด้านการประพันธ์กลอน และการขับร้องสรภัญญ์ อย่างเป็นระบบและมีสถาบันการศึกษาทางดุริยางคศิลป์เข้ามาให้การช่วยเหลือและผลักดัน ส่งเสริม ให้การประพันธ์กลอนสรภัญญ์และการขับร้องสรภัญญ์ มีมาตรฐานตามหลักสากล ต่อไป
2. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1. สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ควรนำผลงานวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์ใน การทำนุบำรุงการศึกษาทางภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้เป็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตรสรภัญญ์ ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาภูมิปัญญาไทย และใช้เป็นเอกสารประกอบการสัมนาและอบรม
2. ครูผู้ประพันธ์กลอนสรภัญญ์ควรศึกษาฉันทลักษณ์ และสังคีตลักษณ์ของสรภัญญ์ให้ละเอียดและถี่ถ้วนก่อนที่จะประพันธ์บทร้องเพื่อให้บทร้องสรภัญญ์ที่ประพันธ์ เกิดสุนทรียะถูกต้องและสมบูรณ์ตามหลักวิชาการ
3. ผู้ขับร้องสรภรัญญ์ควรได้รับการฝึกอบรมการขับร้องจากผู้เชี่ยวชาญด้านการขับร้องเพราะจะส่งผลให้การขับร้องสรภัญญ์เกิดสุนทรียะ ทำให้ผู้ฟังคล้อยตามในขณะที่รับฟัง
3. ข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป
3.1 ควรมีการศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นสรภัญญ์อีสาน เพื่อใช้สอนในโรงเรียนระดับ มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
3.2 ควรมีการศึกษาคณะสรภัญญ์อีสานในทุกจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อศึกษาสำเนียง ทำนอง และบทร้อง ของสรภัญญ์อีสานในแต่ละพื้นที่
3.3 ควรศึกษาวิจัย ปัญหา และอุปสรรค ของคณะสรภัญญ์อีสาน ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณรายได้มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2556 ผู้วิจัยขอขอบคุณ สำนักวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ขอขอบพระคุณ รศ.สำเร็จ คำโมง ที่แนะนำวิธีวิทยาตลอดจนประสิทธ์สาทวิชาความรู้ด้านการประพันธ์บทร้องสรภัญญ์ และดนตรี ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ยาใจ บริบูรณ์ รองศาตราจารย์ วิไลวัจส์ กฤษณะภูติ และรองศาสตราจารย์ประจิตร มหาหิง ที่ให้คำแนะนำด้านระเบียบวิธีการวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษาด้วยดีตลอดมา ขอขอบคุณสำนักวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยขอนแก่นวัดหนองแวงพระอารามหลวง และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ขอนแก่น ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ศึกษาวิจัยสรภัญญ์ และคณะสรภัญญ์ทั้งหมด 30 คณะ ที่ให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน และสนับสนุนโครงการวิจัยด้วยดีตลอดมา
บรรณานุกรม
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, กระทรวงวัฒนธรรม. (2554). สืบสานฮีตฮอยหมอลำเฉลิมพระเกียรติฯ 84 พรรษา. ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์.
แก้วตา จันทรานุสรณ. สรภัญญ์ : ภูมิปัญญาชาวบ้านกับบทบาทในสังคมอีสาน มนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ปีที่ 19 ฉบับที่ 3 (รวมผลงานวิจัย)
เดชา ศรีคงเมือง. ม.ป.ป. สรภัญญะ. www.human.nu.ac.th/thmusic/journal/waikru51/Sorapan.pdf. สืบค้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2556
นารีรัตน์ จันทวฤทธิ์. 2553. การส่งเสริมทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรมคำคล้องจองทำนองสรภัญญ์ ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (Brain Based Learning). ศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน) มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ประมวล พิมพ์เสน. 2553. สารภัญญ์ เพลงกล่อมลูก คู่มือการประกวดศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน. ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา
พระสมชิด จารุธมฺโม (อุทากิจ). 2550. ศึกษาวิธีการสอดแทรกจริยธรรมในบทขับร้องสรภัญญ์อีสาน: ศึกษาเฉพาะกรณีบทขับร้องสรภัญญ์อีสานในเขตตำบลตาดทอง อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี. วิทยานิพนธ์. ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศาสนา) ขอนแก่น : บัณฑิตวิทยาลัย
Comments