top of page

ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล Social and Isan culture reflection in mawlum songs of themawlum RatriSriwilai
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย,ภัทร์ คชภักดี.(2562).ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานใน กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ปี พ.ศ. 2562 (12 กรกฎาคม2562 ถึง13 กรกฎาคม 2562 การประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัย ระดับชาติ ครั้งที่ 5 “ศิลปะสร้างโลก” มหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ โรงแรมอวานี ขอนแก่นโฮเทล คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์) 
บทคัดย่อ

การวิจัยเรื่อง ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลทั้งจากเอกสารและจากการลงพื้นที่ สัมภาษณ์กลุ่มผู้รู้ ผู้ปฏิบัติ และกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์โดยใช้กรอบการวิเคราะห์ตามทฤษฏีที่เกี่ยวข้องในเชิงพรรณนาวิเคราะห์

ผลการวิจัย พบว่า จากการศึกษากลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล จำนวน 586 กลอน พบว่ากลอนลำสะท้อนภาพของสังคมอีสาน จำนวน 333 กลอน แบ่งออกเป็น 5ด้าน คือ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านการเมืองการปกครอง ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านการท่องเที่ยว และกลอนลำสะท้อนภาพของวัฒนธรรมอีสานจำนวน 253 กลอน แบ่งออกเป็น 4ด้าน คือ ด้านคติธรรม ได้แก่ ศาสนา และความเชื่อ ด้านเนติธรรม ได้แก่ ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ทำร่วมกัน ด้านวัตถุธรรม ได้แก่ นิทาน ภาษา และศิลปะการแสดง และด้านสหธรรม ได้แก่ การดำรงชีวิต ความสัมพันธ์กันในครอบครัว ความรักของหนุ่มสาว การกล่าวคำแนะนำตัว ทักทายถามไถ่ การให้กำลังใจ การอวยพร การอำลาพาจาก และความกตัญญู

บทนำ

หมอลำเป็นศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นภาคอีสาน ที่เกิดจากภูมิปัญญาบรรพบุรุษชาวอีสานได้พัฒนาต่อยอดจากหมอลำยุคแรกเริ่ม คือ หมอลำผีฟ้า จนถึงยุคปัจจุบัน คือ หมอลำซิ่ง บุคคลที่จะเป็นหมอลำได้นั้นสิ่งแรกต้องมีใจรัก มีพรแสวง และท้ายสุดมีพรสวรรค์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะหลอมรวมบุคคลเป็นหมอลำได้ วัตถุดิบที่หมอลำใช้ประกอบการแสดงหมอลำ คือ กลอนลำ ซึ่งกลอนลำนั้นมีอิทธิพรต่อหมอลำเป็นอย่างมาก พ่อครู ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม (2559: สัมภาษณ์) ศิลปินแห่งชาติปี พ.ศ. 2549 สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของกลอนลำที่มีผลต่อหมอลำว่า “กลอนลำมีอยู่ 2 แบบคือ กลอนลำที่ยั่งยืน และกลอนลำชั่วคราว กลอนลำที่ยั่งยืน คือ กลอนลำที่มีเนื้อหาสาระดี สอดแทรกไปด้วยคำสอน คำกินใจ มีคำเปรียบเทียบ มีสัมผัสที่ดี เพราะผู้ฟังให้ความสนใจคำกลอนเป็นอย่างมาก และกลอนลำชั่วคราว คือ กลอนลำที่มีเนื้อหาสาระธรรมดา ไม่มีสาระ ใช้คำยาบโลน ผู้ฟังก็จะฟังได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น กลอนลำ หากหมอลำมีกลอนลำดีก็จะทำให้หมอลำคนนั้นจะมีชื่อเสียงเร็วและยั่งยืน หากหมอลำยังใช้กลอนลำที่มีเนื้อหาขาดคุณภาพก็จะทำให้หมอลำคนนั้นอยู่ในวงการไม่ได้นานเช่นกัน” และสอดคล้องกับแม่ครู ดร. ฉวีวรรณ พันธุ (ดำเนิน) (2559: สัมภาษณ์) ศิลปินแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2536 สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของกลอนลำว่า “กลอนลำที่หมอลำใช้ลำนั้นมีความสำคัญมากกลอนลำที่ดีและมีสุนทรียภาพต้องกระซับรัดกุมมีความหมายกินความกว้าง มีคำเปรียบเทียบอุปมา อุปมัย และมีสัมผัส เมื่อหมอลำได้กลอนลำที่มีคุณภาพแล้วในขณะที่ถ่ายทอดต้องสามารถลำโดยการเล่นคำ เล่นเสียงได้อย่างสมบทบาทถึงจะสามารถดึงอารมณ์ผู้ชมหรือสะกดผู้ชมได้” จะเห็นได้ว่ากลอนลำมีอิทธิพลต่อผู้ฟังเป็นอย่างมากเพราะกลอนลำ คือ “วัตถุดิบ” ที่หมอลำจะต้องใช้ “ลำ”

คนอีสานในสมัยก่อนส่วนใหญ่ได้รับความรู้และข้อมูลข่าวสารจากกลอนลำที่หมอลำใช้ลำตามงานบุญงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง การศึกษา ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา เป็นต้น จะเห็นได้ว่ากลอนลำมีผลต่อภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมของคนในชุมชนอีสานตามลำดับยุคสมัยของกระแสสังคมโลกปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา จากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นดังกล่าว ผู้วิจัยค้นพบว่า ยังมีปราชญ์ศิลปินหมอลำอีกท่านหนึ่งที่ยังไม่มีผู้ศึกษาด้านภาพสะท้อนในกลอนลอนลำของท่าน คือ หมอลำราตรี ศรีวิไล ผู้บุกเบิกหมอลำกลอนประยุกต์หรือ “หมอลำซิ่ง” ปี พ.ศ. 2529 คนแรกของประเทศไทย และในปี พ.ศ.2537 หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้รับโล่ประกาศเชิดชูเกียรติให้ หมอลำราตรี ศรีวิไล เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาวรรณศิลป์ (แต่งกลอนลำ) เนื้อหาสาระกลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไล ที่ประพันธ์นั้น มักจะเป็นกลอนที่สะท้อนสภาพสังคมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของสังคม ครอบครัว การศึกษา สาธารณสุข เป็นต้น และสะท้อนภาพของวัฒนธรรม เช่น ศาสนา ความเชื่อ ภาษา อาหาร และการแต่งกาย เป็นต้น จากการศึกษาวิจัยของ สุภารณี สาระสา (2555) เรื่องวิธีการร้อง “หมอลำกลอน” ของราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร พบว่า ในด้านเนื้อหากลอนลำ 3 ทำนอง จะบรรยายธรรมชาติตามชนบทของชาวอีสาน วิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้าน การใช้ภาษาถิ่นอีสาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมและวัฒนธรรมของอีสานเป็นอย่างดี ดังตัวอย่างกลอนลำ เช่น กลอน แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

“…เมืองไทยล้มอยู่บ่แล้ว ย้อนแก้แต่ตัวบุคคล เกิดสับสนวุ่นวาย ฆ่ากันตายเลิงล้น คือไก่วนอยู่ในเข่ง จิกตีกันน่าผางหน่าย จิกตีกันจนตาย กะออกเข่งบ่ได้ ย้อนโครงเข่งนั้นหน่วงหนา…” ฯลฯ

(ราตรี ศรีวิไล, 2554)


จากกลอนลำแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในเบื้องต้น จะเห็นได้ว่ากลอนลำสะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างการปกครองของไทยที่ยังมีปัญหาอยู่ หากจะแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างนั้น ควรปรับระบบการบริหารให้เข้มแข็ง หากทางภาครัฐมีระบบริหารจัดการโครงสร้างการปกครองที่ชัดเจนโปร่งใสแล้ว ก็จะทำให้ประเทศชาติเกิดการพัฒนาและก้าวหน้าได้ แต่กลับกลายเป็นว่า การแก้ปัญหาด้านโครงสร้าง ได้แต่แก้เฉพาะกลุ่มบุคคลเท่านั้น ไม่ได้แก้ทั้งประเทศจึงทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากมายไม่มีที่สิ้นสุด ผู้แต่งกลอนจึงเปรียบให้เห็นว่า การแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างมักไปแก้ที่กลุ่มบุคคล ซึ่งกลุ่มคนเปรียบเหมือน ไก่ จึงทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นวนเวียนอยู่ในกลุ่มคนที่มีอำนาจเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ซึ่งหน่วยงานก็เปรียบเหมือน กรงเข่ง เพราะอาจเกี่ยวกับผลประโยชน์ด้วย สุดท้ายเมื่อปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขทั้งระบบเพราะเลือกที่จะปรับแก้เฉพาะสิ่งที่ตนได้ผลประโยชน์จึงทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนาและกลุ่มที่มีอำนาจในการบริหารบ้านเมืองก็อาจแย่งชิงอำนาจกันอย่างไม่จบสิ้น

นอกจากกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนถึงภาพของสังคมแล้ว ยังได้สะท้อนประเพณีวัฒนธรรมด้วย ตัวอย่างกลอน เช่น กลอน เชิญเที่ยวงานดอกคูณเสียงแคนและถนนข้าวเหนียว

อันนี้ละท่านผู้ฟังเอย บุญฮีตสิบสองคองเค้า อีสานเฮาค้ำคูณค่า หมุนเวียนมาฮอดแล้ว แซวซ้องซ่ากัน ปานสวรรค์สรรรสร้าง ความม่วนชวนสนุก ปลดปล่อยวางความทุกข์ มาฮ่วมบุญคูณค้ำ ฟังเสียงลำแคนพร้อม เหลือพรรณนาแนวเสพกล่อม เทศบาลนครขอนแก่นพร้อม เสนอให้ม่วนสู่ปี…” ฯลฯ

(ราตรี ศรีวิไล, 2558)


จากกลอนลำเชิญเที่ยวงานดอกคูณเสียงแคนและถนนข้าวเหนียวสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีในฮีตสิบสองอีสาน คือ ประเพณีเดือน 5 หมายถึง บุญสงกรานต์ ในอดีตคนอีสานนั้น ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและทำงานที่ใช้แรงงานตลอดทั้งปี ในช่วงบุญประเพณี ชาวอีสานจะละเว้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งหมด ถือเป็นกติกาของสังคมมาแต่โบราณหากใครฝืนทำงานในช่วงมีเทศกาลบุญ บุคคลนั้นก็จะเป็นเป้าสายตาของสังคม และบางครั้งถึงขั้น ขะลำ ไปเลยก็มี ซึ่งคำว่า ขะลำ ก็คือ ข้อห้ามของอีสานนั่นเอง ดังนั้น ควรละเว้นกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลบุญ แล้วไปทำบุญร่วมกับสังคม เพื่อปลดเปลื้องความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนัก รวมทั้งภาคอีสานมีสภาพฝนฟ้าที่ไม่ค่อยดีนัก จึงทำให้ชาวอีสานตั้งใจสนุกสนานและสังสรรค์กันอย่างเต็มที่ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า และความเพลียจากการทำงานมาทั้งเดือน เนื้อหาสาระกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล จึงสอดคล้องกับ พชรวรรณ พานิคม (2549) ได้ศึกษาภาพพจน์ที่ปรากฏในหมอลำกลอนซิ่ง พบว่า กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล มีคุณค่าในด้านภาษาและเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารความรู้ ข่าวสารต่าง ๆแก่ชุมชนเป็นอย่างมาก กลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไล ประพันธ์ขึ้นมาด้วยตนเองที่หมด (2559) ซึ่งมีประมาณ 3,000 กลอน ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2512 จนถึง ปี พ.ศ. 2560 มีเนื้อหาสาระเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น จากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ผู้วิจัยทราบถึงคุณค่าในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ที่สะท้อนถึงสังคมและวัฒนธรรมของชาวอีสาน ในหลายเรื่องด้วยกันซึ่งเป็นสื่อกลาง ทำให้ชาวอีสานได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองต่อไป จากเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ผู้วิจัยเกิดแรงบันดาลใจ อยากศึกษาภาพสะท้อนของสังคมและวัฒนธรรมในกลอนลำของ หมอลำราตรี ศรีวิไล เพื่อให้เห็นสภาพของสังคมและวัฒนธรรมอีสานได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง และเพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐานของชาติต่อไป

วัตถุประสงค์ของการศึกษา

เพื่อศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล

วิธีการศึกษา

ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการดำเนินการวิจัย ดังต่อไปนี้

1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

1.1 แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant Observation) เพื่อสังเกตอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกข้อมูลกลอนลำ ได้แก่ การบันทึกข้อมูลด้วยลายมือ การบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องพิมพ์ดีด และการบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

1.2 แบบสัมภาษณ์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ประกอบด้วย

1.2.1 แบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง (Structured Interview) ใช้สัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลพัฒนาการกลอนลำจากผู้ปฏิบัติ

1.2.2 แบบสัมภาษณ์ชนิดไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) ใช้สัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลความสำคัญของผู้ประพันธ์กลอนลำและกลอนลำจากกลุ่มผู้รู้

2. การเก็บรวบรวมข้อมูล

2.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ หมอลำ กลอนลำ สังคมและวัฒนธรรมอีสาน แนวคิดและทฤษฏี

2.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ได้จากการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (in-depth Interview) และการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง

3. บุคลากรผู้ให้ข้อมูล

3.1 กลุ่มผู้รู้ คือ กลุ่มที่เป็นนักวิชาการ ได้แก่ อาจารย์ประมวล พิมพ์เสน และกลุ่มที่เป็นปราชญ์ชาวบ้านและมีตำแหน่งเป็นศิลปินแห่งชาติ ได้แก่ ดร.ฉวีวรรณ พันธุ (ดำเนิน) และนายฉลาดน้อย ส่งเสริม

3.2 กลุ่มผู้ปฏิบัติ คือ หมอลำราตรี ศรีวิไล

4. สถานที่ทำการวิจัย คือ จังหวัดขอนแก่น

5. การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์นี้ใช้กระบวกการวิเคราะห์เชิงคุณภาพโดยศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล แล้วนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ รวมทั้งการนำเสนอข้อมูลด้วยภาพถ่าย

6. ระยะเวลาในการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาศึกษา 2 ปี ตั้งแต่ 2558-2560

ผลการศึกษา

จากการศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล พบว่า

1. ภาพสะท้อนทางด้านสังคม พบว่า

1.1 ด้านประวัติศาสตร์ กล่าวถึง พงศาวดารเวียงจันทน์ ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาวผู้ไทยบ้านโพน ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สุโขทัย ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา ประวัติศาสตร์กรุงธนบุรี และประวัติกรุงเทพอมรรัตนโกสินทร์ จำนวน 60 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน พงศวดารเวียงจันทร์ : พรมลงมาสร้างเวียงจันทน์ ตอนที่ 2

กลอนลำได้สะท้อนว่าในหนังสืออุบัติบรมจักรลาวได้เล่าประวัติการสร้างเมืองเวียงจันทร์ว่า ครั้งแรกได้เกิดฝนตกลงมาบนโลกครั้งใหญ่ ครั้งที่สองเกิดเป็นไฟมาลัยตกลงมาบนพื้นดิน ลมได้พัดดินที่หอมหวนขึ้นไปบนสวรรค์ ทำให้เทวดาผัวเมียได้กลิ่นดิน เลยลงมาจากสวรรค์มากินดิน ทำให้ทั้งคู่ผิดศีลธรรม ไม่สามารถกลับคืนสู่สวรรค์ได้ ทั้งสองจึงได้อยู่ที่เมืองมนุษย์และมีลูกมีหลานตั้งแต่บัดนั้น บางตำราก็กล่าวว่า เกิดจากฤษีเป็นผู้สร้างเมืองเวียงจันทร์ ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...คราวนั้นฝนตกโห่งลงมาฟ้าก่องครั้งที่สองนั้นเป็นไฟมลัยตกมาไหม้แผ่นผื้นดินจื้นเหล่าเซา ลมพัดดินอูดเอ้าเท่าทั่วเมืองสวรรค์พรมผัวเมียอัศจรรย์กลิ่นดินหอมกุ้ม หลังไฟสุมเผาแล้วหอมดินลิ้นซั่วพรมผัวเมียกะเลยอดบ่ได้หอล้ำล่วงลง พอแต่มาฮอดซ่งเขตถิ่นดินหอมพร้อมพากันกินดินกลิ่นหอมเอาฮ้าย ศิลธรรมหายเสียสิ้นเพาะหอมดินเค้าคื่นเลยเหาะคืนบ่ได้หาหม่องพักนอน อยู่ต่อมาพรมผัวเมียเสบซ้อนนอนสู่สมกัน ขยายพันธ์ออกหลายเซื้อสายของท่าน ตอนนี่พรมลงสร้างเวียงจันทร์ครั้งแรก คำนวณแจกออกไว้หลายข้อต่อกัน

(กลอน พงศวดารเวียงจันทร์ : พรมลงมาสร้างเวียงจันทน์ ตอนที่ 2 ทำนองลำทางสั้น, 2515)

1.2 ด้านการเมือง การปกครอง แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้

1.2.1 ด้านการเมือง กล่าวถึง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประชาธิปไตยการรณรงค์เลือกตั้ง ปัญหาด้านการเมืองไทย ความสามัคคีปองดอง นโยบายแห่งรัฐบาล ปรากฏในกลอนลำจำนวน 91 กลอน

1.2.2 ด้านการปกครอง กล่าวถึง ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ไทย ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 53 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน เชิญชวนเลือกตั้ง สส 13 กย. 29 ตอนที่ 1

กลอนลำได้สะท้อนว่าก่อนการเลือกตั้งผู้แทนเราควรไตร่ตรองในตัวบุคคลที่เราจะเลือกเสียก่อนว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับประเทศชาติแล้วหรือยัง หรือถ้าหากเราเลือกคนที่ไม่มีคุณภาพมาบริหารประเทศแล้ว ประเทศชาติก็อาจจะไม่พัฒนาก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ ดังเช่น ตัวอย่าง ปี พ.ศ.2535 พฤษภาทมิฬ เกิดการนองเลือดกันเกิดขึ้น ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการขายเสียงแล้วมาใคร่ควรพิจารณาเฟ้นคนดีที่มีคุณธรรมกันต่อไป ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...การที่มีสิทธิใช้แบบประชาธิปไตย เฮาต้องใช้ไปทางแม่น คือการเลือกผู้แทนเฮาต้องคิดให้ถี่ถ้วน สมควรแล้วจั่งเอา ผู้แทนเฮาต้องใช้คนที่เหมาะสม ได้ผู้แทนบ่ดีบ้านเมืองสิโหล่มโจมวอดวายหายสิ้น ผู้แทนโกงผู้แทนกินคือผู้แทนซุมซื้อสิทธิ์เสียงนี้หละแม่ ใช้แต่เงินจ่ายซื้อเขาจั่งให้ใส่คะแนน ผู้แทนดีบ่ได้ใช้เงินซื้ออยู่ซื่อ ๆ คนกะเอาเพราะเขาเห็นผลงานผ่านมาว่าดีแล้ว แนวผู้แทนดีนั้นให้พากันฟังก่อน ขึ้นชื่อว่าผู้แทนราษฎรประชาชนเดือดร้อนให้เขาได้พึ่งพา...

(กลอน เชิญชวนเลือกตั้ง สส 13 กย. 29 ตอนที่ 1 ทำนองลำทางยาว, 2529)


1.3 ด้านการศึกษา กล่าวถึง การสอนพ่อแม่ให้เอาใจใส่ลูก สอนการประพฤติตัวของวัยรุ่น สอนให้รู้จักสิ่งเสพติด สอนให้ละเว้นจากอบายมุข สอนให้รู้จักโรคติดต่อ สอนให้รู้จักวิธีป้องกันโรค สอนให้รู้จักทำความสะอาดที่อยู่อาศัย สอนให้รู้จักการกินอาหาร สอนให้รู้จักสรรพคุณยา สอนให้รู้เรื่องกฎหมาย สอนให้รู้เรื่องวิชาการด้านต่าง ๆ สอนให้รู้จักป้องกันอุบัติเหตุสอนให้รู้จักอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสอนให้รู้จักภัยธรรมชาติ ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 101 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน รณรงค์อีสานไม่กินปลาดิบ ตอนที่ 1

กลอนลำได้สะท้อนว่าจากการสำรวจขอกระทรวงสาธารณสุข พบว่า 55% ของคนอีสานเป็นโรคมะเร็งตับ และพยาธิใบไม้ในตับกันส่วนมาก สาเหตุเพราะการกินปลาดิบ ได้แก่ ปลาตะเพียน ปลาขาวนา ปลาซิว เป็นต้น และส่งผลทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งถุงน้ำดีได้ ดังนั้นก่อนกินปลาควรมีการปรุงให้สุกเสียก่อนเสมอ ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

โอละนอ......โรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นปัญหาสาธารณสุขเรื้อรัง ทั้งเป็นบ่อนทำลายสุขภาพอนามัยของชาวอีสานมานาน โครงการรณรงค์อีสานไม่กินปลาดิบนี้เกิดจากกระทรวงสาธารณสุขเพิ่นเป็นห่วงอีสานหลาย จั่งตั้งโครงการมามีรูปปลาอยู่กลางรูปก้อนเส้าอยู่ใต้รูปเปลวไฟอยู่เทิง นั่นคือสัญลักษณ์โครงการรณรงค์อีสานไม่กินปลาดิบ โดยเฉพาะปลามีเกล็ดทั้งหลายกินปลาดิบเป็นมะเร็งตับ ชีวิตสิดับถึงตายโปรดจ่งได้ฟังแน่หมอลำเว้า...

(กลอน รณรงค์อีสานไม่กินปลาดิบ ตอนที่ 1 ทำนองลำทางสั้น, 2532)

1.4 ด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึง โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐที่มาช่วยเหลือชุมชนอีสาน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 11 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน รณรงค์ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม

กลอนลำได้สะท้อนว่าหม่อนเป็นพืชที่ปลูกง่ายแค่เอาปุ๋ยใส่ก็เจริญเติบโตได้ โดยไม่ต้องการน้ำมาก และในศูนย์เกษตรอำเภอ และเกษตรตำบล ก็มีพันธุ์หม่อนไว้แจกประชาชนที่สนใจ เช่น หม่อนไหมบ้านหนองเซียงซุย อำเภอเมืองขอนแก่น เป็นแหล่งที่หม่อนและไหมสวยงามมาก ซึ่งการเลี้ยงไหมนี้เป็นหัตถกรรมที่องค์สมเด็จราชินี ได้จัดทำโครงการขึ้น ผ้าไหมนี้สามารถจับกลุ่มกันทำและสามารถขายได้ราคาดี เพราะราคาไหมไม่ค่อยตก ถือว่าเป็นรายได้และเศรษฐกิจของชุมชนได้ ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...ฟ้าเอยฟ้าฮ้องตั้มได้ยินเสียงหมอลำโปรดจงได้ฟังก่อน หันมาฟังเรื่องปลูกหม่อนเลี้ยงไหมย้อนสาแล้วจั่งค่อยไปคนใคๆ ละน้า… งานเกษตรเฮาเฮ็ดได้หลายอย่างหลายอัน ข้อสำคัญเฮาสิลงทุนเฮ็ดส่วนหลายหรือน้อย คอยถ้าผลิตภัณฑ์ช้าหรือไวแตกต่าง อย่างที่เลี้ยงหม่อนนี้ผลได้ง่ายดี เริ่มปลูกหม่อนนี้ เอาฝุ่นใส่ให้งามสวย ฝุ่นขี่วัวขี่ควายอยู่คอกเราตามบ้าน ประการสองอย่าให้วัวควายเหยียบย่ำ สองสามเดือนก่อนหม่อนเจ้าสิงาม บ่อได้หดฮอดน้ำธรรมชาติงามเอง การเลี้ยงไหมต้องเล็งฮอดผลรายได้ ให้ไปเอาพันธุ์ม้อนพันธุ์ไหมที่เพิ่นจ่ายเลี้ยงแล้วได้ผลง่ายอยู่ตามศูนย์เกษตรนั้นทางการได้แจกจ่ายพันธุ์

(กลอน รณรงค์ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทำนองลำทางยาว, 2533)

1.5 ด้านการท่องเที่ยว กล่าวถึง แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ หนองคาย แหล่งท่องเที่ยวโบราณสถาน และแหล่งท่องเที่ยวในภาคอีสาน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 16 กลอน

ตัวอย่างเช่น กลอน ลำล่องชมเมืองขอนแก่น ตอนที่ 1

กลอนลำได้สะท้อนว่าที่จังหวัดขอนแก่นมีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมมากมายได้แก่ บึงแก่นนครที่เป็นบึงสารธารณะ มีดอกคูณบานเหลืองอร่ามในเดือนเมษายน และมีการจัดประเพณีสงกรานต์ มีหมอลำหมอแคนฉลองกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีประเพณีงานไหม ที่ได้จัดแสดงผ้าไหมจากทุกอำเภอมาให้ชมด้วย นับว่าจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่มากมายเลยทีเดียว ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...สวรรค์เมืองคนนี้ ใสซิเกินเมืองขอนแก่น ทิวทัศน์งามเหลือแสน นั้นแม่นบึงแก่นนครเด้อบ่อนนี้ สถานที่ท่องเที่ยว คนเทียวเล่นบ่ขาดสาย ต้นคูณงามซ้ายล้าย ปลูกเลียบฝั่งริมบึง สี่พันต้นปลูกทั่วถึงเลาะริมบึงแก่นนคร สุดสะออนออนซอนแท้ แวไปดู สวนสาธารณะนั้นภาพประติมากรรม มีรูปปั้นต่าง ๆ สวนร้อยตอขนาดบ่ถี่บ่ห่างมีประมาณร้อยต้น งามล้นหม่องเที่ยวคน คณะเทศบาลผู้คิดค้น ตกแต่งความสวยงาม ถามผู้ใดเคยไป กะเว้าเป็นคำเดียว เที่ยวแล้วหายคลายฮ้อนในตัวบึงแก่นนคร คือทะเลสาบน้อยฝูงเป็ดห่าน ลงลอย มองเห็นเป็นธรรมชาติถนนลาดยางรถแล่นล้อม ริมน้ำรอบบึง...

(กลอน ลำล่องชมเมืองขอนแก่น ตอนที่ 1 ทำนองลำทางยาว, 2536)



2. ภาพสะท้อนทางด้านวัฒนธรรม

จากการศึกษาภาพสะท้อนทางสังคมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้

2.1 คติธรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้

2.1.1 ศาสนา ประกอบด้วย

2.1.1.1 กำเนิดศาสนา กล่าวถึง มงคลคาถา พระศรีอาริยเมตรัย และปฐมนิเทศธรรม ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 7 กลอน

2.1.1.2 นิทานชาดก กล่าวถึง นิทานเรื่องเผวสันดรชาดก นางโตวา พระมหาชนก ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 16 กลอน

2.1.1.3 กำเนิดประเพณีสำคัญในศาสนา กล่าวถึง พุทธยันตี ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 4 กลอน

2.1.1.4 วันสำคัญทางศาสนา กล่าวถึง วันวิสาขบูชา และวันมาฆบูชา ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 3 กลอน

2.1.1.5 พระภิกษุที่เผยแพร่พุทธศาสนา กล่าวถึง ประวัติหลวงพ่อปู่มหาโส พระครูพิทักษ์อัมพวัน พระครูศิริธรรมนิเทศ และพระครูสุตวิชัยธรรม ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 16 กลอน

2.1.1.6 การรักษาศีลทำความดี กล่าวถึง การอาราธนาศีล การบูชาคุณพระพุทธเจ้า และการเปรียบเทียบหลักธรรม ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 5 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน พระศรีอาริยะเมตรัย: เอาเขิงทองคำฮ่อนคนไว้ฮ่มโพธิ์สามต้น ตอนที่ 3

กลอนลำได้สะท้อนว่า ในหนังสือธรรมเล่มที่นำมาเรียบเรียงเป็นกลอนลำเล่มนี้ได้กล่าวว่า จะเกิดการสู้รบระหว่างประเทศ บ้านเมืองถูกไฟไหม้เสียหาย ผู้คนอดอยากข้าวของมีราคาแพง ธรณีจะสูบผู้คน น้ำจะท่วมและผู้คนจะล้มตายกัน คนชั่วจะตายหมด คนดีจะรอดตาย พระศรีอาริยะเมตรัยท่านจะกรองเอาแต่คนดีไว้ และโลกใหม่นี้จะมีลักษณะเป็นปราสาทแก้วที่สวยงาม ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...พญาธรรมเพิ่นสิท้อนคนไว้อยู่สามฮ่มโพธิ์ศรีสิฮ่อนเอาคนดีผู้มีศีลกินทานสิตุ้มโฮมเอาไว้ องค์พระศรีอริยะเมตตรัยเพิ่นสิเก็บโฮมท้อนแล้วเอาเขิงมาฮ่อน ซุมบาปหนาปาปังกะสิค่อยๆท้อนเอาเขิงร่อนฮ่อนหนี ผู้มีบุญจั่งสิค้างโลกนี้บ่ถึงที่มรณาได้เสวยโลกาโลกคนบนเบื้อง สิเห็นเมืองพระธรรมสร้างหอปางหลังใหญ่ กะบ่แม่นผู้ใด๋แม่นหมอลำนี้แหล่วสิเห็นแก้วหน่วยใส...

(กลอน พระศรีอาริยะเมตรัย: เอาเขิงทองคำฮ่อนคนไว้ฮ่มโพธิ์สามต้น ตอนที่ 3 ทำนองลำทางสั้น, 2514)

2.1.2 ความเชื่อ ประกอบด้วย

2.1.2.1 เชื่อในเรื่องความฝัน กล่าวถึง ความฝันของพระปัสเสน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 5 กลอน

2.1.2.2 เชื่อเรื่องบุญ บาป กล่าวถึง การเตือนให้คนทำดี อย่าโลภหลงในทรัพย์สินเงินทองเพราะเป็นของนอกกาย ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 6 กลอน

2.1.2.3 ความเชื่อส่วนบุคคล แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น

1) เชื่อเรื่องการบวช กล่าวถึงอณิสงค์ของบุญบวช ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 3 กลอน

2) เชื่อเรื่องการตาย กล่าวถึง สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงเมื่อเราตายไปสิ่งที่ไปกับเราได้คือ บุญ กับบาป เท่านั้น ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 12 กลอน

3) เชื่อเรื่องการอุทิศบุญหาผู้ตาย กล่าวถึง บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วหากลูกหลานอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้ บุญกุศลก็จะเป็นบันไดให้ญาติที่ล่วงลับไปได้ไต่ขึ้นสวรรค์ ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 2 กลอน

4) ความเชื่อทั่วไป กล่าว ธรรมะสามารถเป็นยารักษาโรคได้ และเชื่อว่าคนตายไปยังได้กลับมาเกิดอีกครั้ง ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 4 กลอน

ตัวอย่างเช่น กลอน ล่องต่อส่งดวงวิญญาณผู้วายชนม์

กลอนลำได้สะท้อนว่า เมื่อหากคนเราตายไปแล้วสิ่งที่ยังคงอยู่บนโลกนี้คือ ชื่อและคุณความดี สังขารคนนี้ไม่เที่ยงแท้ เปรียบกับการไปค้าขายแดนไกลยังได้กลับคืนมาบ้าน ไปทำงานแดนไกลก็ได้กลับคืนมา แต่ความตายนี้ไปแล้วไม่มีวันกลับคืนมาได้ ญาติพี่น้องก็โศกเศร้าตามผู้ล่วงลับ และค่อยทำบุญไปให้ตลอด ถึงแม้วิญญาณจะอยู่ตามผืนดิน ผืนหญ้า หรือไร่นาภูผา ลูกหลานก็จะเรียกให้มารับเอาส่วนบุญเพื่อผู้ตายจะได้ไปสู่สวรรค์ ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...อันนี้ละท่านผู้ฟังเอ้ย จั่งว่าอกเสนหาฝั่นไกลกันบ่กลับต่าว คิดถึงคราวเคยได้ปากได้เว้าตนเจ้ามาด่วนไล….เหลือแต่ชื่อกลับคุณความดีฝากไว้ในพื้นแผ่นปฐพีส่วนสังขารไลหนีบ่มีเหลือไว้ หมู่เพิ่นไปขายค้ายังได้มีเวลาคืนบ้านคืนซ่อง ไปขายข้าวขายของยังได้กลับต่าวโค้งคืนบ้านถิ่นสถาน ไปทำงานยังมีมื้อคอยนับมื้อกลับมา พอฮอดวันเวลากะต่าวมาตามเว้าอันนี้หยังนอเจ้ามาหนีไกลเอิ้นบ่กู่(ชื่อผู้ตาย)เรามาตายจากหมู่ ปล่อยให้ญาติพี่น้องหมองเศร้าหม่นใจ...

(กลอน ล่องต่อส่งดวงวิญญาณผู้วายชนม์ ทำนองลำทางยาว, 2515)

2.2 เนติธรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้

2.2.1 ขนบธรรมเนียม ประกอบด้วย

2.2.1.1 ประเพณีฮีตสิบสอง คองสิบสี่ กล่าวถึง ประเพณีฮีตสิบสอง ประเพณีคองสิบสี่ ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 11 กลอน

2.2.1.2 ฮีตผัวคองเมีย กล่าวถึง การอยู่ร่วมกันของผัวเมียไม่ควรหาเรื่องขัดแย้งกัน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 3 กลอน

2.2.2 ประเพณีที่ทำร่วมกัน กล่าวถึง การทำบุญกฐิน และการทำบุญบูชาคุณข้าว ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 5 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน ฮีตผัวคองเมีย

กลอนลำได้สะท้อนว่าในอีสานมีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสามีภรรยากันมาตั้งแต่โบราณ ปู่ย่าตายายจึงได้เล่าสืบต่อกันเป็นข้อ ๆ เช่น ข้อที่ 1 ให้ศึกษาใจคอกันทั้งชายและหญิงก่อนอยู่ด้วยกัน ข้อที่ 2 อย่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวกับญาติมิตร ข้อที่ 3 ให้ทำตามสิ่งที่ได้พูดเอาไว้ ข้อที่ 4 ให้มีสติ และอย่าเกียจคร้านให้หมั่นขยันทำมาหากิน ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...ข้อหนึ่งนั่นควรมั่นพิจารณา คือดังเทพศึกษาศึกษาให้เข้าใจกันไว้ให้เอากายใจเข้าใจเข้านำกันสองฝ่าย ข้อที่สองเรื่องเงินทองของขายนั่นแมน ของนอกกายในชีวิตเด้อท่อนั่นควรให้จ่มนำ สมควรจับจ่ายบ้างให้ญาติมิตรติดใจ ข้อที่สามให้เรียนรู้วินัยไต่ตรองครองเค้าให้ทำจริงคือเว่าสีจั่งไปฮอดฝั่ง ข้อที่สี่มีสติยับยั้งกันไว้สู่ทาง...

(กลอน ฮีตผัวคองเมีย ทำนองลำทางสั้น, 2519)


2.3 วัตถุธรรม แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้

2.3.1 นิทาน กล่าวถึง นิทานสีธน มโนราห์ นิทานกามนิต วาสิฏฐี นิทานพ่อหม้ายใจบาป นิทานจระเข้หลงกล นิทานประวัติลำแคนและหมอลำ นิทานแมงตับเต่า ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 24 กลอน

2.3.2 ภาษา กล่าวถึง คำศัพท์ภาษาไทยถิ่นอีสาน สำเนียงภาษาถิ่นไทยอีสาน สุภาษิตคำคมโบราณอีสาน และภาษาผสมระหว่างไทย และต่างประเทศ ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 15 กลอน

2.3.3 ศิลปะการแสดง กล่าวถึง วาดฟ้อนท่ารำอีสาน ศิลปะการร้องการลำ การผสมระหว่างเพลงหมอลำกับเพลงต่างประเทศ ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 6 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน นิทานสีธน-มโนราห์ ตอนที่ 1

กลอนลำได้สะท้อนว่านิทานสีธน-มโนราห์ ได้กล่าวถึง เมืองภูเงินมีพระราชาครองเมืองชื่อ ไกรราช มีลูกสาวเจ็ดนางเป็นมโนราห์มีปีกกับหางชอบไปเล่นน้ำที่สระอโนดาด ในขณะที่เล่นน้ำอยู่นั้นมีนายพรานมาซุ่มแอบดูอยู่ และนายพรานได้เอาบ่วงคล้องคอนางมโนราห์ตัวที่เจ็ดคือน้องสุดท้อง ส่วนอีกทั้งหกนางที่เป็นพี่ได้ร้องให้ระงมและได้บินไปบอกพระบิดา นายพรานจึงได้เก็บปีกกับหางนางมโนราห์กลับเมืองเปงจาน และได้เอานางมโนราห์ไปถวายให้แก่ท้าวสีธนและทั้งคู่ก็ได้อภิเษกสมรสกันอย่างราบรื่น ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

บัดนี้โจ๊ะบทบั้นลำประชันไว้ก่อน ตอนนี้บั้นท่อนท้ายขยายเรื่องนิทาน อดีตกาลผ่านพ้นครั้งก่อนหนหลัง ยังมีเมืองภูเงินอยู่ไกลเหลือล้ำ มีผู้นำเมืองนี้ชื่อพญาไกรราช สวยสะอาดลูกน้อยงามระห้อยเกิ่งอินทร์ ลูกสาวเหมิดตลอดสิ้นมโนราชทั้งเจ็ด เคยเสด็จชมสวนบ่มีวันเว้น เจ็ดวันนางไปเล่นสระหลวงอโนดาต บ่เคยขาดเทียวเล่นเจ็ดมื้อจื่อจำ เมืองนี้ประหลาดล้ำมีปีกกับหาง ส่วนมโนราห์นางผู้ดีงามย้อง มื้อนั้นเจ็ดพี่น้องขอลาตนพ่อ ทะยานเหิ่นฟ้าไปด้วยปีกหาง

(กลอน นิทานสีธน-มโนราห์ ตอนที่ 1 ทำนองลำทางสั้น, 2528)

2.4 สหธรรม แบ่งออกเป็น 6 ประเด็น ดังนี้

2.4.1 การดำรงชีวิต กล่าวถึง แหล่งทำมาหากิน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 2 กลอน

2.4.2 ความสัมพันธ์กันในครอบครัว กล่าวถึงหญิงชายชาวอีสานอยู่ด้วยกันอย่างสามีภรรยา ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 5 กลอน

2.4.3 ความรักของหนุ่มสาว กล่าวถึง การเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาวชาวอีสาน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 5 กลอน

2.4.4 การกล่าวแนะนำตัว ทักทายถามไถ่ ให้กำลังใจ อวยพร และอำลาจาก กล่าวถึง การกล่าวคำทักทายรายงานตัว การกล่าวทักทายไถ่ถาม การกล่าวให้กำลังใจกัน การกล่าวคำอวยพร การกล่าวคำอำลาจากกัน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 76 กลอน

2.4.5 ความกตัญญู กล่าวถึง กตัญญูต่อบิดาและมารดา กตัญญูต่อครูบาอาจารย์ กตัญญูต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 18 กลอน

2.4.6 วิถีชีวิตทั่วไป กล่าวถึง ความคิดเห็นที่มีความแตกต่างกันเมื่ออยู่ร่วมสังคมเดียวกันของคนอีสาน ปรากฏในกลอนลำ จำนวน 4 กลอน ตัวอย่างเช่น กลอน ผู้ชายส่อนถืกค้อนผู้หญิง

กลอนลำได้สะท้อนว่าหากต้องการให้ครอบครัวอยู่อย่างเป็นสุขแล้วสามีควรปฏิบัติตนดังนี้ 1. สามีขยันหาเงินมาให้ภรรยาเก็บออม 2. สามีที่หวงแหนข้าวของไม่สุรุยสุร่าย 3. สามีที่ช่วยภรรยาดูแลลูก 4. สามีที่คอยช่วยเหลืองานบ้านของภรรยา 5. สามีซื่อสัตย์ต่อภรรยาหากไม่เป็นไปตาม 5 ข้อนี้ให้ผู้หญิงหลีกเลี่ยงเสีย ดังปรากฏจากตัวอย่างคำกลอนบางตอนต่อไปนี้

...ข้อที่ 2เพิ่นว่าไว้จั่งซี้หน้าที่ผัวดี สิ่งของมีต้องเก็บซ่อยเมียหาเมี้ยนเพียรรักษาเอาไว้ อย่าหนีไกลไล่ห่าง เวลาอย่าปล่อยถิ้มให้เก็บเมี้ยนซ่อยกัน ข้อที่ 3 ว่านั้นโบราณเก่าจามา ให้ซ่อยภรรยาเลี้ยงดูลูกเต้า ข้อที่ 4 ยามว่างซ่อยหุงต้มนึ่งเข้าฝักใฝ่ในครัว ข้อที่ 5 ผู้เป็นผัวอย่าใฝ่มีเมียน้อย ภรรยาแขนห้อยติดตามเมียใหญ่ ข้อนี้ภัยแฮ่งฮ้ายหลายล้นกว่าสู่อัน...

(กลอน ผู้ชายส่อนถืกค้อนผู้หญิง ทำนองลำทางสั้น, 2519)


สรุปและอภิปรายผล

จากการศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ผู้วิจัยพบว่า กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนภาพของสังคมอีสานด้วยกัน 5 ด้าน คือ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านการเมือง การปกครอง ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านการท่องเที่ยว และได้สะท้อนภาพของวัฒนธรรมอีสานด้วยกัน 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านคติธรรม ได้แก่ ศาสนา และความเชื่อ ด้านเนติธรรม ได้แก่ ขนบธรรมเนียม และประเพณีที่ทำร่วมกัน ด้านวัตถุธรรม ได้แก่ นิทาน ภาษา ศิลปะการแสดง และด้านสหธรรม ได้แก่ การดำรงชีวิต ความสัมพันธ์กันในครอบครัว ความรักของหนุ่มสาว การกล่าวคำแนะนำตัว การทักทายไถ่ถาม การให้กำลังใจ การอวยพร การกล่าวคำอำลาพาจาก และความกตัญญู จากการศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานที่ปรากฏในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล พบว่า หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้ประพันธ์กลอนลำที่มีเนื้อหาสะท้อนด้านสังคม จำนวน 333 กลอน (ร้อยละ 56.82) มากกว่ากลอนลำที่มีเนื้อหาสะท้อนด้านวัฒนธรรม จำนวน 253 กลอน (ร้อยละ 43.17) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าเกิดจากผลของแรงบันดาลใจในการประพันธ์กลอนลำบางส่วน ได้แก่ การประพันธ์กลอนลำตามสภาพสังคมและวัฒนธรรม การประพันธ์กลอนลำประกวดแข่งขัน และการประพันธ์กลอนลำให้กับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ มีผลทำให้กลอนลำทางสังคมมากตามไปด้วย อีกทั้งแผนและนโยบายของประเทศก็มีผลสอดคล้องกับการประพันธ์กลอนลำด้วย คือ แผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2550-2559 พันธกิจที่ 4 ส่งเสริมให้หน่วยงานทุกส่วนมีส่วนร่วมในการเชิดชูคุณค่าวัฒนธรรมให้เห็นถึงความเป็นไทย กลยุทธ์ที่ 1 สร้างมิตรด้านภาคี วัตถุประสงค์เพื่อประสานหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ร่วมมือช่วยเหลือขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม แผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2550-2559 (2552) และ คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่มีนโยบายว่า ศิลปวัฒนธรรมของไทยที่มีความหลากหลายนี้ควรมีการอนุรักษ์ ส่งเสริม ฟื้นฟู และเผยแพร่ ให้เกิดความภูมิใจในด้านภาษาไทย ภาษาถิ่น และภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้ ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ของประชาชนในระดับภาค ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติต่อไป (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, 2557) ดังนั้นกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลบางส่วนจึงขึ้นอยู่กับแผนและนโยบายบางของประเทศด้วยเช่นกัน

ภาพสะท้อนทางสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำนั้น เป็นการสะท้อนภาพของข้อมูลเนื้อหาสาระข่าวสารทั่วประเทศไม่จำกัดแต่เรื่องราวภายใน 20 จังหวัดของอีสานนี้เท่านั้น แต่เนื้อหากลอนลำที่สะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรมอีสานนั้น อธิบายได้ว่า กลอนลำเป็นเสมือนตัวกลางในการแปรรูปข้อมูลที่เป็นความเรียง หรือ แนวคิด แล้วผู้ประพันธ์ได้นำมาเรียบเรียงข้อมูลเหล่านั้นขึ้นเป็นบทกลอนถ่ายทอดให้ชาวบ้านได้เข้าใจมากขึ้น เรียกว่า เพลงหมอลำ ซึ่งสามารถช่วยสร้างความบันเทิงให้แก่ชาวบ้านรวมทั้งเพลงหมอลำได้แฝงไปด้วยคำสอน คำเตือน และคำแนะนำต่าง ๆ ตามบริบทของลักษณะของการใช้งานนั้นเป็นอย่างดี จากการศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สอดคล้องกับผลการวิจัยที่มีผู้วิจัยภาพสะท้อนในบทเพลงลูกทุ่ง คือ ชรินทร์ อินทะสุวรรณ์ (2554) ด้านสังคมสะท้อน การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ครอบครัว การศึกษา ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ,วิจิตรา อาจบำรุง (2552) ด้านสังคมสะท้อน เศรษฐกิจ การศึกษา ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ความเชื่อ, จำลอง วงษ์ยี่ (2552) ด้านสังคมสะท้อน การเมือง การปกครอง เศรษฐ์กิจ ครอบครัว การศึกษา ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ความเชื่อ, ทองแตง ภูดี (2551) ด้านสังคมสะท้อน เศรษฐกิจ การศึกษา ด้านวัฒนธรรม สะท้อนธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ภาษา, บุญเกิด มาดหมาย (2550) ด้านสังคมสะท้อน เศรษฐกิจ การศึกษา ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ความเชื่อ วิภา ปานประชา (2549) ด้านสังคมสะท้อน การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ครอบครัว การศึกษา ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ความเชื่อ ภาษา อาหาร ที่อยู่อาศัย, ขวัญยืน ศรีเถื่อน (2547) ด้านสังคมสะท้อน เศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ, จันทศรี สุตโต (2546) ด้านสังคมสะท้อน การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรมสะท้อน วิถีชีวิต, อัมพร จิตรักษา (2543) ด้านสังคมสะท้อน การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ความเชื่อ,รุ่งสุริยา เมืองเหลา (2537) ด้านสังคมสะท้อน การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา ด้านวัฒนธรรมสะท้อน ธรรมเนียมประเพณี และได้สอดคล้องกับผลการวิจัยที่มีผู้วิจัยภาพสะท้อนในกลอนลำ คือ บุษบา คนยงค์ (2555) ด้านสังคมสะท้อน ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง ด้านวัฒนธรรมสะท้อน วิถีชีวิต ธรรมเนียมประเพณี, ชัยชนะ พิมพ์คีรี (2548) ด้านสังคมสะท้อนประวัติศาสตร์ ครอบครัว ด้านวัฒนธรรมสะท้อน วิถีชีวิต ความเชื่อ, โอสถ บุตรมารศรี (2538) ด้านสังคมสะท้อน การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา ด้านวัฒนธรรมสะท้อน วิถีชีวิต ธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ

จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องของภาพสะท้อนในบทเพลงลูกทุ่งผู้วิจัยไม่พบผลวิจัยภาพสะท้อนด้านประวัติศาสตร์ปรากฏในงานวิจัยที่ศึกษาดังกล่าว แต่กลับพบภาพสะท้อนด้านเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าบทเพลงลูกทุ่งเน้นเสนอความบันเทิง และเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับบุปผา บุญทิพย์ (2543) ที่ได้อธิบายถึงประโยชน์ของเพลงพื้นบ้านว่า เพลงพื้นบ้านเป็นเครื่องให้ความบันเทิง เพลงพื้นบ้านสะท้อนความเป็นอยู่ของสังคมสมัยนั้น เพลงพื้นบ้านช่วยผ่อนคลายความตรึงเครียดให้ชาวบ้าน และเพลงพื้นบ้านสะท้อนค่านิยมและประเพณีต่าง ๆ เป็นต้น และสอดคล้องกับงานวิจัยของกฤษฎา สุขสำเนียง (2549) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง หมอลำสีพันดร : กรณีศึกษาคณะทองบาง แก้วสุวัน เมืองปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พบว่า หมอลำมีบทบาท 2 ประการ คือ ทำหน้าที่ให้ความบันเทิง และประชาสัมพันธ์ของรัฐและชุมชน และสอดคล้องกับงานวิจัยของจำลอง วงษ์ยี่ (2552) ได้ศึกษาเรื่อง บทเพลงลูกทุ่ง ปี พ.ศ.2537-2547: กรณีศึกษาภาพสะท้อนและบทบาทหน้าที่ทางสังคมและวัฒนธรรม พบว่า วัฒนธรรมบทบาทเพลงลูกทุ่งนั้น ให้ความบันเทิง ให้ความรู้ ระบายอารมณ์ ช่วยปลอบประโลม ช่วยประชาสัมพันธ์ข่าวสาร และรักษาขนบธรรมเนียมที่ดีงาม แต่กลับพบว่าเนื้อหากลอนลำได้สะท้อนให้เห็นภาพประวัติศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับเสงี่ยม บึงไสย์ (2533) ที่ได้อธิบายว่า กลอนลำมีเนื้อหาหลายลักษณะ ได้แก่ กลอนเกี้ยว กลอนนิทาน กลอนวิชาการเช่นกลอนประวัติศาสตร์ กลอนศีลธรรม เช่น กลอนพุทธธรรมนาย และกลอนพรรณนาธรรมชาติ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เนื้อหากลอนประวัติศาสตร์จะจัดอยู่ในกลอนลักษณะวิชาการเพื่อใช้สอนให้คนฟังเข้าใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ และข้อสังเกตอีกอย่างของกลอนลำคือ กลอน เป็นรูปแบบคำประพันธ์ที่ใช้ประพันธ์วรรณกรรมอีสาน เรียกว่า โคลงสาร หรือ กลอนวิชุมาลี อยู่ในประเภทกลอนอ่าน (จารุวรรณ ธรรมวัตร, 2521) ฉะนั้นกลอนที่ประพันธ์ขึ้นมาในรูปแบบโคลงสารจะใช้อ่านโดยไม่ใส่ทำนอง หรือจะใช้นำมาให้หมอลำใช้ลำก็ได้ซึ่งเป้าหมายของคนอีสานประพันธ์กลอนก็เพื่อให้ความรู้ ใช้สอน และเตือนสติผู้ฟังเป็นสำคัญ

จากการศึกษาภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล มีประเด็นที่สำคัญดังนี้

ด้านประวัติศาสตร์ ในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนให้เห็นถึงพงศาวดารเวียงจันทน์อยู่ 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรกได้สะท้อนให้เห็นผู้ที่สร้างเวียงจันทน์เริ่มแรกคือ ฤาษี ต่อมาคือ พญานาค และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ในอดีตเมืองเวียงจันทน์เกิดความวุ่นวายภายในอย่างหนัก เหตุเป็นเพราะว่าการแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ของผู้มีอำนาจในกลอนลำได้กล่าวถึงการแย่งชิงอำนาจระว่างเจ้าอนุวงษ์กับศรีโคตร และประเด็นที่ 2 ได้สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างทวีปที่มีฐานมาจากลูกหลานกษัตริย์เมืองเวียงจันทน์ ชื่อ คำปน และคำเกียง โดยคำปน ได้ปกครองฝั่งทวียุโรป ส่วนคำเกียงได้ปกครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ นาตยา กรณีกิจ (2554) ลักษณะงานเขียนของลาวในสมัยล้านช้างจะขึ้นต้นด้วยคำว่า พื้น ก่อนเพราะคำว่าพื้นหมายถึง ประวัติความเป็นมา ได้แก่ พื้นนิทาน พื้นตำนาน และพื้นประวัติศาสตร์ ซึ่งเนื้อหาพงศาวดารเวียงจันทน์ในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลนี้มีการผสมผสานกันระหว่างพื้นประวัติศาสตร์ กับพื้นนิทานซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะงานเขียนของประเทศลาวในยุคนั้น นอกจากจะพบภาพสะท้อนด้านประวัติศาสตร์ในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลแล้ว ยังพบว่ามีงานวิจัยที่สะท้อนภาพทางประวัติศาสตร์อีก คือ บุษบา คนยงค์ (2555) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง กลอนลำหมอลำสมาน สุวรรณศรี : ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พบว่า สมาน สุวรรณศรี ได้ประพันธ์กลอนลำที่สะท้อนด้านสังคม ได้แก่ ด้านประวัติศาสตร์ การเมือง และการปกครอง และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ชัยชนะ พิมพ์คีรี (2548) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมอีสานจากกลอนลำของหมอลำ ฉวีวรรณ ดำเนิน พบว่า ภาพสะท้อนที่ปรากฏในกลอนลำของหมอลำฉวีวรรณ ได้แก่ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านการทำมาหากิน ด้านการอบรมเลี้ยงดูบุตร ด้านความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์

ด้านการเมืองการปกครอง กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลได้สะท้อนภาพของการเมืองค่อนข้างมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า ระบอบการเมืองไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีการบริหารประเทศโดยนักการเมือง อำนาจในด้านสวัสดิการต่าง ๆ ที่ประชาชนมีสิทธิ์จะได้รับจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลทั้งสิ้น จึงทำให้กลุ่มที่มีอิทธิพลด้านสื่อ ได้แก่ สถานีวิทยุ โทรทัศน์ รวมไปถึงกลุ่มศิลปินพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงได้เป็นตัวกลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้แก่รัฐบาลกลอนลำได้สะท้อนภาพ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประชาธิปไตย การรณรงค์เลือกตั้ง ปัญหาด้านการเมืองไทย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของโอสถ บุตรมารศรี (2538) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ภาพสะท้อนสังคมอีสานจากกลอนลำของหมอลำเคน ดาเหลา พบว่า กลอนลำได้สะท้อนด้านการเมือง คือ เหตุการณ์การเมืองได้แก่ การซื้อสิทธิ์ขายเสียงของหัวคะแนน การรับสินบนในสภา เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีโครงสร้างหน้าที่นิยม ที่กล่าวว่า สังคมจำเป็นต้องมีการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลโดยการกำหนดสิทธิหน้าที่จัดระเบียบในสังคม เช่น การเมือง ความยุติธรรม เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีกลไก แต่ถ้าหากการเมืองเกิดปัญหาขึ้นก็จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและตรึงเครียดขึ้นมากทันที (ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง, 2542) รวมไปถึงความสามัคคีปองดอง และนโยบายแห่งรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วิภา ปานประชา (2549) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ภาพสะท้อนทางสังคมและวัฒนธรรมในวรรณกรรมเพลงลูกทุ่ง ของสลา คุณวุฒิ พบว่า ด้านสังคม บทเพลงสะท้อนในด้านการสื่อสาร การคมนาคม เทคโนโลยี ครอบครัว ด้านเศรษฐกิจ พบว่า เกิดปัญหากระบวนการผลิต และการบริโภค ด้านการเมืองการปกครอง พบว่า สะท้อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ด้านวัฒนธรรม พบว่า สะท้อนวัฒนธรรมด้านภาษา ความเชื่อ การกิน การแต่งกายการเสนอข้อมูลข่าวสารบ้านเมืองผ่านกลอนลำถือว่าช่วยสร้างให้ชาวบ้านสนใจข่าวสารมากยิ่งขึ้น เพราะสอดแทรกความบันเทิงไปในตัว ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีคติชนวิทยา ของบุปผา บุญทิพย์ (2543 อ้างจาก กุหลาบ มัลลิกะมาส) กล่าวว่าคุณค่าของเพลงพื้นบ้านนั้นเพื่อให้ความบันเทิง สะท้อนความเป็นอยู่ของสังคมเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในยุคนั้น ๆ และสอดคล้องกับของมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์อีสาน 2322-2488 เล่ม 2 (สุวิทย์ ศาสนวัต, 2557) ที่ได้กล่าวถึงกบฏผีบุญอีสานว่า กบฏหมอลำน้อยชาดา ชาวจังหวัดมหาสารคาม พ.ศ.2476-2477 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้ใช้กลอนลำเพื่อสั่งสอนผู้คนให้คล้อยตามและหลงเชื่อ ซึ่งเนื้อหากลอนลำได้แก่ คำทำนาย การทำความดี พระศรีอาริยเมตรัย ความเท่าเทียมกันของคน บทสรุปของคำสอนเหล่านี้ได้โยงไปเพื่อยุยงไม่ให้คนเสียภาษี ไม่ให้ส่งเด็กเข้าโรงเรียน เป็นต้น และกบฏหมอลำโสภา พลตรี ชาวจังหวัดขอนแก่น พ.ศ. 2483 ในสมัยรัชกาลที่ 8 ได้ใช้กลอนลำเป็นสื่อลำกล่อมเกลาชาวบ้าน บทสรุปของกลอนลำได้โยงให้ชาวบ้านขัดขืนนโยบายรัฐบาลได้แก่ ต่อต้านโรงเรียนของรัฐที่สอนภาษาไทย ต่อต้านกฎหมายป่าไม้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ากลอนลำที่มีเนื้อหาด้านการเมืองนั้นเคยมีอิทธิพลต่อกลุ่มผู้ฟังมาตั้งแต่อดีตแล้วซึ่งในปัจจุบันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งก็ยังให้หมอลำนำข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติตนในการเลือกตั้งไปลำประชาสัมพันธ์อยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ เสงี่ยม บึงไสย์ (2533) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง บทบาทของลำกลอนในด้านการเมือง พบว่า หมอลำกลอนทำหน้าที่ช่วยสื่อสารในด้านการเมืองให้กับหน่วยงานของรัฐในการพัฒนาประเทศได้ เช่น ลำเพื่อประชาสัมพันธ์ การศึกษา การปกครอง สาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยการรณรงค์เชิญชวนให้ความรู้ของชาวบ้านได้เข้าใจตรงกันส่งผลให้ชาติก้าวหน้าตามไปด้วย

การศึกษากลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลได้สะท้อนเนื้อหาทางสังคมด้านการศึกษาที่สำคัญในประเด็นต่อไปนี้

สอนพ่อแม่เอาใจใส่ลูกในบทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนให้เห็นภาพความรักของแม่ที่ดูแลเอาใจใส่ลูกตั้งแต่เริ่มตั้งท้องจนคลอด และได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่นั้นท่านเป็นต้นแบบในการปฏิบัติตนให้ลูกได้ปฏิบัติตาม และลูกนั้นควรเป็นคนดีเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่อยู่สม่ำเสมอ และเมื่อลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องดูแลคือ ประพฤติตัวของวัยรุ่น การดูแลใส่ใจตนเองของวัยรุ่นให้คิดก่อนทำเพราะถ้าหากได้กระทำสิ่งที่พลาดไปแล้วอาจจะแก้ไขได้ยากเช่นการตั้งครรภ์ของสาววัยรุ่น นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านอื่น ๆ อีกเช่น การมั่วสุมเสพยาเสพติด เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ จันทศรี สุตโต (2546) ได้ศึกษาเรื่อง วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏในเพลงลูกทุ่งระหว่างปี พ.ศ.2543-2544 พบว่า เพลงที่สะท้อนภาพสังคมเมือง จะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจ สถาบันสังคม วิถีชีวิต และค่านิยม ส่วนเพลงที่สะท้อนสังคมชนบท จะสะท้อนภาพเศรษฐกิจ สถาบันสังคม วิถีชีวิต การปกครอง ปัญหาที่พบคือ ปัญหาเยาวชน ปัญหาครอบครัวและสอดคล้องกับผลการวิจัยของ อัมพร จิตรักษา (2543) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ภาพสะท้อนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏในเพลงลูกทุ่งที่ขับร้องโดย เอกชัย ศรีวิชัย พบว่า ปรากฏภาพสะท้อนคือ ภาพสะท้อนด้านครอบครัว พบว่า มักเกิดปัญหาในด้านครอบครัว เป็นต้น

สอนให้รู้จักยาเสพติด บทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนให้เห็นภาพของแหล่งกำเนิดของสิ่งเสพย์ติดครั้งแรกของโลกเกิดขึ้นที่ประเทศเมโสโปเตเมีย และได้แพร่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกในเวลาต่อมา ยาเสพย์ติดนั้นมีทั้งประเภทที่ทำให้ออกฤทธิ์ทางประสาทและประเภทที่ทำให้ตื่นตัว กลุ่มผู้ที่ใช้สิ่งเสพติดส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มของวัยรุ่นซึ่งนับว่าเป็นปัญหาต่อสังคมเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้ยังเป็นเยาวชน ส่วนใหญ่ยังไม่มีงานทำต้องอาศัยขอเงินจากพ่อแม่ บางคนขอจากพ่อแม่ไม่ได้ก็ได้ทำการไปก่อเหตุลักขโมยชาวบ้านทำให้เกิดความเดือดร้อนต่าง ๆตามมา และกลุ่มที่ใช้สิ่งเสพติดในขณะขับรถแล้วเกิดการหลับในทำให้รถเสียหลักเกิดอุบัติเหตุก็มี และยังมีสิ่งเสพย์ติดอื่น ๆ อีกเช่น บุหรี่ ที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมามากมายด้วยเช่นกัน ซึ่งโทษของบุหรี่ที่มีผลกระทบต่อผู้สูบและผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด และโรคระบบทางเดินหายใจได้ หากสามารถเลิกสิ่งเสพย์ติดทุกชนิดได้ก็จะสามารถทำให้เก็บออมเงินได้ไม่น้อยเลย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สิทธิศักดิ์ จำปาแดง (2548) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง บทบาทของหมอลำในการแก้ปัญหาสังคม พบว่า บทบาทของหมอลำที่แก้ปัญหาสังคมมี 5 ประการ คือ 1) แต่งกลอนลำรณรงค์ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ 2) แต่งกลอนลำรณรงค์ให้คนสนใจการศึกษา 3) แต่งกลอนลำส่งเสริมการออกกำลังกาย 4) แต่งกลอนลำอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 5) แต่งกลอนลำป้องกันปัญหาสิ่งเสพติด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ายาเสพติดเป็นภัยต่อสังคมจึงส่งผลให้รัฐบาลต้องหาทางทุกรูปแบบในการประชาสัมพันธ์บอกเรื่องราวโทษภัยของยาเสพติด กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลก็ได้สะท้อนให้เห็นโทษของยาเสพติดและพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผู้ที่ข้องเกี่ยวนั้นได้เลิกยุ่งกับยาเสพติด จะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายคือไม่เสี่ยงต่อโรคภัย และมีเงินออมใช้ในอนาคตอีกด้วย

สอนให้รู้จักการกินอาหาร ในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลได้สะท้อนภาพ การกินปลาดิบที่มีเกล็ดของคนอีสาน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งตับและโรคพยาธิใบไม้ในตับ โดยพยาธิใบไม้ใบไม้ในตับนี้มักอาศัยอยู่กับปลาที่มีเกร็ด หากใครที่ได้กินปลาที่มีไข่พยาธิเข้าไปในร่างกาย ก็มีโอกาสที่พยาธิจะฟังตัวในร่างกายของคนได้ เราสามารถป้องกันโรคนี้ได้ด้วยวิธีการ เลิกกินปลาดิบ และหมั่นนำอุจาระไปตรวจประจำปี เท่านี้ก็จะสามารถห่างไกลโรคพยาธิใบไม้ในตับได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นันท์รวี ขันผง (2537) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ลำซิ่ง: ลำกลอนแนวใหม่ของอีสาน พบว่า หน่วยงานของรัฐให้หมอลำซิ่งเป็นสื่อในการหาเสียงและแต่งกลอนลำรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจเหตุการณ์ในด้านการศึกษา เช่น กลอนรณรงค์โรคเอดส์ กลอนกินปลาดิบ ทำให้ลำซิ่งเพิ่มรายได้ให้แก่ หมอลำ นักดนตรี และสำนักงานหมอลำ อีกด้วย และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของบุญเพ็ง โวท (2550) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง แนวคิดทางการเมืองเศรษฐกิจ และสังคมของหมอลำกลอนอีสาน : ศึกษากรณีหมอลำทองมาก จันทะลือ (หมอลำถูทา) พบว่า หมอลำทองมาก จันทะลือ ใช้กลอนลำเป็นสื่อซึ่งมีเนื้อหาสะท้อนด้านสังคม ในกลอนลำที่โดดเด่น เช่น กลอนอีสานไม่กินปลาดิบ กลอนป้องกันโรคเอดส์ กลอนคนไทยควรรู้หนังสือ รวมทั้งบทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพ อันตรายของขนมที่ใส่สีผสมอาหาร และอันตรายจากน้ำมันที่ทอดอาหารอีกด้วย เศรษฐกิจ

กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลจึงได้สะท้อนให้เห็นภาพของ รัฐบาลที่ได้จัดตั้งโครงการกองงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ให้แก่ชาวบ้านได้เข้าใจตรงกัน และความรู้ที่ได้รับจากการประชาสัมพันธ์นั้นสามารถนำไปปฏิบัติได้รวมไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(ค.ป.ต.) กลุ่มคนเหล่านี้จะเข้ามาสำรวจชุมชนว่าภายในชุมชนมีงานอะไรที่พอที่จะให้ชาวบ้านได้ทำเพื่อสร้างรายได้ในช่วงที่ละเว้นจากการทำไร่ทำนา ซึ่งก็เป็นโครงการที่รัฐบาลจัดทำขึ้นมาช่วยเหลือชาวอีสานโดยตรงซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วิจิตรา อาจบำรุง (2552) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมในเพลงลูกทุ่งที่ขับร้องโดย พี สะเดิด พบว่า ภาพสะท้อนทางสังคมในเพลงลูกทุ่งของพี สะเดิด ในด้านเศรษฐกิจ พบว่า ชาวอีสานมีความเป็นอยู่ที่ยากจนจึงต้องเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อหางานทำ ด้านอาชีพ พบว่า ชาวชนบทประกอบอาชีพรับจ้าง เกษตรกรรม นักร้อง และสอดคล้องกับงานวิจัยของ สิรินาถ ฉัตรทอง (2549) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง เพลงลูกทุ่ง: ภาพสะท้อนค่านิยมในสังคมไทย เนื้อหาได้สะท้อนเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาความยากจน การเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงหางานทำ ต้องมีความอดทน ประหยัดอดออม และสอดคล้องกับงานวิจัยของ บุญเกิด มาดหมาย (2550) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมในบทเพลงลูกทุ่งที่ขับร้องโดย ศิริพร อำไพพงษ์ พบว่า ปรากฏภาพสะท้อนในบทเพลงของศิริพร อำไพพงษ์ 5 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ พบว่า ความจนทำให้พลัดพรากจากบ้านเกิดเข้าทำงานในเมืองใหญ่ และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ทองแสง ภูดี (2551) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมอีสานจากวีซีดีบันทึกการแสดงคณะเสียงอีสาน พบว่า ภาพสะท้อนสังคมอีสาน ด้านเศรษฐกิจ พบว่า คนมีการศึกษาต่ำทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไปด้วย จะเห็นได้ว่าความเป็นอยู่ของคนอีสานนั้นบางส่วนยังได้รับความเดือดอยู่ไม่น้อยจนทำให้คนอีสานบางกลุ่มจำเป็นต้องไปหางานต่างถิ่น ทางภาครัฐจึงใช้กลอนลำเป็นสื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนชาวบ้านโดยให้หมอลำได้ลำประชาสัมพันธ์โครงการของกองงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติของหน่วยงานรัฐบาลเพื่อเป็นสื่อเพื่อใช้ช่วยเหลือพี่น้องชาวอีสานได้ครบวงจร

การท่องเที่ยว กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลจึงได้สะท้อนให้เห็นภาพของ แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดชัยภูมิ แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดหนองคาย แหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถาน และแหล่งท่องเที่ยวในภาคอีสานว่าอีสานมีทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามหลายอย่างหากใครได้มาเห็นแล้วจะรู้สึกประทับใจและอยากกลับมาเที่ยวอีกครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของชรินทร์ อินทะสุวรรณ์ (2554) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรม ของชาวไทยภาคใต้ที่ปรากฏในวรรณกรรมเพลงลูกทุ่งของ ประจวบ วงศ์วิชา พบว่า วรรณกรรมเพลงลูกทุ่งของประจวบ วงศ์วิชาได้ สะท้อนสังคมและวัฒนธรรมของไทยภาคใต้ในด้านอื่น ๆ เช่น พืชผัก อาหารพื้นบ้าน และการท่องเที่ยว จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวก็มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยหากไม่มีการประชาสัมพันธ์ก็อาจจะไม่มีคนได้รับรู้ถึงสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ดังนั้นเนื้อหาเพลงลูกทุ่งหรือเนื้อหากลอนลำที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจึงเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวสนใจแหล่งท่องเที่ยวของอีสานมากขึ้น)

จากการศึกษาพบว่า เนื้อหากลอนลำเกี่ยวกับภาพสะท้อนทางสังคมอีสาน แบ่งออกเป็น 5 ด้าน โดยเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า เนื้อหากลอนลำที่สะท้อนภาพทางด้านสังคมอีสานมากที่สุดคือ ด้านการเมือง การปกครอง จำนวน 145 กลอน (ร้อยละ 24.74) รองลงมาได้แก่ ด้านการศึกษา จำนวน 101 กลอน (ร้อยละ 17.23) ด้านประวัติศาสตร์ จำนวน 27 กลอน (ร้อยละ 4.60) ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 16 กลอน (ร้อยละ 2.73) และเนื้อหากลอนลำที่สะท้อนภาพสังคมอีสานน้อยที่สุดคือ ด้านเศรษฐกิจ จำนวน 11 กลอน (ร้อยละ 1.87)

บทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลได้สะท้อนภาพทางวัฒนธรรมอีสานที่สำคัญในหลายประเด็นดังนี้

คติธรรม บทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนภาพเกี่ยวกับความเชื่อ เรื่องบุญ บาป ว่าหากผู้ใดทำบุญไว้ คนนั้นก็ย่อมเป็นคนได้บุญนั้นการทำบุญทำทานนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจตนา และทานด้วยความเลื่อมใสศรัทธา และเมื่อทานแล้วยังได้มีการหยาดน้ำให้กับพระแม่ธรณีด้วย คนเรานั้นเกิดมาในชาตินี้ถือว่ามีบุญวาสนามาก และสิ่งของเงินทองนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของนอกกายทั้งสิ้นขอให้ทุกท่านอย่าได้ไปมัวเมาของเหล่านั้นเลย แม้แต่ลาภยศ สรรเสริญก็เช่นเดียวกัน อย่าได้ไปยึดติดเลย การทำบุญนั้นจะช่วยให้ผู้ที่ทำบุญนั้นขึ้นสวรรค์ และการทำบุญไม่ควรฝากกันไปทำเพราะหากใครเป็นผู้ทำบุญคนนั้นก็จะได้บุญ ซึ่งบุญก็ไม่ได้ตกมาให้แก่ผู้ฝาก ฉะนั้นในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่นี้ควรรีบเข้าไปวัดไปทำบุญเพราะเมื่อเราตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ชัยยนต์ เพาพาน (2533) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การลำผีฟ้าในเขตอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม พบว่า การลำผีฟ้าสอดคล้องกับความเชื่อของชาวบ้านในด้านศาสนา คือ เชื่อเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ ที่มีผลรักษาความเจ็บป่วยได้ บทบาทต่อสังคม รักษาคนป่วยให้ทุเลาและหายได้ และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของคงฤทธิ์ แข็งแรง (2537) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง กลอนลำของหมอลำสุทธิสมพงษ์ สะท้านอาจ พบว่า ความเชื่อที่สะท้อนทางสังคม มี 3 ลักษณะ คือ 1) ความเชื่อเรื่องดั้งเดิม คือ เชื่อเรื่องผีแถน เทวดา พระอินทร์ ผีปู่ตา ผีหลักเมือง 2) เชื่อเรื่องคติทางพราหมณ์คือ เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และ 3) เชื่อเรื่องทางพุทธ คือ ความเชื่อเรื่องบุญบาป กรรม เวร นรกสวรรค์ นอกจากนี้กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลยังได้สะท้อนให้เห็นถึง ความเชื่อส่วนบุคคล ได้แก่ เชื่อเรื่องการบวช สะท้อนถึงลูกผู้ชายให้บวชแทนคุณบิดามารดา และหากเป็นลูกผู้หญิงก็ให้อยู่ดูแลพ่อแม่ในยามแก่ชรา ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ รุ่งสุริยา เมืองเหลา (2537) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมอีสานซึ่งปรากฏในบทเพลงที่ พรศักดิ์ ส่องแสง ขับร้อง พบว่า ภาพสะท้อนในบทเพลงได้แก่ ด้านประเพณี ศาสนาและความเชื่อได้สะท้อนถึงงานบวช งานแต่ง ลงแขก รวมไปถึงบทกลอนลำได้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องการตาย ที่เป็นการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สะท้อนให้เห็นถึงสังขารคนเราไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ย่อมมี แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งสอดคล้องกับคำพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ทุกประการ และความเชื่อเรื่องการอุทิศบุญหาผู้ตาย กล่าวถึงคนเราเชื่อว่าบุคคลที่จากเราไปนั้นยังเป็นวิญญาณอาศัยอยู่อีกภพหนึ่ง การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็ เพื่อให้ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ได้รับส่วนบุญกุศลนั้นและเป็นบันไดให้ไต่ขึ้นสวรรค์ต่อไป

เนติธรรม บทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพขนบธรรมเนียม ประเพณี ฮีตสิบสอง ครองสิบสี่ ประเพณีฮีตสิบสอง ได้แก่ บุญเดือนอ้าย บุญคูณลาน บุญข้าวจี่ บุญเผวส บุญสงกรานต์ บุญบั้งไฟ บุญซำฮะ บุญเข้าพรรษา บุญข้าวประดับดิน บุญข้าวสาก บุญออกพรรษา และบุญกฐิน ส่วนครองสิบสี่ มีอยู่ทั้งหมด 14 ข้อ ได้แก่ หูเมือง ตาเมือง แก่นเมือง ประตูเมือง รากเมือง เหง้าเมือง ฝาเมือง ชื่อเมือง แปเมือง เขตเมือง ใจเมือง ค่าเมือง สติเมือง และเมฆเมือง ทั้งหมดสิบสี่ข้อนี้ คือ ครองสิบสี่ที่ชาวอีสานได้สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ เยาวภา ดำเนตร (2536) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตของชาวอีสานจากกลอนลำทางยาวของลำกลอน พบว่า วิถีชีวิตของชาวอีสานด้านประเพณี เช่น ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ นอกจากนี้ ฮีตครองอีสานยังรวมมี ฮีตผัวครองเมีย กล่าวถึง การครองคู่ของสามีภรรยาของชาวอีสาน และการประพฤติตนของผู้หญิง คือ เฮือนสามน้ำสี่ หากผู้หญิงคนใดไม่เคารพและปฏิบัติตามก็ถือว่า เป็นหญิงที่ไม่สมบูรณ์อาจถูกชาวบ้านติฉินนินทาเอาได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สุภาภรณ์ มาตขาว (2546) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง วรรณกรรมกลอนลำของหมอลำทองสา สามสี บ้านนาโส่ ตำบล นาโส่ อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร พบว่า เนื้อหาสาระในวรรณกรรมกลอนลำของหมอลำทองสา สามสี พบว่า มี 7 ด้าน ได้แก่ ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม การดำเนินชีวิต การศึกษา เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง ซึ่งฮีตคองในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้ปรากฏสอดคล้องอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีในวรรณกรรมของหมอลำทองสา สามสี ด้วยเช่นกัน บทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนให้เห็นถึง ประเพณีที่ทำร่วมกัน ได้แก่ บุญกฐิน และบุญกุ้มข้าวใหญ่ ได้กล่าวถึง การละลึกถึงบุญคุณของข้าวที่มีต่อมนุษย์ดังนั้นเราจึงได้จัดเป็นประเพณี คือ บุญกุ้มข้าวใหญ่ เพื่อให้ทุกคนได้เราควรขอขมาต่อพระแม่โพสกที่ให้เราได้กินอยู่ทุกวัน และเป็นการสืบสานประเพณีวัฒนธรรมของอีสานให้อยู่ยืนนานอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ บัณฑิตวงศ์ ทองกลม (2539) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ชีวิตและผลงานของหมอลำทองมาก จันทะลือ (หมอลำถูทา) พบว่า กลอนลำของหมอลำถูทาได้สะท้อนเห็นภาพของสังคมและวัฒนธรรมอีสานเกี่ยวกับความเชื่อ ศาสนา ประเพณี ค่านิยม คำสอน วิถีชีวิต การเมือง การปกครอง ภูมิศาสตร์ จะเห็นได้ว่าเนื้อหากลอนลำของหมอลำ ถูทานั้นได้สะท้อนภาพของประเพณีที่สอดคล้องกับกลอนลำหมอลำราตรี ศรีวิไลด้วยเช่นกัน

สหธรรม บทกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพการดำรงชีวิต แหล่งทำมาหากินบริเวณแม่น้ำโขง แม่น้ำชี แม่น้ำมูล ที่เปรียบดังสายเลือดของคนอีสานได้ใช้แม่น้ำทั้งสามสายนี้ เพื่อการดำรงชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปริญญา ป้องรอด (2544) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์บทหมอลำเรื่องต่อกลอน พบว่า เนื้อหาของบทหมอลำเรื่องต่อกลอนมีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นถึงสังคมและคติชนวิทยา เช่น ค่านิยม ความเชื่อ แนวคิด วิถีชีวิต รวมทั้งประเพณีที่ดีงามและหลักการดำรงชีวิตคนอีสาน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ วินัย ใจเอื้อ (2546) ได้วิจัยเรื่อง การศึกษาวิธีการร้อง “หมอลำ” ของฉวีวรรณ ดำเนิน พบว่า เนื้อหากลอนลำหมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน มี 4 ทำนอง เช่น บรรยายเกี่ยวกับธรรมชาติ วิถีชีวิต การดำรงชีวิตและเกี้ยวพาราสี ซึ่งในกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลก็ได้สะท้อนให้เห็นภาพของ ความสัมพันธ์กันในครอบครัว ได้แก่ อาการทางจิตของสามี กุศโลบายการรักษาอาการป่วยของภรรยา และความประพฤติของสามีที่มีต่อภรรยา รวมไปถึงความรักของหนุ่มสาวที่กล่าวถึงการพูดเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหญิงที่แอบหลงรักชาย แต่ก็ไม่มั่นใจว่าฝ่ายชายนั้นมีภรรยาแล้วหรือไม่ นี้ก็เป็นวิธีการหาคู่ครองกันอีกอย่างหนึ่งของหนุ่มสาวเป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กฤษฎา ศรีธรรมา (2534) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องวิเคราะห์องค์ประกอบทางวรรณกรรมของเพลงหมอลำในรอบทศวรรษ (2522-2531) พบว่า เนื้อหาวรรณกรรมเพลงหมอลำเน้น ความรักของหนุ่มสาวเป็นสำคัญ และสอดคล้องกับงานวิจัยของ สนอง คลังพระศรี (2541) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง หมอลำซิ่ง กระบวนการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมดนตรี พบว่า หมอลำพัฒนามาจาก 1. ลัทธิบูชาแถน 2. ประเพณีในศาสนา และ 3. การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว นอกจากนี้กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลยังได้สะท้อนภาพ การกล่าวแนะนำตัว ทักทายถามไถ่ ให้กำลังใจ อวยพร กล่าวลา และกล่าวถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณอีกด้วย

จากการศึกษากลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลมีเนื้อหาทางวัฒนธรรมอีสานมีทั้งหมด จำนวน 253 กลอน (ร้อยละ 43.17) มีเนื้อหากลอนลำที่สะท้อนภาพทางวัฒนธรรมอีสานที่ปรากฏในกลอนลำ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน โดยเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า เนื้อหากลอนลำที่สะท้อนภาพทางวัฒนธรรมอีสานมากที่สุด คือ ด้านสหธรรม จำนวน 106 กลอน (ร้อยละ 18.08) รองลงมาได้แก่ ด้านคติธรรม จำนวน 83 กลอน (ร้อยละ 14.16) ด้านวัตถุธรรม จำนวน 45 กลอน (ร้อยละ 7.67) และเนื้อหากลอนลำที่สะท้อนภาพทางวัฒนธรรมอีสานน้อยที่สุดคือ ด้านเนติธรรม จำนวน 19 กลอน (ร้อยละ 3.24)

เอกสารอ้างอิง
  • กฤษฎา สุขสำเนียง. (2549). หมอลำสีพันดอน: กรณีศึกษาคณะทองบาง แก้วสุวัน เมืองปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ดนตรีชาติพันธุ์วิทยา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

  • กฤษฎา ศรีธรรมา. (2534). วิเคราะห์องค์ประกอบทางวรรณกรรมของเพลงหมอลำในรอบทศวรรษ(พ.ศ.2522-2531). ปริญญานิพนธ์ ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต (ภาษาไทย). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • ขวัญยืน ศรีเถื่อน, จินตนา สวนจันทร์, ประทีป พงษ์สุวรรณ, พิสมัย จันสะอาด, &ยอดขวัญ ศรีม่วง. (2547). วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมในบทเพลงที่ขับร้องโดยไมค์ ภิรมย์พร. ค้นคว้าอิสระ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

  • คงฤทธิ์ แข็งแรง. (2537). กลอนลำของหมอลำสุทธิสมพงษ์ สะท้านอาจ. ปริญญานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ไทยคดีศึกษา). มหาสารคาม: มหาวิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • จันทรศรี สุตโต. (2546). การวิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏในเพลงลูกทุ่งระหว่างปี พ.ศ.2543-2544. สารนิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต (ภาษาไทย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • จารุวรรณ ธรรมวัตร. (2521). ลักษณะวรรณกรรมอีสาน. เอกสารประกอบการศึกษาวิชา ท. 426. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรทรวิโรฒ มหาสารคาม.

  • จำลอง วงษ์ยี่. (2552). บทเพลงลูกทุ่ง พ.ศ. 2537 - พ.ศ. 2547: การศึกษาภาพสะท้อนและบทบาทหน้าที่ทางสังคมและวัฒนธรรม. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (วรรณคดีไทย) สาขาวิชาวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

  • ฉวีวรรณ พันธุ. กลอนลำสะท้อนถึงสังคมและวัฒนธรรมอีสานในด้านใดบ้าง [สัมภาษณ์]. ศิลปินแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2536 สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ); 1 เมษายน 2560

  • ฉลาดน้อย ส่งเสริม. กลอนลำสะท้อนถึงสังคมและวัฒนธรรมอีสานในด้านใดบ้าง [สัมภาษณ์]. ศิลปินแห่งชาติปี พ.ศ. 2549 สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ); 2 เมษายน 2560

  • ชรินทร์ อินทสุวรรณ์. (2554). ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรม ของชาวไทยภาคใต้ที่ปรากฏในวรรณกรรมเพลงลูกทุ่งของ ประจวบ วงศ์วิชา. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา. สงขลา: มหาวิทยาลัยทักษิณ.

  • ชัยชนะ พิมพ์คีรี. (2548). วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมอีสานจากกลอนลำของหมอลำ ฉวีวรรณ ดำเนิน. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

  • ชัยยนต์ เพาพาน. (2533). การลำผีฟ้าในเขตอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม. ปริญญานิพนธ์.ปริญญาศิลปศาสตร มหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษย์ศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม.

  • ทองแตง ภูดี. (2551). วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมอีสานจากวีซีดีบันทึกการแสดงสดคณะเสียงอีสาน.การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

  • นันท์รวี ขันผง. (2537). ลำซิ่ง: ลำกลอนแนวใหม่ของอีสาน. ปริญญานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษย์ศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม.

  • นาตยา กรณีกิจ. (2554). พงศาวดารลาวฉบับมหาสิลา วีระวงษ์ในฐานะหลักฐานประวัติศาสตร์ชาติลาว. วิทยานิพนธ์ ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร.

  • บัณฑิตวงศ์ ทองกลม. (2539). ชีวิตและผลงานของหมอลำทองมาก จันทะลือ (หมอลำถูทา). วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นสังคมศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

  • บุญเกิด มาดหมาย. (2550). วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมในบทเพลงลูกทุ่งที่ขับร้องโดยศิริพร อำไพพงษ์. ค้นคว้าอิสระ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

  • บุญเพ็ง โวท. (2550). แนวคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของหมอลำกลอนอีสาน : ศึกษากรณีหมอลำทองมาก จันทะลือ (หมอลำถูทา). การค้นคว้าอิสระ ปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต (การเมืองการปกครอง). นนทบุรี:มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

  • บุปผา บุญทิพย์. (2543). คติชาวบ้าน. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • บุษบา คนยงค์. (2555). กลอนลำหมอลำสมาน สุวรรณศรี: ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรม ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชำชนลาว. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (วิจัยศิลปะและวัฒนธรรม). ขอนแก่น: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

  • ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง. (2542). ทฤษฏีโครงสร้างและหน้าที่. ใน สุนทรีย พรหมเมศ (บรรณาธิการ).ทฤษฏีสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา.(หน้า 81-87). พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • ปริญญา ป้องรอด. (2544). การวิเคราะห์บทหมอลำเรื่องต่อกลอน. วิทยานิพนธ์ ศิปลศาสตรมหาบัณฑิต (ไทยศึกษา) กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • พชรวรรณ พานิคม. (2549). ภาพพจน์ที่ปรากฏในหมอลำกลอนซิ่ง. ปริญญาศิลปศาสตร มหาบัณฑิต (ภาษาไทย) สาขาภาษาไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

  • เยาวภา ดำเนตร. (2536). วิถีชีวิตของชาวอีสานจากกลอนลำทางยาวของลำกลอน. ปริญญานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นสังคมศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • รุ่งสุริยา เมืองเหลา. (2537). ภาพสะท้อนสังคมอีสานซึ่งปรากฏในบทเพลงที่พรศักดิ์ ส่องแสงขับร้อง. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษย์ศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • วิจิตรา อาจบำรุง. (2553). วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมที่พบในเพลงลูกทุ่งที่ขับร้องโดย พี สะเดิด. ค้นคว้าอิสระ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

  • วินัย ใจเอื้อ. (2546). การศึกษาวิธีการร้อง“หมอลำ” ของฉวีวรรณ ดำเนิน. ปริญญานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (มานุษยดุริยางควิทยา).กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • วิภา ปานประชา. (2549). การศึกษาภาพสะท้อนทางสังคมและวัฒนธรรมในวรรณกรรมเพลงลูกทุ่งของสลา คุณวุฒิ. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ไทยศึกษา). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • สนอง คลังพระศรี. (2541). หมอลำซิ่ง : กระบวนการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมดนตรีของหมอลำ ในภาคอีสาน. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (วัฒนธรรมศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล.

  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2557). คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี. กรุงเทพฯ: คณะรัฐมนตรี ราชกิจจานุเบกษา.

  • สิทธิศักดิ์ จำปาแดง. (2548). บทบาทของหมอลำในการแก้ปัญหาสังคม. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

  • สิรินาถ ฉัตรทอง. (2549). เพลงลูกทุ่ง: ภาพสะท้อนค่านิยมในสังคมไทย. วิทยานิพนธ์วารสารศาสตรมหาบัณฑิต (สื่อสารมวลชน). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

  • สุภาภรณ์ มาตขาว. (2546). วรรณกรรมกลอนลำของหมอลำทองสา สามสี บ้านนาโส ตำบลนาโส อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ภาษาไทย). พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

  • สุภารณี สาระสา. (2555). การศึกษาวิธีการร้อง “หมอลำกลอน” ของราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร. ปริญญานิพนธ์ปริญญาศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยดุริยางควิทยา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • สุวิทย์ รัตนปัญญา. (2553). หมอลำกลอน: บริบท คุณค่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและการดำรงอยู่ในประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วิทยานิพนธ์ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค. เลย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.

  • เสงี่ยม บึงไสย์. (2533). บทบาทของลำกลอนในด้านการเมือง. ปริญญานิพนธ์. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (มนุษยศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • อัมพร จิตรักษา. (2543). ภาพสะท้อนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏในเพลงลูกทุ่งที่ขับร้องโดยเอกชัย ศรีวิชัย. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา. สงขลา: มหาวิทยาลัยทักษิณ.

  • โอสถ บุตรมารศรี. (2538). ภาพสะท้อนของสังคมอีสานจากกลอนลำของหมอลำเคน ดาเหลา. ปริญญานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

Comments


bottom of page