top of page

พัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2512-2560

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
พัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2512-2560 The Development of Mawlum Songs of Ratri Sriwilai during 1969 - 2017
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย และภัทร์ คชภักดี.(2560).พัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2512-2560 (13 -14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560) การประชุมวิชาการระดับชาติ "ศิลปกรรมวิจัย"ครั้งที่ 3:เศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ณ โรงแรมเจริญธานีขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น หน้า 761-772.
บทคัดย่อ

การวิจัยเรื่อง พัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและข้อมูลภาคสนามโดยได้จากการสังเกต และการสัมภาษณ์ จากผู้รู้ 3 คน ผู้ปฏิบัติ 1 คน และนำข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบความถูกต้องแบบสามเส้า วิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์

ผลการวิจัย พบว่า กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลมีพัฒนาการด้วยกัน 6 ช่วง ได้แก่ ช่วงปี พ.ศ. 2506-2512เริ่มเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำจากบิดาช่วงปี พ.ศ. 2513-2524 ศึกษาเรียนรู้ทำนองลำ ช่วงปี พ.ศ. 2525-2526 ประพันธ์กลอนลำตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน ช่วงปี พ.ศ. 2527-2535 ประพันธ์กลอนลำตามสภาพสังคมสมัยใหม่ ช่วงปี พ.ศ. 2536-2550 ประพันธ์กลอนลำสลับกับเนื้อหาเพลงลูกทุ่ง และช่วงปี พ.ศ. 2551-2560 ประพันธ์กลอนลำถูกต้องตามหลักวิชาการ

บทนำ

เพลงชาวบ้านเป็นเพลงที่เกิดจากประเพณี ศาสนา หรือวัฒนธรรมของชุมชนในถิ่นหรือเขตนั้น ๆ ตั้งแต่ชุมชนที่ไม่เจริญไปจนถึงที่เจริญแล้ว เป็นที่นิยมของชาวบ้านที่ร้องต่อกันมาจากปากต่อปาก และจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง มีสัมผัสคล้องจองมีทำนองตามแบบเฉพาะของภาษาถิ่นนั้น ๆ (บุปผา บุญทิพย์, 2547) และในกลุ่มวัฒนธรรมไท-ลาว ก็มีเพลงพื้นบ้านด้วยเช่นกันซึ่งร้อยกรองโดยครูผู้มีความชำนาญ เรียกว่า “กลอนลำ” หมอลำใช้ลำเมื่อทำการแสดง โดยหมอลำนั้นเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคอีสานที่ต้องอาศัย ผู้มีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญในการท่องจำบทกลอนลำ จากวรรณกรรมพื้นบ้านที่ประพันธ์ขึ้นด้วยสำนวนภาษาอีสาน โดยมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบ และสามารถถ่ายทอดให้ชาวบ้านฟังอย่างเข้าใจ (พรชัย เขียวสาคู , 2555; บัณฑิตวงศ์ ทองกลม, 2539; พรสวรรค์ พรดอนก่อ, 2551; ธวัช ปุณโณทก, 2537) หมอลำ มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ได้แก่ หมอลำผีฟ้า ผญาเกี้ยว หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำเรื่องต่อกลอน หมอลำเพลิน หมอลำชิงชู้ หมอลำเพลินประยุกต์ และ หมอลำซิ่ง (สนอง คลังพระศรี, 2541) หมอลำที่มีขนบในการแสดงและมีรูปแบบโครงสร้างกลอนลำที่เป็นมาตรฐาน คือ “หมอลำกลอน” หมอลำกลอน หมายถึง หมอลำที่ลำเป็นคู่ โต้ตอบกันระหว่างชายหญิง เน้นเนื้อหาบทกลอนเป็นสำคัญโดยมีการนำแคนเข้ามาประกอบขณะลำ (สุวิทย์ รัตนปัญญา, 2553) องค์ประกอบของการแสดงลำกลอน ได้แก่ ผู้แต่งกลอนลำ กลอนลำ คุณสมบัติของหมอลำกลอน และหมอแคน (เสงี่ยม บึงไสย์, 2533) ผู้แต่งกลอนลำ ถือว่าเป็นหัวใจหลักของหมอลำเพราะเป็นผู้ชี้ชะตาเนื้อหาในกลอนลำ ไม่ว่าจะเป็นด้านลบ หรือด้านบวกก็ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ประพันธ์กลอนลำทั้งสิ้น ดังนั้นผู้แต่งกลอนลำจึงจำเป็นต้องมีองค์ประกอบอยู่ 3 ประการ คือ 1) ต้องมีความรู้ด้านเนื้อหาสาระที่จะนำมาแต่งกลอนลำ 2) ต้องมีความรู้เรื่องรูปแบบของฉันทลักษณ์กลอนว่ามีกี่ประเภท ที่ใช้ในการแต่งกลอนลำ 3) สามารถเลือกใช้สำนวนโวหารกินใจและถ้อยคำที่กระชับเพื่อให้ผู้ฟังได้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ (พงษ์ศักดิ์ ฐานสินพล, 2556) เคน ดาเหล่า ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดงหมอลำ ประจำปี 2534 กล่าวว่า “ผู้ที่สามารแต่งกลอนลำได้นั้น ในสมัยก่อนมักเป็นกลุ่มของนักบวชที่สนใจการแต่งกลอนเป็นพิเศษ โดยส่วนใหญ่มักเป็นลำหมอลำรุ่นเก่า กลุ่มคนเหล่านี้จะสามารถแต่งกลอนลำได้เป็นอย่างดี และกลุ่มที่แต่งกลอนลำได้ดีที่สุดก็ คือ กลุ่มที่เป็นหมอลำอยู่แล้วพร้อมทั้งต้องเป็นผู้ที่มีหัวคิดเฉลียวฉลาด สามารถด้นกลอนสดได้ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยจึงจะสามารถเขียนกลอนลำได้ดีและรวดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้เป็นหมอลำ แต่อย่าไรก็ตามการแต่งกลอนลำนั้นใครก็สามารถเรียนรู้ได้ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามและความเอาใจใส่รวมไปถึงความฉลาดของแต่ละบุคคลด้วย” (เคน ดาเหลา, 2554; สัมภาษณ์) จะเห็นได้ว่าผู้ประพันธ์กลอนลำต้องมีทั้งพรสวรรค์ และพรแสวงพอสมควรถึงจะสามารถประพันธ์กลอนลำได้ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดว่าควรมีการศึกษาพัฒนาการของกลอนลำจากผู้ประพันธ์กลอนลำที่เป็นทั้งหมอลำและเป็นทั้งครูผู้ประพันธ์กลอนลำด้วย เพื่อให้ทราบว่ากลอนลำของท่านพัฒนามาได้อย่างไร ซึ่งคำว่า พัฒนาการ ตามพจนานุกรม 2542 หมายถึง การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ส่วน กลอนลำ หมายถึง บทกลอนลำที่หมอลำนำไปลำ เมื่อผสมระหว่าง “พัฒนาการ”และ “หมอลำ”เข้าด้วยกันแล้วจึงหมายถึง พัฒนาการของกลอนลำที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาหาข้อมูลหมอลำที่มีความสามารถตรงตามวัตถุประสงค์งานวิจัยและได้ค้นพบว่า หมอลำได้ประพันธ์กลอนลำประเภทลำกลอน มากถึง 565 กลอน คือ หมอลำราตรี ศรีวิไล ซึ่งได้เริ่มประพันธ์กลอนลำ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2512-2560 รวมไปถึงหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้ประกอบอาชีพเป็นศิลปินหมอลำพร้อมทั้งมีชื่อเสียงและได้รับรางวัลด้านการประพันธ์กลอนลำอีกด้วย

ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล เพื่ออยากทราบถึงช่วงพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ในช่วงปี พ.ศ. 2512-2560 ว่ามีพัฒนาการแต่ละช่วงเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้หน่วยงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา นำไปใช้ประโยชน์และใช้เป็นแนวทางในการประพันธ์กลอนลำต่อไป

วัตถุประสงค์ของการศึกษา

เพื่อศึกษาพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2512-2560

วิธีการศึกษา

ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการดำเนินการวิจัย ดังต่อไปนี้

1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

1.1 แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant Observation) เพื่อสังเกตอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกข้อมูลกลอนลำ ได้แก่ การบันทึกข้อมูลด้วยลายมือ การบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องพิมพ์ดีด และการบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

1.2 แบบสัมภาษณ์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ประกอบด้วย

1.2.1 แบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง (Structured Interview) ใช้สัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลพัฒนาการกลอนลำจากผู้ปฏิบัติ

1.2.2 แบบสัมภาษณ์ชนิดไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) ใช้สัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลความสำคัญของผู้ประพันธ์กลอนลำและกลอนลำจากกลุ่มผู้รู้

2. การเก็บรวบรวมข้อมูล

2.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ หมอลำ กลอนลำ สังคมและวัฒนธรรม แนวคิดและทฤษฏี

2.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ได้จากการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (in-depth Interview) และการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง

3. บุคลากรผู้ให้ข้อมูล

3.1 กลุ่มผู้รู้ คือ กลุ่มที่เป็นนักวิชาการ ได้แก่ อาจารย์ประมวล พิมพ์เสน และกลุ่มที่เป็นปราชญ์ชาวบ้านและมีตำแหน่งเป็นศิลปินแห่งชาติ ได้แก่ ดร.ฉวีวรรณ พันธุ และนายฉลาดน้อย ส่งเสริม

3.2 กลุ่มผู้ปฏิบัติ คือ หมอลำราตรี ศรีวิไล

4. สถานที่ทำการวิจัย คือ จังหวัดขอนแก่น

5. การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์นี้ใช้กระบวกการวิเคราะห์เชิงคุณภาพโดยศึกษาพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล แล้วนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) ตามที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ รวมทั้งการนำเสนอข้อมูลด้วยภาพถ่าย

6. ระยะเวลาในการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาศึกษา 2 ปี ตั้งแต่ 2558-2560

ผลการศึกษา

จากการศึกษาพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล พบว่า กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลมีพัฒนาการโดยแบ่งออกเป็น 6 ช่วงด้วยกัน ดังนี้

1. หมอลำราตรี ศรีวิไล เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2495 ครอบครัวประกอบอาชีพเป็นศิลปินหมอลำ จึงทำให้หมอลำราตรี ศรีวิไล สนใจในการเป็นหมอลำ และผู้ประพันธ์กลอนลำ โดยแรงจูงใจในการประพันธ์กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลนั้นเริ่มจาก เมื่อปี พ.ศ. 2506-2512 เป็นช่วงอายุระหว่าง 11-17 ปี หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้เริ่มเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำอย่างจริงจัง โดยกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลที่ประพันธ์ขึ้นทุกบทกลอนจะมีคนในครอบครัวตรวจทานให้อยู่เสมอ ซึ่งรูปแบบโครงสร้างกลอนลำในช่วงปี พ.ศ. 2506-2512 นี้ เป็นกลอนลำทางยาว มีเนื้อหาที่สะท้อนในด้านวัฒนธรรม คือ การแนะนำรายงานตัวของหมอลำ กลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไลได้ประพันธ์ขึ้น ยังไม่มีการจัดบทเอก และบทโทให้เป็นระเบียบ ซึ่งการจัดบทเอกและบทโทนั้น หมายถึง การจัดรูปแบบคำประพันธ์ของฉันทลักษณ์กลอนลำนั่นเอง โดยยังเขียนเนื้อหาพรรณนาร่ายยาวเต็มหน้ากระดาษอยู่ รวมทั้งยังไม่คำนึงถึงการสัมผัสระหว่างวรรคตอน ไม่คำนึงถึงตัวสะกดถูกหรือผิด เพียงแต่ให้ตนเองสามารถพออ่านได้เท่านั้น ภาษาที่ใช้เป็นภาษาถิ่นอีสานล้วน ดังตัวอย่างภาพประกอบที่ 1 กลอนแนะนำบ้านอยู่อู่นอนราตรีแก้วเสด็จ ที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2512 ดังนี้

ภาพประกอบที่ 1 แสดงภาพกลอนแนะนำบ้านอยู่อู่นอนราตรีแก้วเสด็จ ที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2512


2. ในช่วงปี พ.ศ. 2513-2524 เป็นช่วงอายุระหว่าง 18-29 ปี หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้เริ่มเรียนรู้จดจำทำนองลำประเภท ลำทางสั้น ลำทางยาว และลำเต้ย ไว้อย่างขึ้นใจในการจำทำนองลำนั้นมีผลต่อผู้ประพันธ์กลอนลำเป็นอย่างมากเพราะจะทำให้จดจำวรรณยุกต์ที่บังคับบทกลอนลำได้ง่ายขึ้น จึงทำให้หมอลำราตรี ศรีวิไล เกิดความรู้ ความเข้าใจในการประพันธ์เนื้อหากลอนลำได้อย่างรวดเร็ว หมอลำราตรี ศรีวิไลได้ประพันธ์กลอนลำทางสั้น ลำทางยาว และลำเต้ย มีเนื้อหาสะท้อนทางสังคมในด้านประวัติศาสตร์ และมีเนื้อหาสะท้อนวัฒนธรรมในด้านศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม นิทาน ภาษา ศิลปะการแสดง ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความรักหนุ่มสาว การกล่าวทักทายรายงานตัว การกล่าวทักทายไถ่ถาม การกล่าวคำอวยพร การกล่าวคำอำลาจากกัน และความกตัญญูต่อครูอาจารย์ กลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไลประพันธ์ขึ้นยังไม่มีการจัดบทเอก และบทโท ยังเขียนพรรณนาร่ายยาวเต็มหน้ากระดาษอยู่ แต่คำนึงถึงการส่งสัมผัสใน สัมผัสระหว่างวรรคตอน สัมผัสสระ สัมผัสอักษร ความถูกต้องของตัวสะกดอักษรและวรรณยุกต์แล้ว ภาษาที่ใช้คือภาษาถิ่นอีสานล้วน ดังตัวอย่างภาพประกอบที่ 2 กลอนลำพงศาวดารเวียง ตอนเจ้าอนุราชครองเมืองที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2514 ดังนี้

ภาพประกอบที่ 2 แสดงภาพตัวอย่างกลอนลำพงศาวดารเวียง

ตอนเจ้าอนุราชครองเมืองที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2514


3. ช่วงปี พ.ศ. 2525-2526 เป็นช่วงอายุระหว่าง 30-31 ปี หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้เริ่มเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำด้วยตัวเอง โดยอาศัยเนื้อหาจากสภาพการดำเนินชีวิตของชาวบ้านในช่วงเวลานั้นมาทำการประพันธ์กลอนลำ หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้มุ่งมั่นศึกษาวิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้านอย่างจริงจังตั้งแต่เกิดจนตาย จากประสบการณ์การเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำในอดีตจึงทำให้หมอลำราตรี ศรีวิไลมีความเข้าใจและใช้องค์ความรู้นั้นประพันธ์กลอนลำอย่างไม่ติดขัด กลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้ประพันธ์ในช่วงนี้ได้แก่ ลำทางสั้น ลำทางยาว ลำเต้ย ลำเดินขอนแก่นลำผู้ไท ลำตังหวาย ลำสีพันดอน และในช่วงปี พ.ศ. 2525-2526 หมอลำราตรี ศรีวิไล ยังศึกษาสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ จึงทำให้หมอลำราตรี ศรีวิไล ไม่ได้ประพันธ์กลอนลำเนื้อหาที่สะท้อนภาพทางสังคมไว้ในช่วงนี้ จึงประพันธ์แต่กลอนลำที่มีเนื้อหาสะท้อนภาพทางวัฒนธรรม คือ ความกตัญญูต่อบิดามารดาและต่อครูอาจารย์ กลอนลำที่ประพันธ์ขึ้นยังไม่มีการจัดบทเอก และบทโท ยังเขียนกลอนลำร่ายยาวเต็มหน้ากระดาษ แต่คำนึงถึงสัมผัสใน สัมผัสระหว่างวรรค สัมผัสอักษร สัมผัสสระ ความถูกต้องของตัวสะกดและวรรณยุกต์แล้ว ภาษาที่ใช้คือภาษาถิ่นอีสานล้วน ดังตัวอย่างภาพประกอบที่ 3 กลอนลำล่องคิดถึง ที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2525

ภาพประกอบที่ 3 แสดงภาพตัวอย่างกลอนลำล่องคิดถึง ที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2525


4. ในช่วงปี พ.ศ. 2527-2535 เป็นช่วงอายุระหว่าง 32-40 ปี หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้เห็นว่าผู้คนในปัจจุบันหันไปเสพเพลงไทยสากลมากขึ้น ต้นเหตุอาจเป็นเพราะว่าเพลงลูกทุ่งสตริงมีเครื่องดนตรีที่หลากหลาย และมีจังหวะที่ครึกครื้นเร้าใจ จึงทำให้คนหันไปสนใจเพลงลูกทุ่งสตริงกันมาก หมอลำราตรี ศรีวิไล จึงได้เริ่มคิดหาวิธีนำกลอนลำมาปรับประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยของสังคมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น หมอลำราตรี ศรีวิไล จึงได้นำเอากลอนลำทำนองดั่งเดิมมีจังหวะช้าใช้เครื่องดนตรีชนิดเดียว คือ แคน มาปรับทำนองลำให้มีจังหวะเร็วขึ้นและเพิ่มเครื่องดนตรี เช่น คีย์บอร์ด กีตาร์ ประกอบขณะแสดง เป็นต้น จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2529 จึงได้เกิดหมอลำแนวใหม่ที่สมบูรณ์ คือ“หมอลำซิ่ง” ขึ้นในที่สุด แต่หมอลำราตรี ศรีวิไลก็ยังคงประพันธ์กลอนลำที่เป็นกลอนลำดั่งเดิมอยู่ไม่ได้ล้มเลิกแต่อย่างได การที่หมอลำราตรี ศรีวิไลได้ทดลองนำเครื่องดนตรีของเพลงลูกทุ่งสตริงมาใช้กับการแสดงหมอลำ จนก่อให้เกิดความแปลกใหม่ในวงการหมอลำและได้รับความนิยมจากคนฟังเป็นอย่างมาก กลอนลำที่ประพันธ์ขึ้นในช่วงนี้ได้แก่ ลำทางสั้น ลำทางยาว ลำเต้ย ลำกลอนประยุกต์ ลำเพลิน ลำเดินขอนแก่น ลำผู้ไท ลำตังหวาย ลำสีพันดอน กลอนลำมีเนื้อหาสะท้อนภาพทางสังคมในด้านการเมือง การปกครอง และมีเนื้อหาสะท้อนทางด้านวัฒนธรรม คือ นิทาน การกล่าวคำอำลาจากกัน กตัญญูต่อบิดามารดา กลอนลำที่ประพันธ์ขึ้นใน ช่วงนี้ยังไม่มีการจัดบทเอก และบทโทให้เป็นระเบียบ แต่คำนึงถึงสัมผัสระหว่างวรรคตอน สัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสอักษร ความถูกต้องของตัวสะกดอักษร และวรรณยุกต์แล้ว ภาษาที่ใช้ในการประพันธ์ได้แก่ ภาษาไทยกลาง และภาษาถิ่นอีสาน ได้บันทึกข้อมูลกลอนลำด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ดังตัวอย่างภาพประกอบที่ 4 กลอนลำโรคเอดส์คืออันตรายที่น่ากลัว ที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2532

ภาพประกอบที่ 4 แสดงภาพตัวอย่างกลอนลำโรคเอดส์คืออันตรายที่น่ากลัว ที่ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2532


5. ในช่วงปี พ.ศ.2536-2550 เป็นช่วงอายุระหว่าง 41-55 ปี หมอลำราตรี ศรีวิไล เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่ตอบรับการแสดงหมอลำในรูปแบบใหม่ คือ “หมอลำซิ่ง” หมอลำราตรี ศรีวิไล จึงได้พัฒนากลอนลำอย่างไม่หยุดยั้ง โดยการประพันธ์กลอนลำสลับกับเนื้อหาเพลงลูกทุ่ง เรียกว่า “ลูกทุ่งหมอลำ” ดังนั้นในช่วงนี้จึงทำให้รูปแบบของกลอนลำที่ประพันธ์ขึ้น มีความแปลกใหม่เพิ่มมาก เป็นเพราะหมอลำราตรี ศรีวิไล มีความคิดที่สร้างสรรค์สามารถบูรณาการกลอนลำและเพลงลูกทุ่งให้เข้ากันอย่างลงตัว กลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้ประพันธ์ในช่วงนี้ได้แก่ ลำกลอน ลำกลอนประยุกต์ ลำเดินขอนแก่น ลำเพลิน ลำผู้ไท ลำตังหวาย ลำสีพันดอน และนอกจากนี้ยังมีกลอนลำประเภทอื่นที่เอาเพลงลูกทุ่งหมอลำมาประพันธ์สลับแทรกระหว่างท่อน คือ ทำนองลำทางสั้น ลำทางยาว ลำเต้ย ลำเพลิน และลำเดินขอนแก่น กลอนลำในช่วงนี้มีเนื้อหาสะท้อนทางสังคมด้านประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และกลอนลำที่สะท้อนเนื้อหาวัฒนธรรมได้แก่ด้านศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม นิทาน ภาษา การดำรงชีวิต ความสัมพันธ์กันในครอบครัว ความรักของหนุ่มสาว การกล่าวแนะนำตัว ทักทายถามไถ่ให้กำลังใจ อวยพร อำลาพาจาก และความกตัญญู กลอนลำที่ประพันธ์ขึ้นในช่วงนี้ มีการจัดบทเอก และบทโท และคำนึงถึงสัมผัสระหว่างวรรค สัมผัสใน สัมผัสระ สัมผัสอักษร ความถูกต้องของตัวสะกดของอักษรและวรรณยุกต์อย่างชัดเจนแล้ว ภาษาที่ใช้ได้แก่ ภาษาไทยถิ่นภาคกลาง และภาษาไทยถิ่นอีสาน และได้การบันทึกกลอนลำลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

ตัวอย่างผังฉันทลักษณ์กลอนลำ

ภาพประกอบที่ 5 แสดงภาพตัวอย่างแผนผังฉันทลักษณ์กลอนลำ

(รำเผย ไชยสินธุ์, 2553)


ตัวอย่าง กลอน ทำอย่างไรจึงปลอดภัยจากไข้เลือดออก ทำนองลำทางยาว ที่มีการจัดบทเอก และบทโท ถูกต้องตามรูปแบบคำประพันธ์และฉันทลักษณ์ของกลอนลำ

(ราตรี ศรีวิไล, 2548)


6. ในช่วงปี พ.ศ. 2551-2560 เป็นช่วงอายุระหว่าง 56-65 ปี หมอลำราตรี ศรีวิไล มีประสบการณ์ในการประพันธ์กลอนลำจนเกิดความชำนาญ จนลำโดยไม่ต้องประพันธ์กลอนลำไว้ล่วงหน้า เรียกว่า “ปฏิภาณด้นกลอนสด” และได้พัฒนารูปแบบกลอนลำให้มีความหลากหลายขึ้น โดยอาศัยประสบการณ์ที่พบเจอในสังคมปัจจุบัน แล้วนำวัตถุดิบจากเหตุการณ์เหล่านั้นมาประพันธ์กลอนลำจนได้รับความนิยมจากคนฟัง ด้วยข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ หมอลำราตรี ศรีวิไลจึงได้ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อหวังว่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะได้สร้างสรรค์ผลงานทางด้านการประพันธ์กลอนลำให้มีประสิทธิ์ภาพและเป็นที่ยอมรับต่อสังคมมากยิ่งขึ้น จึงส่งผลให้กลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไลประพันธ์ขึ้น มีมาตรฐานถูกต้องตามหลักวิชาการ กลอนลำที่ประพันธ์ขึ้นทุกลอนของหมอลำราตร ศรีวิไลในช่วงนี้ จึงจัดอยู่ในกลุ่มของกลอนลำที่มีสุนทรียภาพ ในด้านเนื้อหาสาระ และภาษา รวมถึงได้มีการจัดรูปแบบกลอนลำโดยการแยก บทเอก และบทโท และจัดแบ่งกลอนลำให้เป็นวรรคตอนอย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้กลอนลำดูเป็นระเบียบและง่ายต่อผู้ที่สนใจศึกษาอย่างยิ่ง กลอนลำที่หมอลำราตรี ศรีวิไลประพันธ์ขึ้น ได้แก่ ลำกลอน ลำกลอนประยุกต์ ลำเดินขอนแก่น ลำเพลิน ลำผู้ไท ลำตังหวาย และลำสีพันดอน มีเนื้อหาที่สะท้อนภาพทางสังคม คือ ด้านประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครองการศึกษา การท่องเที่ยว ส่วนเนื้อหาที่สะท้อนภาพวัฒนธรรม คือ ด้านศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม นิทาน ภาษา ความสัมพันธ์กันในครอบครัว ความรักหนุ่มสาว การกล่าวแนะนำตัว ทักทายถามไถ่ให้กำลังใจ อวยพร และอำลาจาก กตัญญู กลอนลำที่ประพันธ์มีการจัดบทเอก และบทโท คำนึงถึงสัมผัสระหว่างวรรคตอน สัมผัสอักษร สัมผัสสระ ใช้ภาษาไทยถิ่นอีสาน ภาษาไทยถิ่นภาคกลาง และภาษาต่างประเทศ มีผู้ตรวจสอบความถูกต้องของกลอนลำแต่ละกลอน และบันทึกข้อมูลกลอนลำลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

ตัวอย่าง กลอน ถวายอาลัยน้อมเสด็จสู่สวรรค์คาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำนองลำทางยาว ที่ถูกต้องตามฉันลักษณ์กลอนลำพร้อมกับเนื้อหาที่มีสุนทรียภาพของความเศร้าโศก


(กลอนขึ้น)

โอ่ย...อกเอ๋ย... อกค้ำครวญหวนสะอื้น

งวกเหลียวหลังกลับคืน เห็นฮอยมือของพ่อ

สุดซาบซึ้งหลายเด้นอ... พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นล้นเกล้า

ผองไทยเศร้าทั่วแผ่นดิน สุดอาลัยองค์ภูมินทร...ละน้า

(บทที่ 1)

ว่าโอ้นอพี่น้องเผ่าชาวไทยเอ๋ย

เมื่อวันที่สิบสามตุลาคม ปีสองห้าห้าเก้าไทยเหงาหง่วมทรวงสลด

พอฮู้ข่าวการสวรรคต พระเจ้าอยู่หัวองค์ที่เก้า

อกระทมตรมเศร้า ฟ้าหงอยเหงา เมฆหมอกหม่น

เสียงปวงชนฮ้องฮ่ำให้ กึกก้องก่องน้ำตา

(บทที่ 2)

เปรียบประดุจดั่งฟ้าๆ ผ่าลงหว่างกลางใจ

น้ำตาไหลนองแผ่นดิน อาบรินฮำย้อย

ดวงตาเว็นเศร้าสร้อย เหลียวขึ้นฟ้าแสงเหงาหงอยเหลียวลงพื้นแผ่นดินแกว่ง

น้ำในอุแอ่งข้อน หนองบึงฮ้อนทั่วทะลัง... ฯลฯ

(ราตรี ศรีวิไล, 2559)

สรุปและอภิปรายผล

จากการศึกษาพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล พบว่า กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลมีพัฒนาการอยู่ด้วยกัน 6 ช่วง ได้แก่ ช่วงปี พ.ศ. 2506-2512 เริ่มเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำจากบิดา ช่วงปี พ.ศ. 2513-2524 ศึกษาเรียนรู้ทำนองลำ ช่วงปี พ.ศ. 2525-2526 ประพันธ์กลอนลำตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน ช่วงปี พ.ศ. 2527-2535 ประพันธ์กลอนลำตามสภาพสังคมสมัยใหม่ ช่วงปี พ.ศ. 2536-2550 ประพันธ์กลอนลำสลับกับเนื้อหาเพลงลูกทุ่ง และช่วงปี พ.ศ. 2551-2560 ประพันธ์กลอนลำถูกต้องตามหลักวิชาการ

จากข้อสรุปด้านพัฒนาการกลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลข้างต้นสามารถแบ่งอภิปรายผลได้เป็น 2 ประเด็น คือ

1. ช่วงการเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำ

หมอลำราตรี ศรีวิไล มีวิธีการเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำอยู่ 6 ข้อ คือ 1) การสั่งสมประสบการณ์ ได้แก่ การเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำจากครอบครัว การฝึกจดจำทำนองลำ การสังเกตวิถีชีวิตของชาวบ้าน การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมขณะนั้น และการสังเกตการแสดงดนตรีประเภทอื่น ๆ 2) เหตุผลที่ได้จากการสั่งสมประสบการณ์ จากการที่หมอลำราตรี ศรีวิไลได้เรียนรู้การประพันธ์กลอนลำจากครอบครัว จึงทำให้หมอลำราตรี ศรีวิไลสามารถประพันธ์กลอนลำและจดจำทำนองลำได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่หมอลำราตรี ศรีวิไลได้สังเกตการดำรงชีวิตของชาวบ้าน ถือว่าเป็นการซึมซับเอาข้อมูลเพื่อใช้ในการประพันธ์กลอนไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พงษ์ศักดิ์ ฐานสินพล (2556) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การประพันธ์กลอนลำของครูนุ่มเย็นใจ พบว่า ครูนุ่มมีขั้นตอนการประพันธ์กลอนลำ คือ สืบค้นหาข้อมูล เรียบเรียงข้อมูลที่หามาได้ เลือกฉันทลักษณ์และทำนองให้สัมพันธ์กับเนื้อหา ซึ่งการประพันธ์กลอนลำจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์จากการศึกษาเนื้อหาสังคมล้วน ๆ ถึงจะสามารถมีข้อมูลมาใช้ประพันธ์กลอนลำได้ซึ่งหมอลำราตรี ศรีวิไลก็ได้ปฏิบัติแบบเดียวกับครูนุ่ม เย็นใจเช่นกัน นอกจากนี้หมอลำราตร ศรีวิไลได้สังเกตเห็นว่าสังคมมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครอง การศึกษา และเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ มีส่วนสำคัญต่อเนื้อหากลอนลำเป็นอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ โอสถ บุตรมารศรี (2538) ที่ศึกษาวิจัยเรื่อง ภาพสะท้อนสังคมอีสานจากกลอนลำของหมอลำเคน ดาเหลา พบว่า กลอนลำได้สะท้อนเนื้อหาด้านการเมือง การปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านศาสนา ด้านความเชื่อ ด้านการศึกษา ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี และด้านการทำมาหากิน จึงไม่แปลกที่บริบทแต่ละพื้นที่จะมีความสำคัญต่อผู้ประพันธ์กลอนอย่างยิ่ง กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ก็ได้สะท้อนภาพทางด้านสังคมอีสานเช่นเดียวกันกับกลอนลำของหมอลำเคน ดาเหลาที่สะท้อนสังคมอีสานด้วย 3) องค์ประกอบของความรู้ที่หมอลำราตรี ศรีวิไลได้จากการสั่งสมประสบการณ์ ได้แก่ การลอกเลียนแบบ การสังเกต การทดลอง และการนำไปปฏิบัติ เช่น การนำความรู้ที่ได้สั่งสม มาพัฒนาผลงานกลอนลำให้มีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือ “กลอนลำแบบดั่งเดิม” เปลี่ยนเป็น “กลอนลำซิ่ง” ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ได้สอดคล้องกับทฤษฏีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมของ ฟรานช์ โบแอส (Franz Boas) ที่กล่าวว่า การแพร่กระจายทางวัฒนธรรมเป็นการแพร่กระจายของวัฒนธรรมหนึ่งไปสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่ง เป็นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมเดิมให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมใหม่ (นำชัย ศุภฤกษ์ชัยสกุล และคณะ, 2557; อ้างจาก ฟรานซ์ โบแอส) ก็เช่นเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงกลอนลำแบบเก่าให้มีสภาพกลมกลืนไปกับสังคมปัจจุบัน 4) ขอบเขตของความรู้ที่หมอลำราตรี ศรีวิไลมีนั้นจะจำกัดอยู่ระหว่างช่วง พ.ศ. 2506-2524 ซึ่งเกิดจากความรู้เดิมที่ได้ศึกษาจากครอบครัวเป็นผู้ถ่ายทอดการประพันธ์กลอนและทำนองลำให้เท่านั้น และในช่วงปี พ.ศ. 2525-2560 หมอลำราตรี ศรีวิไลจึงสามารถใช้ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของตนมาประพันธ์กลอนลำตามสังคมสมัยใหม่จนสามารถประพันธ์กลอนลำได้ถูกต้องตามหลักวิชาการในที่สุด 5) ความรู้หลังประสบการณ์และก่อนประสบการณ์ที่หมอลำราตรี ศรีวิไลมีนั้นเป็นช่วงปี พ.ศ. 2506-2529 เป็นความรู้หลังประสบการณ์โดยการประพันธ์กลอนลำตามเหตุการณ์เดิมแบบซ้ำ ๆ และในช่วงปี พ.ศ. 2530-2560 หมอลำราตรีศรีวิไลสามารถใช้ความรู้ที่มีก่อนประสบการณ์ในการประพันธ์กลอนลำจนสามารถใช้ปฎิพาณไหวพริบด้นกลอนลำสดได้ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีการแต่งคำประพันธ์มุขปาฐะ ของ อัลเบิร์ต บี. ลอร์ด ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลบทกวีนิพนธ์มุขปาฐะของชาวสลาฟตอนใต้ในช่วง ค.ศ. 1930 แล้วได้พบว่า เนื้อร้องของเพลงมากถึงพันบรรทัด แต่นักแสดงมีสูตรนำเพลงออกมาใช้ได้เลยโดยไม่มีการบันทึกไว้และเตรียมตัวก่อน สามารถนำวลีสวมใส่ทำนองได้อย่างลงตัว และการแสดงในแต่ละครั้งจะไม่ตายตัวแน่นอนเหมือนกับวรรณกรรมลายลักษณ์และจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามสถานการณ์ (เสาวลักษณ์ อนันตศาสน์ , 2543; อ้างจาก อัลเบิร์ต บี. ลอร์ด) ซึ่งการด้นกลอนลำสดของหมอลำราตรี ศรีวิไลก็มีสูตรด้วยเช่นกัน คือ การอาศัยจดจำฉันทลักษณ์และทำนองลำให้ขึ้นใจและปฏิบัติในลักษณะเดียวกันแบบซ้ำ ๆ จนเกิดความชินและชำนาญไปโดยปริยายแต่ต้องใช้เวลา40-50 ปีถึงจะทำใด้ 6) ความรู้แบบวิเคราะห์และสังเคราะห์ของหมอลำราตรี ศรีวิไลนั้นอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2525-2560 หมอลำราตรี ศรีวิไลได้พยากรณ์การเปลี่ยนแปลงการแสดงของหมอลำไว้ว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย หมอลำบางประเภทคงต้องถึงคราวอาวสานแน่นอน ด้วยพื้นฐานของหมอลำราตรี ศรีวิไลที่เป็นหมอลำกลอนจึงได้นำกลอนลำมาปรับให้มีจังหวะเร็วขึ้นและแทรกเนื้อหาเพลงลูกทุกระหว่างบทของกลอนลำอย่างเหมาะสมซึ่งมีชื่อเรียกว่า กลอนลำซิ่ง ซึ่งจากการศึกษาช่วงการเรียนรู้การประพันธ์กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไล ทั้ง 6 ข้อนี้ได้สอดคล้องกับทฤษฏีญาณวิทยาของค้านท์ ที่ได้กล่าวว่า จิตเป็นผู้ที่มีบทบาทและหน้าที่ในการจัดการกับประสบการณ์ ทางประสาทสัมผัสจิตจะทำการสังเคราะห์ประสบการณ์ที่ได้จากประสาทสัมผัสและจึงให้อยู่ในรูปแบบความคิด และค้านท์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รูปแบบทางความคิดของคนมาจากโครงสร้างความเข้าใจของเรา (Structure of Understanding) คือทุกสิ่งที่เรามีความเข้าใจและมีประสบการณ์นั้น จะมีปริมาณ คุณภาพ ความสัมพันธ์ และระดับ รูปแบบความคิดที่เป็นโครงสร้างสากลของมนุษย์ที่มีอยู่ก่อนประสบการณ์มี ได้แก่ 1) ประสบการณ์ 2) เหตุผล 3) องค์ประกอบของความรู้ 4) ขอบเขตของความรู้ 5) ความรู้ก่อนประสบการณ์และหลังประสบการณ์ และ 6) ความรู้แบบวิเคราะห์และสังเคราะห์ (ลักษณวัต ปาละรัตน์, 2553; อ้างจาก ค้านท์) ซึ่งการเรียนรู้ของหมอลำราตรี ศรีวิไล ก็ได้ตรงกันกับทฤษฏีญาณวิทยา 6 ข้อ ของค้านท์ เช่นกัน

2. รูปแบบคำประพันธ์และฉันทลักษณ์กลอนลำ

ในช่วงระยะแรกปี พ.ศ. 2506-2526 ของหมอลำราตรี ศรีวิไล ได้เริ่มประพันธ์กลอนลำและสามารถประพันธ์กลอนลำได้ประเภทเดียว คือ ลำกลอน และจดจำทำนองลำได้เพียง 3 ทำนอง คือ ลำทางสั้น ลำทางยาว และลำเต้ย รูปแบบคำประพันธ์ ไม่มีการจัดบทเอก บทโท ฉันทลักษณ์กลอนลำนั้น ไม่คำนึงถึงสัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสระหว่างวรรค ทำให้กลอนลำขาดสุนทรียภาพไปมาก ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีคติชนวิทยา ที่กล่าวว่า เพลงพื้นบ้านเป็นเพลงที่ชาวบ้านสามัญชนทั่วไปคิดและประพันธ์ขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์ไว้ในอดีตจนตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเพลงพื้นบ้านที่อยู่ตามชนบทเพลงที่ถ่ายทอดตามประเพณีมุขปาฐะไม่ได้บันทึกใส่กระดาษ ไม่มีรูปแบบการประพันธ์ตายตัวแต่งเพลงขึ้นตามความเชื่อและสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเขา ส่วนเพลงในกลุ่มคนเมืองนั้นจะมีการกำหนด จำนวนคำ วรรคตอน สัมผัส และทำนองไว้เป็นหลักฐาน (เสาวลักษณ์ อนันตศาสน์, 2543, อ้างจาก เอ เอชแครปป์) ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะว่าช่วงระหว่างนี้หมอลำราตรี ศรีวิไล ยังไม่ได้รับการศึกษาที่เป็นระบบในเชิงวิชาการอย่างถูกต้องจึงทำให้กลอนลำที่ประพันธ์ขึ้นยังเป็นไปตามแบบฉบับของชาวบ้านอยู่ และการไม่จัดรูปแบบคำประพันธ์ของกลอนลำให้เป็นระเบียบนั้นทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าในสมัยก่อนกระดาษมีราคาค่อนข้างแพงจึงจำเป็นต้องเขียนกลอนลำให้ประหยัดกระดาษมากที่สุด คือ เขียนให้เต็มหน้ากระดาษไม่ให้มีช่องว่างเหลือเลย ซึ่งการเขียนกลอนลำเต็มหน้ากระดาษเช่นนี้ มีผลต่อผู้ที่นำกลอนลำไปท่องอย่างยิ่งจะทำให้ผู้ที่หัดกลอนลำใหม่ ๆ จดจำกลอนยากมาก เพราะจับจุดจังหวะหยุดของวรรคกลอนยากขึ้น ภาษาที่ใช้ประพันธ์กลอนลำในช่วงนี้เป็นภาษาถิ่นไทยอีสานล้วน

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2536-2560 กลอนลำของหมอลำราตรี ศรีวิไลได้เริ่มมีการจัดบทบทเอก บทโท คำนึงถึงสัมผัสนอก สัมผัสใน และสัมผัสระหว่างวรรค ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีสุนทรียศาสตร์ ที่กล่าวถึงความงามนวรรณคดีว่า ถ้าหากเป็นวรรณคดีของลาว จะเรียกว่ารสชาติสุนทรียะ ซึ่งหมายถึงการวิจารณ์วรรณคดี (Criticism) ดังนั้น จึงประกอบด้วยหลักการวิจารณ์อยู่ 3 ประการ ได้แก่ Logic คือ เนื้อหาวรรณกรรมต้องสามารถสร้างความสะเทือนอารมณ์แก่ผู้ฟังRhetoric คือ จังหวะ ริโทรก (Rhetoric) เป็นสุนทรียภาพด้านจังหวะระดับเสียงที่ลดหลั่นกันมีสัมผัสนอกสัมผัสในสัมผัสบทสัมผัสวรรณคดีมีคำสร้อยคำเชื่อมให้เห็นชัดเจนคือ “กลอนวิชุมาลี” และ Poetic คือ ตัวบท ความงามของเสียงสัมผัสพยัญชนะความงามของเสียงสัมผัสอักษรความงามของเสียงสัมผัสวรรณยุกต์สัมผัสวรรคสัมผัสบท (บุษบา คนยงค์, 2555 อ้างจาก สุเนตร โพธิสาน, 2549) ซึ่งทั้ง 3 ประการนี้ เป็นหัวใจสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางในการประพันธ์กาพย์กลอนต่าง ๆ ของอีสานให้เกิดสุนทรียภาพอย่างกินใจ และการบันทึกข้อมูลกลอนลำด้วยการเขียนลงใส่กระดาษ จึงได้พัฒนามาบันทึกข้อมูลกลอนลำด้วยเครื่องพิมพ์ดีด และเมื่อความเจริญด้านเทคโนโลยีมาถึงจึงได้มีการบันทึกข้อมูลกลอนลำด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาที่ใช้ในการประพันธ์กลอนลำก็เริ่มมีมากกว่า 1 ภาษา ได้แก่ ภาษาถิ่นอีสาน ภาษาไทยกลาง และภาษาต่างประเทศ

เอกสารอ้างอิง
  • ธวัช ปุณโณทก. (2537). วรรณกรรมภาคอีสาน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • เคน ดาเหลา (ผู้ให้สัมภาษณ์) บุญจันทร์ จอมศรีประเสริฐ (ผู้สัมภาษณ์)ม 18 กรกฎาคม 2554.

  • นำชัย ศุภฤกษ์ชัยสกุล. (2557). การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมค่านิยมและวัฒนธรรมไทยอย่างยั่งยืนด้วยการสังเคราะห์งานวิจัย. สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • บุปผา บุญทิพย์. (2543). คติชาวบ้าน. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • บัณฑิตวงศ์ ทองกลม. (2539). ชีวิตและผลงานของหมอลำทองมาก จันทะลือ (หมอลำถูทา). วิทยานิพนธ์.ปริญญาศิลปศาสตร มหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นสังคมศาสตร์). มหาสารคาม :มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

  • บุษบา คนยงค์. (2555). กลอนลำหมอลำสมาน สุวรรณศรี: ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรม ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชำชนลาว. วิทยานิพนธ์ ศป.ม. (วิจัยศิลปะและวัฒนธรรม). ขอนแก่น: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

  • พงษ์ศักดิ์ ฐานสินพล. (2556). การประพันธ์กลอนลำของครูนุ่ม เย็นใจ. วิทยานิพนธ์. ปริญญาศิลปกรรมศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาวิชาดุริยางคศิลป์. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

  • พรชัย เขียวสาคู. (2536). ลำเพลินบ้านแพง ตำบลแพง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม. ปริญญานิพนธ์. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นสังคมศาสตร์).มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • พรสวรรค์ พรดอนก่อ. (2551). การพัฒนาการจัดการศิลปะการแสดงหมอลำกลอนในจังหวัดอุดรธานี. วิทยานิพนธ์. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศาสตร์. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

  • ราชบัณฑิตยสถาน. (2542). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.

  • รำเพย ไชยสินธุ์. (2553). วรรณศิลป์อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. เลย: รุ่งแสงธุรกิจการพิมพ์.

  • สนอง คลังพระศรี. (2541. หมอลำซิ่ง : กระบวนการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมดนตรีของหมอลำ ในภาคอีสาน. วิทยานิพนธ์. ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (วัฒนธรรมศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล.

  • สุวิทย์ รัตนปัญญา. (2553). หมอลำกลอน : บริบท คุณค่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและการดำรงอยู่ในประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วิทยานิพนธ์. ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค. เลย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.

  • เสงี่ยม บึงไสย์. (2533). บทบาทของลำกลอนในด้านการเมือง. ปริญญานิพนธ์. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (มนุษยศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

  • เสาวลักษณ์ อนันตศานต์. (2543). ทฤษฏีคติชน และวิธีการศึกษา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • _______. (2553). ทฤษฏีญาณวิทยา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

  • โอสถ บุตรมารศรี. (2538). ภาพสะท้อนของสังคมอีสานจากกลอนลำของหมอลำเคน ดาเหลา. ปริญญานิพนธ์. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

Comments


bottom of page