อัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น
- ครู บุญ
- 21 ม.ค. 2565
- ยาว 6 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565
บทความโดย บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
อัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น The Identity of Mawlum Songs as Sung and Compoled in Khon Kaen
บุญจันทร์ เพชรเมืองเลย, สำเร็จ คำโมง.(2556).รหัสบทความ ED112 : อัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น ปี พ.ศ.2556 (24 พฤษภาคม 2557 การประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 2/2557 “การพัฒนาองค์ความรู้เชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน” มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

บทคัดย่อ
การศึกษาอัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น มุ่งศึกษาอัตลักษณ์ที่ได้จากกลอนลำของครูผู้ประพันธ์กลอนลำและครูหมอลำกลอนโดยเน้นศึกษา ฉันทลักษณ์ของกลอนลำ และสังคีตลักษณ์ของทำนองลำ ในการดำเนินการวิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยได้สัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต การสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากครูผู้ประพันธ์กลอนลำ ครูหมอลำกลอน และเนื้อหาของกลอนกลอนลำโดยการพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า
ในด้านชีวประวัติครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน พบว่า มีชีวิตคล้ายคลึงกันคือครอบครัวมีฐานนะยากจน และมุ่งมานะเรียนรู้การขับลำและการประพันธ์กลอนลำจนประสบผลสำเร็จในชีวิต และมีการเผยแพร่ผลงานโดย จัดทำซีดีเผยแพร่ประกอบกับการได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรตามหน่วยงานของรัฐ และเอกชนต่าง ๆ จนมีลูกศิษย์มากมายนับไม่ถ้วนจะเห็นได้ว่าครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอนมีความสนใจใฝ่เรียนรู้การประพันธ์กลอนลำที่เหมือนกัน
ในด้านอัตลักษณ์ของกลอนลำทำนองขอนแก่น พบว่า สังคีตลักษณ์ ลำแต่ละทำนองมีทำนองที่ตัดขาดจากกันได้อย่างชัดเจนไม่สับสนปนเปรอกัน ผู้ฟังสามารถจำแนกประเภทของทำนองลำได้ทันทีที่ได้ยิน และมีฉันทลักษณ์ การประพันธ์บทร้องใช้จำนวนคำ และแต่ละจังหวะตรงกับจำนวนพยางค์ ที่กำหนดในทำนองย่อยเอก ประโยคเนื้อหากลอนลำทางสั้นมีการใช้ รสของหัสสะไนยะวาทีเนื้อหากลอนลำทางยาวมีการเลือกใช้รสของเสาวรจนี และเนื้อหากลอนลำเต้ย มีการใช้รสของ หัสสะไนยะวาที และนารีปราโมทย์ มากที่สุด
บทนำ
วัฒนธรรม คือ วิถีชีวิตของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นระบบช่วยให้มนุษย์ปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสมดุลอาจเป็นระบบสังคมและระบบสัญลักษณ์ เช่น ครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง ภาษา และความเชื่อต่าง ๆ มีนัยยะอันหลากหลาย มีการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งด้วยศักยภาพทางสมองของมนุษย์ที่เหนือกว่าสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ (สุรพงษ์ ลือทองจักร, 2552)
ชาวอีสานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยังนิยมสืบสาน ภูมิปัญญาสาขาศิลปกรรม ด้านการแสดงหมอลำกลอนมาโดยตลอด ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของภาคอีสานก็ว่าได้ เพราะมีการใช้สำเนียงภาษาอีสานอย่างชัดเจน ในการขับลำนำ ซึ่งหมอลำนั้นมีทำนองลำหลายทำนอง (วาดลำ) โดยแบ่งความนิยมในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งในที่นี้ของกล่าวถึง วาดลำกลอน (ทำนองลำกลอน) ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ อาทิ วาดลำ ได้แก่ 1) ลำกลอนวาดอุบลฯ 2) ลำกลอนวาดขอนแก่น 3) ลำกลอนวาดพุทไธสง 4) ลำกลอนวาดภูเขียว ภูเวียง และชัยภูมิ 5) ลำกลอนวาดสารคาม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2554)
คนขอนแก่นได้รับอารยะธรรมล้านช้างมาตั้งแต่โบราณ เช่นเดียวกับคนอีสานทั่วไป หรืออาจกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่าชาวขอนแก่นเป็นชนชาติที่มีอักษรเป็นของตัวเองมาช้านาน และอักษรเหล่านั้น ก็ได้ใช้เขียนใช้จารึกและมีการศึกษาเล่าเรียนกันมาไม่ขาดสาย และมาหยุดเรียนสืบทอดเมื่อประมาณ พ.ศ. 2464 แต่ภาษาเหล่านี้ก็ไปเจริญในวัดวาอารามทั่วภาคอีสาน และได้มีวรรณกรรมที่ล้ำค่าเช่น วรรณกรรมลำเรื่อง ลำเรื่อง คือ การขับลำรูปแบบหนึ่งของอีสาน จะเห็นได้ว่า หมอลำกับชาวขอนแก่นมีความผูกพันกันมาอย่างช้านานจากที่ได้ปรากฏในประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น
ชาวอีสานมีการละเล่นอันเกี่ยวกับดนตรีอีสานมาช้านานนั้นก็คือ หมอลำ และการฟ้อนรำต่าง ๆ ซึ่งการละเล่นเหล่านี้จะพบได้ทั่วไปในอีสาน สำหรับหมอลำในอีสานนั้นมีลำดับช่วงจาก หมอลำพื้น ลำคู่ และลำหมู่ เห็นได้ว่าหมอลำกลอน มีคุณค่าต่อจิตวิญญาณของชาวอีสาน และอีกสิ่งหนึ่งที่จะมองข้ามเลยเสียมิได้ คือ “กลอนลำ” ซึ่งกลอนลำนั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการสร้างชื่อเสียงให้แก่หมอลำ ถ้ากลอนลำมีความไพเราะก็จะทำให้ผู้ฟังประทับใจ กลอนลำจะมีสุนทรียภาพหรือไม่เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และทักษะความรู้ความชำนาญของผู้ประพันธ์กลอนลำ (ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร, 2554) ผู้ประพันธ์กลอนลำนอกจากจะมีพรสวรรค์แล้ว ยังต้องศึกษาหาข้อมูลในหลายเรื่องได้แก่ การหาทำนอง การฝึกทำนอง การศึกษาลักษณะคำประพันธ์ให้คล่องใจ ความแตกฉานในภาษาไทยอีสาน เสียงร้องของผู้ลำเป็นต้น (เสงี่ยม บึงไสย์. (2533) อ้างถึงใน พิมพ์ รัตนคุณศาสตร์, 2530)
กลอนลำที่หมอลำนำไปขับลำนั้นมีผู้ประพันธ์อยู่ด้วยกัน 2 กลุ่มคือ ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน ผู้วิจัยได้ทำการสัมภาษณ์ พ่อครูเคน ดาเหลา ศิลปินแห่งชาติ ท่านได้ให้สัมภาษณ์กับผู้วิจัยว่ากลุ่มที่แต่งหมอลำได้ดีที่สุดก็คือกลุ่มที่เป็นหมอลำอยู่แล้วและเป็นผู้ที่มีหัวคิดเฉลียวฉลาด สามารถด้นกลอนสดได้ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ จะเรียนเขียนกลอนลำได้ดีและรวดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้เป็นหมอลำ แต่อย่าไรก็ตามการเรียนลำนั้นใครก็สามารถเรียนได้ขึ้นอยู่กับความพยายามความเอาใจใส ความฉลาดของแต่ละบุคคลด้วย (เคน ดาเหลา, 2554, กรกฎาคม. สัมภาษณ์) ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอนแต่ละคน ล้วนแต่มีเทคนิคการประพันธ์กลอนลำที่เป็นแบบฉบับของตนเองมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้ประพันธ์กลอนลำแต่ละคนก็จะมีอัตลักษณ์ประจำตัวของตนเอง
อัตลักษณ์ส่วนบุคคล (Personal Identity) เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงการรู้จักตนเอง การรับรู้ตนเอง การยอมรับตนเอง ความมั่นใจในตนเอง และความภาคภูมิใจในตนเอง ที่เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมทางสังคม พิจารณาจากการแสดงออกผ่านทางตัวแทนความมีตัวตนในรูปแบบของสถานะของบุคคล เพศ สภาพตำแหน่ง หน้าที่ บทบาททางสังคม ฯลฯ (สุจรรยา โชติช่วง, 2554)
จะเห็นได้ว่าครูผู้ประพันธ์กลอนลำและครูหมอลำกลอนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายทอดศิลปะการแสดงประจำภาคอีสานมาตั้งแต่โบราน ในอดีตมีคำกล่าวว่าหมอลำเป็นครูที่เก่งที่สุดเพราะจะต้องหาเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ มาใช้ลำทั้งคืนกลอนลำที่หมอลำใช้ลำนั้นก็จำเป็นต้องมีจำนวนมากด้วยเช่นกัน และในปัจจุบันนี้ครูผู้ประพันธ์กลอนลำและครูหมอลำกลอนที่มีชื่อเสียงในอดีตนั้นมีอายุอยู่ในระหว่าง 50-83 ปี โดยส่วนใหญ่ และครูประพันธ์กลอนลำก็มีจำนวนจำกัด หาผู้ที่มาสืบทอดนั้นยากเพราะการประพันธ์กลอนลำในมุมมองของคนที่ร้องหมอลำส่วนใหญ่นั้นบอกว่ายาก อาจจะเป็นเพราะยังไม่มีหลักการจัดรูปแบบฉันทลักษณ์ของกลอนลำและการบันทึกเนื้อร้อง และทำนองลำให้เป็นโน้ตสากล ที่ง่ายกับบุคคลทั่วไปที่สนใจศึกษาเรียนรู้ก็เป็นได้

จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาทำให้ผู้วิจัยได้เล็งเห็นคุณค่าของหมอลำกลอนที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกของชาติ ผู้วิจัยจึงได้นำเสนอโครงการวิจัย เรื่องการวิเคราะห์เนื้อร้อง ทำนอง และอัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น ผู้วิจัยเห็นว่าวิจัยเรื่องนี้มีประโยชน์ต่อ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ นักวิชาการ และผู้สนใจจึงสนใจศึกษากลอนลำทำนองขอนแก่นเพิ่มเติมด้วยวิธีที่มีลำดับขั้นตอนตามหลักวิชาการที่ง่ายและเป็นสากล
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อศึกษาชีวประวัติครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน
2. เพื่อวิเคราะห์ฉันทลักษณ์ ของกลอนลำทำนองขอนแก่น
3. เพื่อวิเคราะห์สังคีตลักษณ์จากทำนองลำ ของกลอนลำทำนองขอนแก่น
4. เพื่อวิเคราะห์อัตลักษณ์ ของกลอนลำทำนองขอนแก่น
อุปกรณ์และวิธีดำและเนินการวิจัย
การศึกษาอัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น มีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมายกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ประกอบด้วย ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ จำนวน 2 คน และครูหมอลำกลอน จำนวน 3 คน ที่มีประสบการณ์ในการประพันธ์กลอนลำมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี รวมทั้งหมด จำนวน 5 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง
2. ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นหลักการในงานวิจัย ได้แก่
แนวคิดเกี่ยวกับหมอลำกลอนทำนองขอนแก่น
ดนตรีประกอบลำกลอน (แคน)
แนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษ์ของหมอลำกลอน
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับโน้ตดนตรีสากล
บริบทเมืองขอนแก่นที่เกี่ยวข้องกับภาษาและวรรณกรรม
3. รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสังเกต การสัมภาษณ์ การบันทึกภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ถอดข้อความจากข้อมูลที่บันทึกได้ในการขับลำ ของหมอลำกลอนจากแผ่นบันทึกข้อมูล และเพื่อนำผลการวิเคราะห์ ฉันทลักษณ์ สังคีตลักษณ์ และอัตลักษณ์ มาเรียบเรียงเป็นเอกสาร วิชาการด้านหมอลำ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษารวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การศึกษาภาคสนาม ใช้แนวทางการสัมภาษณ์เพื่อสัมภาษณ์เจาะลึก ใช้แนวทางการสังเกต เพื่อสังเกตแบบมีส่วนร่วม ใช้แนวทางการสนทนากลุ่มเพื่อจัดกลุ่มสนทนาตรวจสอบความเป็นไปได้ของการวิเคราะห์อัตลักษณ์ของลำกลอน เพื่อให้ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับ ฉันทลักษณ์ สังคีตลักษณ์ และอัตลักษณ์ ของลำกลอนทำนองขอนแก่น ขั้นตอนการวิจัยดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 : ชีวิประวัติของครูผู้ประพันธ์กลอนลำและครูหมอลำกลอน
ขั้นตอนที่ 2 : ศึกษาฉันทลักษณ์
ขั้นตอนที่ 3 : ศึกษาสังคีตลักษณ์
ขั้นตอนที่ 4 : ศึกษาอัตลักษณ์
ขั้นตอนที่ 5 : เรียบเรียงเป็นเอกสารวิชาการด้านหมอลำ
4. การเสนอผลการศึกษาค้นคว้า การเสนอผลการศึกษาค้นคว้า จะนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัย
ผู้วิจัยแบ่งผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ดังนี้ ดังนี้
1. ชีวประวัติของผู้ประพันธ์กลอนลำและครูหมอลำกลอน
1.1 ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ
ครูผู้ประพันธ์กลอนลำมีชีวิตคล้ายกันคือมีฐานนะที่ยากจนแต่ด้วยความอุสาหะเพียนพยายามโดยมีใจรักในเสียงดนตรีโดยเฉพาะแคนซึ่งเป็นดนตรีชิ้นเอกของอีสานก็ว่าได้เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่ประกอบการขับลำ และได้มีการเรียนรู้ที่เหมือนกันคือ ได้เริ่มเป่าแคนเพื่อประกอบลำก่อนแล้วจึงเริ่มหัดเครื่องดนตรีอื่น ๆ เสริมเรื่อย ๆ จนสามารถเล่นเครื่องดนตรีไทย และเครื่องดนตรีสากลได้ทุกประเภทจนท่านได้รับเชิญจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ให้เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องดนตรีโดยเฉพาะแคนและการประพันธ์กลอนลำ และได้นำแคนรวมทั้งเครื่องดนตรีอีสานชนิดอื่นไปเผยแพร่ทั้งในและต่างประเทศ และท่านได้ทำการถ่ายทอดผลงานโดยการจัดประชุมสัมมนานำความรู้ไปสอนนักเรียน นักศึกษา ในระดับโรงเรียนและระดับมหาวิทยาลัย
1.2 ครูหมอลำกลอน
ครูหมอลำกลอนมีชีวิตที่เหมือนกันคือได้เกิดในครอบครัวที่ยากจนและประกอบอาชีพหมอลำ ครูหมอลำกลอนทั้งสามท่านได้ใช้ชีวิตและสัมผัสกับหมอลำมาโดยตลอดจนทำให้ทั้งสามท่านได้เป็นศิลปินหมอลำที่มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้ได้ และจากการสัมผัสเรียนรู้ในฐานะที่ครอบครัวเป็นหมอลำจึงทำให้ตนตั้งใจฝึกฝนหัดลำจนสามารถออกแสดงตามเวทีต่าง ๆ ได้จนเกิดความเชี่ยวชาญตกผลึก และได้เริ่มเรียนการประพันธ์กลอนลำตามรูปแบบที่เป็นต้นฉบับของครอบครัวที่ได้สร้างไว้จนประสบผลสำเร็จ และได้ทำการเผยแพร่ผลงานโดยการบันทึกแผ่นเสียง และได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในงานวิชาการและงานเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทั้งในหน่วยงานเอกชน และรัฐบาลอย่างไม่ขาดสายมาโดยตลอด และได้ถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่ลูกศิษย์มากมายนับไม่ถ้วน

2. ฉันทลักษณ์ของกลอนลำทำนองขอนแก่น
2.1 ฉันทลักษณ์ของเนื้อหากลอนลำทางสั้น
2.1.1 การแบ่งวรรคตอน ของจำนวนคำในประโยคเนื้อหาลำทางสั้นที่นิยมมากที่สุดคือ มีจำนวน 14 คำ หรือ15 คำ หรือ17 คำหรือ19 คำ หรือ 22 คำ จำนวนคำในวรรคหน้าของเนื้อหาลำทางสั้นที่นิยมมากที่สุดคือ มีจำนวน 7 คำ หรือ 8 คำหรือ 10 คำ หรือ 13 คำ หรือ 14 คำ จำนวนคำในวรรคหลังของเนื้อหาลำทางสั้นที่นิยมมากที่สุด คือ มีจำนวน 7 คำ หรือ11 คำ หรือ 16 คำ
2.1.2 การส่งสัมผัส นิยมที่สุด คือ คำที่ 3 คำที่4 คำที่1 คำที่6 และคำที่8
2.1.3 ความยาวของบท มีจำนวน 8-32 บท ส่วนกลอนโจทย์แก้ ไม่มีบท
2.2 ฉันทลักษณ์ของเนื้อหากลอนลำทางยาว
2.2.1 การแบ่งวรรคตอนของจำนวนคำในประโยคของเนื้อหากลอนลำทางยาวจำนวนคำในประโยคที่นิยมในเนื้อหากลอนลำทางยาว ได้แก่ 23 คำ หรือ 18 คำ และ 16 คำ จำนวนคำในวรรคหน้าที่นิยมในเนื้อหากลอนลำทางยาว ได้แก่ 11 คำ หรือ10 คำ หรือ 8 คำ หรือ 6 คำ จำนวนคำในวรรคหลังที่นิยมในเนื้อหากลอนลำทางยาว ได้แก่ 18 คำ หรือ 13 คำ หรือ 19 คำ จำนวนคำในกลอนขึ้นที่นิยมในเนื้อหากลอนลำทางยาว ได้แก่ 28 คำ หรือ 18 คำ หรือ 16 คำ หรือ 11 คำ และจำนวนคำในกลอนลงที่นิยมในเนื้อหากลอนลำทางยาว ได้แก่ 11 คำ หรือ 7 คำ หรือ 2 คำ
2.2.2 ความยาวของบทที่นิยมในเนื้อหากลอนลำทางยาว ได้แก่ 39 บท หรือ 23 บท หรือ 14 บท หรือ 8 บท
2.2.3 การส่งสัมผัส นิยมสัมผัสคำที่ 5 หรือคำที่3 หรือคำที่1 หรือคำที่2 หรือคำที่6
2.3 ฉันทลักษณ์ของเนื้อหากลอนลำเต้ย
2.3.1 การแบ่งวรรคตอนของจำนวนคำในประโยคของเนื้อหากลอนลำเต้ย จากการวิเคราะห์ฉันทลัษณ์ของกลอนลำเต้ย พบว่า จำนวนคำในประโยคของเนื้อหากลอนลำเต้ยที่นิยมมากที่สุดคือ 24 คำ หรือ23 คำ หรือ18 คำ จำนวนคำในวรรคหน้าของเนื้อหากลอนลำเต้ยที่นิยมมากที่สุดคือ 11คำ หรือ 10 คำ หรือ 8 คำ และจำนวนคำในวรรคหลังของเนื้อหากลอนลำเต้ยที่นิยมมากที่สุดคือ 18 คำ หรือ 14 คำหรือ 13 คำ
2.3.2 ความยาวของบท ที่นิยมมากที่สุดคือ 28 บท หรือ 23 บท หรือ 7 บท
2.3.3 การส่งสัมผัส ที่นิยม คือ คำที่ 3 คำที่ 4 คำที่ 5 และคำที่2
3. สังคีตลักษณ์จากทำนองลำ ของกลอนลำทำนองขอนแก่น
3.1 สังคีตลักษณ์ลำทางสั้น
แบบรูปจังหวะมีลักษณะดังนี้
1) เป็นจังหวะแบบตกคงที่ ในกลุ่มอัตราจังหวะ 2 ที่ห้องมีจำนวน 2 จังหวะนับ จังหวะนับแรกเป็นจังหวะหนัก
2) แบบรูปจังหวะหรือลักษณะจังหวะ หน้าทับหนึ่ง ๆ มี 7 พยางค์ เรียงลำดับพยางค์ดังนี้ “หนึ่งและ สองและ สามและ สี่” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับจังหวะกลองยาวอีสาน ซึ่งมักจะอ่านลักษณะจังหวะว่า “เปิ๊ดเปิ่ง บุ้มเปิ่ง เปิ๊ดเปิ่ง บุ้ม”
3) หน่วยย่อยเอกของทำนอง ประกอบด้วย 3 พยางค์ คือ “หนึ่งและ สอง” และบางแห่งอาจจะแปรทางเป็น “หนึ่งและ สองและ” และอาจจะเติมโน้ตประดับประดาเป็นรูปโน้ตพิงและโน้ตอิง คือแตกย่อยตัวโน้ตให้เป็นตัวย่อยเล็กเพิ่มขึ้นตามจำนวนคำเสริมที่นำเข้ามาแทรกหน้าพยางค์ต่าง ๆของโมทีฟก็ได้
4) วลีหนึ่งของทำนองลำทางสั้น มีความยาว 2 ห้อง ประกอบด้วย 2 โมทีฟ กลอนลำประกอบด้วย 2 วลี ที่มีลักษณะจังหวะเหมือนกันและลงจุดพักเพลงที่คอร์ด I-VI (โด-ลา) ท่อนหนึ่งหรือประโยคใหญ่หนึ่งๆ ประกอบด้วย 2 ประโยค และลงจุดพักเพลงที่คอร์ด I-II (โด-เร)
5) ระบบเสียงดนตรีที่ใช้กับทำนองลำทางสั้นมีลักษณะดังนี้
5.1 ทำนองอยู่ในโมดเสียง เมเจอร์ ซึ่งสามารถใช้เขตช่วงเสียงได้ 3 เขตช่วงเสียง ตามเขตช่วงเสียงของหมอลำแต่ละคน และเรียกแต่ละเขตช่วงเสียงว่า “ลาย” (Line) ต่างกันดังนี้
5.1.1 ลายสุดสะแนน เขตช่วงเสียงหนึ่ง ๆประกอบด้วยเสียง “โซ ลา ที โด เร มี ฟา โซ” (G A B C D E F G)
5.1.2 ลายโป้ซ้ายเขตช่วงเสียงหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยเสียง “โด เร มี ฟา โซ ลา ที โด” (C D E F G A B C) ซึ่งจะมีเขตช่วงเสียงสูงกว่าลายสุดสะแนนอยู่ 4 ขั้นเสียง
5.1.3 ลายสร้อยเขตช่วงเสียงหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยเสียง “เร มี ฟา โซ ลา ที โด เร” ( D E F G A B C D) ซึ่งจะมีเขตช่วงเสียงสูงกว่าลายโป้ซ้าย 1 ขั้นเสียง
3.2 สังคีตลักษณ์ของลำทางยาว
แบบรูปจังหวะมีลักษณะดังนี้
1) เป็นจังหวะแบบตกไม่คงที่ซึ่งหมอลำสามารถยืดหยุ่นจังหวะตกให้หนีออกจากจังหวะควบคุมได้ตามอัธยาศัยและอารมของเนื้อหาในกลุ่มอัตราจังหวะ 2 ที่ห้องมีจำนวน 2 จังหวะนับ จังหวะนับแรกเป็นจังหวะหนัก
2) แบบรูปจังหวะหรือลักษณะจังหวะ หน้าทับหนึ่ง ๆ มี 9 พยางค์ เรียงลำดับพยางค์ดังนี้ “หนึ่งและ สองสามสี่ ห้าหกเจ็ดและ แปด”
3) หน่วยย่อยเอกของทำนอง ประกอบด้วย 3 พยางค์ คือ “หนึ่งและ สอง” และบางแห่งอาจจะแปรทางเป็น “หนึ่งและ สองและ” และอาจยืดโน้ตในบางจังหวะให้มีเสียงยาวก็ได้
4) วลีหนึ่ง ของทำนองลำทางยาว มีความยาว 4 ห้อง ประกอบด้วย 4โมทีฟ ตัวอย่างเช่น คำกลอนของกลอนลำ 1วลี ประโยคหนึ่ง ของกลอนลำประกอบด้วย 2 วลี ที่มีลักษณะจังหวะเหมือนกันและลงจุดพักเพลงที่คอร์ด I-III (ลา-โด)
ท่อนหนึ่งหรือประโยคใหญ่หนึ่งๆ ประกอบด้วย 2 ประโยค และลงจุดพักเพลงที่คอร์ด III-I (โด-ลา)
5) ระบบเสียงดนตรีที่ใช้กับทำนองลำทางยาวมีลักษณะดังนี้
5.1 ทำนองอยู่ในโมดเสียงไมเนอร์ (minor Mode อ่านว่า ไมเนอร์โมด) ซึ่งสามารถใช้เขตช่วงเสียง (Register อ่านว่า เรจีสเตอร์) ได้ 3 เขตช่วงเสียง ตามเขตช่วงเสียงของหมอลำแต่ละคน และเรียกแต่ละเขตช่วงเสียงว่า “ลาย” (Line) ต่างกันดังนี้
5.1.1 ลายใหญ่ เขตช่วงเสียงหนึ่งๆประกอบด้วยเสียง “ลา โด เร มี โซ ลา ” (A C D E G A)
5.1.2 ลายน้อยเขตช่วงเสียงหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยเสียง “เร ฟา โซ ลา โด เร ” (D F G A C D) ซึ่งจะมีเขตช่วงเสียงสูงกว่าลายใหญ่อยู่ 4 ขั้นเสียง
5.1.3 ลายเซเขตช่วงเสียงหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยเสียง “มี โซ ลา ที เร มี” ( E G A B D E ) ซึ่งจะมีเขตช่วงเสียงสูงกว่าลายน้อย 1 ขั้นเสียง
3. สังคีตลักษณ์กลอนลำเต้ย
จากการศึกษาสังคีตลักษณ์ของลำเต้ยสามารถแบ่งทำนองลำเต้ยออกเป็น 3 ทำนองคือ ลำเต้ยธรรมดา ลำเต้ยพม่า ลำเต้ยโขง ดังนี้
3.1 สังคีตลักษณ์กลอนลำเต้ยธรรมดา
แบบรูปจังหวะมีลักษณะดังนี้
1) เป็นจังหวะแบบตกคงที่ ในกลุ่มอัตราจังหวะ 4ที่ห้องมีจำนวน4 จังหวะนับ จังหวะนับแรกเป็นจังหวะหนัก
2) แบบรูปจังหวะหรือลักษณะจังหวะ หน้าทับหนึ่ง ๆ มี 7 พยางค์ เรียงลำดับพยางค์ดังนี้ “และสาม และสี่ และห้า” และบันทึกเป็นตัวโน้ตสากลได้ดังนี้
3) หน่วยย่อยเอกของทำนอง ประกอบด้วย 3 พยางค์ คือ “และหนึ่ง และ” และบางแห่งอาจจะแปรทางเป็น “และหนึ่ง และและ” และอาจจะเติมโน้ตประดับประดาเป็นรูปโน้ตพิงและโน้ตอิง คือแตกย่อยตัวโน้ตให้เป็นตัวย่อยเล็กเพิ่มขึ้นตามจำนวนคำเสริมที่นำเข้ามาแทรกหน้าพยางค์ต่าง ๆของโมทีฟก็ได้
4. วลีหนึ่ง ของทำนองลำเต้ยธรรมดา มีความยาว 1 ห้อง ประกอบด้วย 2 โมทีฟ ประโยคหนึ่งของกลอนลำเต้ยธรรมดาประกอบด้วย 2 วลี ที่มีลักษณะจังหวะเหมือนกันและลงจุดพักเพลง ที่คอร์ด III-V (มี-ซอล) ท่อนหนึ่งหรือประโยคใหญ่หนึ่งๆ ประกอบด้วยหลายประโยคขั้นอยู่กับเนื้อหาที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อจนจบใจความที่ต้องการ แต่จบต้องลง เคเดินซ์ ที่ V-I (ซอล-ลา)
5) ระบบเสียงดนตรีที่ใช้กับทำนองลำเต้ยธรรมดามีลักษณะดังนี้
5.1 ทำนองอยู่ในโมดเสียงไม ซึ่งนิยมใช้เขตช่วงเสียงอยู่ 2 เขต คือ 1 เขตลายใหญ่และเขตลายน้อย เขตลายใหญ่ 1 ช่วงทบประกอบด้วยเสียงลาย (ลา โด เร มี โซ ลา) (A C DEGA)และลายน้อย 1 ช่วงทบประกอบด้วยเสียง (เร ฟา โซ ลาโด เร) (D F G A CD) โดยสร้างทำนองที่เป็นทำนองเฉพาะของลำเต้ยธรรมดา ไม่ซ้ำซ้อนกับทำนองอื่น เหมือนเป็นเพลงบทหนึ่งนั่นเอง
3.2 สังคีตลักษณ์กลอนลำเต้ยพม่า
แบบรูปจังหวะมีลักษณะดังนี้
1) เป็นจังหวะแบบตก ในกลุ่มอัตราจังหวะ 4 ที่ห้องมีจำนวน4 จังหวะนับ จังหวะนับแรกเป็นจังหวะหนัก
2) แบบรูปจังหวะหรือลักษณะจังหวะ หน้าทับหนึ่ง ๆ มี 14 พยางค์ เรียงลำดับพยางค์ดังนี้ “สองและ สามและ สี่และ ห้าและ หกและ เจ็ดและ แปด”
3. หน่วยย่อยเอกของทำนอง ประกอบด้วย 2 พยางค์ คือ “หนึ่งและ” และบางแห่งอาจจะแปรทางเป็น “และหนึ่ง และ” และอาจจะเติมโน้ตประดับประดาเป็นรูปโน้ตพิงและโน้ตอิง คือแตกย่อยตัวโน้ตให้เป็นตัวย่อยเล็กเพิ่มขึ้นตามจำนวนคำเสริมที่นำเข้ามาแทรกหน้าพยางค์ ต่าง ๆ ของโมทีฟก็ได้
4. วลีหนึ่ง ของทำนองลำเต้ยพม่า มีความยาว 2 ห้อง ประกอบด้วย 7 โมทีฟ ประโยคหนึ่ง ของกลอนลำเต้ยพม่าประกอบด้วย 2 วลี ที่มีลักษณะจังหวะเหมือนกันและลงจุดพักเพลง ที่คอร์ด IV-III (เร-โด) ท่อนหนึ่งหรือประโยคใหญ่หนึ่งๆ ประกอบด้วยหลายประโยคขั้นอยู่กับเนื้อหาที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อจนจบใจความที่ต้องการ แต่จบต้องลง เคเดินซ์ ที่ V-I (ซอล-ลา
5) ระบบเสียงดนตรีที่ใช้กับทำนองลำเต้ยพม่ามีลักษณะดังนี้
5.1 ทำนองอยู่ในโมดเสียงไมเนอร์ ซึ่งนิยมใช้เขตช่วงเสียงอยู่ 2 เขต คือ 1 เขตลายใหญ่และเขตลายน้อย เขตลายใหญ่ 1 ช่วงทบประกอบด้วยเสียงลาย (ลา โด เร มี โซ ลา) (A C DEGA)และลายน้อย 1 ช่วงทบประกอบด้วยเสียง (เร ฟา โซ ลาโด เร) (D F G A CD) โดยสร้างทำนองที่เป็นทำนองเฉพาะของลำเต้ยธรรมดา ไม่ซ้ำซ้อนกับทำนองอื่น เหมือนเป็นเพลงบทหนึ่งนั่นเอง
3.3 สังคีตลักษณ์กลอนลำเต้ยโขง
แบบรูปจังหวะมีลักษณะดังนี้
1) เป็นจังหวะแบบตกคงที่ ในกลุ่มอัตราจังหวะ 4 ที่ห้องมีจำนวน4 จังหวะนับ จังหวะนับแรกเป็นจังหวะหนัก
2) แบบรูปจังหวะหรือลักษณะจังหวะ หน้าทับหนึ่ง ๆ มี 11 พยางค์ เรียงลำดับพยางค์ดังนี้ “สามและ สี่และ ห้า หกและ เจ็ดและ แปดและ เก้า (ยาวสองนับ)”
3) หน่วยย่อยเอกของทำนอง ประกอบด้วย 3 พยางค์ คือ “หนึ่งสองและ” และบางแห่งอาจจะแปรทางเป็น “หนึ่งและ สองและและ” และอาจจะเติมโน้ตประดับประดาเป็นรูปโน้ตพิงและโน้ตอิงคือแตกย่อยตัวโน้ตให้เป็นตัวย่อยเล็กเพิ่มขึ้นตามจำนวนคำเสริมที่นำเข้ามาแทรกหน้าพยางค์ต่าง ๆของโมทีฟก็ได้
4) วลีหนึ่ง ของทำนองลำเต้ยโขง มีความยาว 2 ห้อง ประกอบด้วย 3โมทีฟ ประโยคหนึ่ง ของกลอนลำ เต้ยโขงประกอบด้วย 2 วลี ที่มีลักษณะจังหวะเหมือนกันและลงจุดพักเพลง ที่คอร์ด III-I (โด-ลา) ท่อนหนึ่งหรือประโยคใหญ่หนึ่งๆ ประกอบด้วยหลายประโยคขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อจนจบใจความที่ต้องการ แต่จบต้องลง เคเดินซ์ ที่ V-I (ซอล-ลา)
5) ระบบเสียงดนตรีที่ใช้กับทำนองลำเต้ยโขงมีลักษณะดังนี้
5.1 ทำนองอยู่ในโมดเสียงไมเนอร์ ซึ่งนิยมใช้เขตช่วงเสียงอยู่ 2 เขต คือ 1 เขตลายใหญ่และเขตลายน้อย เขตลายใหญ่ 1 ช่วงทบประกอบด้วยเสียงลาย (ลา โด เร มี โซ ลา) (A C DEGA)และลายน้อย 1 ช่วงทบประกอบด้วยเสียง (เร ฟา โซ ลาโด เร) (D F G A CD) โดยสร้างทำนองที่เป็นทำนองเฉพาะของลำเต้ยธรรมดา ไม่ซ้ำซ้อนกับทำนองอื่น เหมือนเป็นเพลงบทหนึ่งนั่นเอง
5.2 ทำนองการขับลำของหมอลำอิงอยู่กับทำนองลายลำเต้ยที่แต่ละทำนองต่างก็เป็นเอกเทศแต่สามารถเติมส่วนประดับประดาและเทคนิควิธีลำของหมอลำแต่ละคนได้ เมื่อได้ยินเสียงขับลำและเสียงลายแคนประกอบกันจะรู้สึกถึงความกลมกลืนและความขัดแย้งในที่ต่าง ๆ เรียกว่า ทำให้เกิดเนื้อดนตรี แบบ เฮเทโรโฟนิก ซึ่งหมายถึง ใช้ทำนองเดียวกันทั้งหมอลำและหมอแคนแต่ๆ ละฝ่ายสามารถแปรทำนองและลักษณะจังหวะได้ในที่บางตอน
4. อัตลักษณ์ของกลอนลำทำนองขอนแก่น
เนื้อหากลอนลำที่นำมาวิเคราะห์ได้แยกเป็นประเภทดังนี้
1) เนื้อหาของกลอนลำทางสั้น ประกอบไปด้วยกลอนลำประวัติศาสตร์ กลอนลำผญา กลอนลำโจทย์แก้ กลอนลำพื้น กลอนลำสินไซ และกลอนเซิ้ง เป็นต้น
2) เนื้อหาของกลอนลำประวัติศาสตร์ กลอนลำอัศจรรย์ กลอนลำผีฟ้า และกลอนลำเพอะ เป็นต้น
3) เนื้อหาของกลอนลำเต้ย ประกอบด้วย กลอนลำเกี้ยวสาว และกลอนลำรณรงค์ เป็นต้น
สรุปผล
ในด้านชีวประวัติของครูผู้ประพันธ์กลอนลำและครูหมอลำกลอน มีชีวิตคล้ายกันคือครอบครัวมีฐานนะยากจน และมุ่งมานะเรียนรู้การขับลำและการประพันธ์กลอนลำจนประสบผลสำเร็จในชีวิต และมีการเผยแพร่ผลงานโดย จัดทำซีดีเผยแพร่ประกอบกับการได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรตามหน่วยงานของรัฐ และเอกชนต่าง ๆ จนมีลูกศิษย์มากมายนับไม่ถ้วน เห็นได้ว่าครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอนมีความสนใจใฝ่เรียนรู้การประพันธ์กลอนลำที่เหมือนกัน
ในด้านฉันทลักษณ์ของกลอนลำส่วนใหญ่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนโดย กลอนลำทางสั้นจะมีจำนวนคำในประโยคระหว่าง 7-14 คำ จำนวนสัมผัสจะอยู่ระหว่างคำที่ 3หรือ4หรือ5 และไม่จำกัดจำนวนบท ส่วนกลอนลำทางยาวจะมีจำนวนคำในประโยคระหว่าง 12-24 คำ จำนวนสัมผัสจะอยู่ระหว่างคำที่ 3หรือ4หรือ5หรือ6 และไม่จำกัดจำนวนบท และกลอนลำเต้ยจะมีจำนวนคำระหว่าง12-24 คำจำนวนสัมผัสจะอยู่ระหว่างคำที่ 3หรือ4หรือ5หรือ6 และไม่จำกัดจำนวนบท
ในด้านทำนองลำพบว่า ในการลำในแต่ละทำนองกลอนลำจะมีความแตกต่างกัน คือ ทำนองลำทางสั้นมีลักษณะทำนองอยู่ในโมดเสียง เมเจอร์ ทำนองลำทางยาวมีลักษณะทำนองอยู่ในโมดเสียงไมเนอร์ ทำนองลำเต้ยมีลักษณะทำนองอยู่ในโมดเสียงไมเนอร์
ในด้านอัตลักษณ์ของกลอนลำทำนองขอนแก่น พบว่า เนื้อหากลอนลำทางสั้น ประกอบไปด้วยกลอนลำประวัติศาสตร์ กลอนลำผญา กลอนลำโจทย์แก้ กลอนลำพื้น กลอนลำสินไซ และกลอนเซิ้ง เป็นต้น เนื้อหาของกลอนลำทางสั้น ประกอบด้วย กลอนลำประวัติศาสตร์ กลอนลำอัศจรรย์ กลอนลำผีฟ้า และกลอนลำเพอะ เป็นต้น และเนื้อหาของกลอนลำเต้ย ประกอบด้วย กลอนลำเกี้ยวสาว และกลอนลำรณรงค์ เป็นต้น เนื้อหากลอนลำเหล่านี้จะมีสังคีตลักษณ์ ลำแต่ละทำนองมีทำนองที่ตัดขาดจากกันได้อย่างชัดเจนไม่สับสนปนเปรอกัน ผู้ฟังสามารถจำแนกประเภทของทำนองลำได้ทันทีที่ได้ยิน และมีฉันทลักษณ์ การประพันธ์บทร้องใช้จำนวนคำ และแต่ละจังหวะตรงกับจำนวนพยางค์ ที่กำหนดในทำนองย่อยเอกประโยค เนื้อหากลอนลำทางสั้นมีการใช้รสของหัสสะไนยะวาที เนื้อหากลอนลำทางยาวมีการใช้เลือกใช้รสของเสาวรจนี และเนื้อหากลอนลำเต้ย มีการใช้รสของ หัสสะไนยะวาที และนารีปราโมทย์
อภิปรายผล
การศึกษาอัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น ประการแรกต้องทำการศึกษาวิจัยภาพรวมของครูหมอลำกลอนแต่ละกลุ่มก่อนที่จะมาเป็นลำกลอนทำนองขอนแก่น ว่าครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน ทั้งสองกลุ่มนั้นมีความสามารถในการประพันธ์กลอนลำซึ่งถือว่าเป็นอัตลักษณ์ของบุคคลได้อย่างไร ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
ครูผู้ประพันธ์กลอนลำมีชีวิตคล้ายกันกับครูหมอลำกลอนคือครอบครัวมีฐานนะยากจนแต่มีความแตกต่างกันตรงที่ ครูผู้ประพันธ์กลอนลำมีความสนใจในด้านหมอลำและตั้งใจเพียรศึกษา ดนตรี ฝึกการขับลำ และการประพันธ์กลอนลำจนเกิดความชำนาญ และมีโอกาสได้เรียนต่อจนได้รับอาชีพราชการ แต่ครูหมอลำกลอนนั้นมีภูมิหลังที่ยากจนประกอบกับครอบครัวเป็นหมอลำทำให้ต้องเดินรอยตามครอบครัวจึงได้ฝึกฝนเรียนรู้เป็นหมอลำจนกระทั่งเกิดความชำนาญจากประสบการแสดงหมอลำมากมายจนทำให้สามารถด้นสดขณะลำ และประพันธ์สามารถประพันธ์กลอนลำได้เอง ด้วยความยากจนไม่มีทุนเรียนต่อจึงได้ยึดอาชีพหมอลำมาจนถึงปัจจุบัน
จากการที่ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอนมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า บริบทของครอบครัวของครูทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่สำคัญอยู่ที่การเรียนรู้ของบุคคลนั้น ๆ จะเห็นได้ว่า ครูทั้งสองกลุ่มสามารถประพันธ์กลอนลำจนเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมถือว่าได้ประสบผลสำเร็จแล้ว และครูผู้ประพันธ์กลอนลำได้มีโอกาสเรียนต่อจนได้รับราชการ แต่ครูหมอลำกลอนมีโอกาสทางการศึกษาน้อยจึงยึดอาชีพหมอลำมาจนถึงปัจจุบัน แต่อย่าไรก็ตามการเรียนหมอลำนั้นใครก็สามารถเรียนได้ขึ้นอยู่กับความพยายามความ เอาใจใส ความฉลาดของแต่ละบุคคลด้วย
ในด้านการเรียนรู้ พบว่าครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน ไม่ได้มีความแตกต่างกันในด้านการเรียนรู้ไปเสียทั้งหมดเพราะครูทั้งสองกลุ่มได้เรียนรู้การเป็นหมอลำจากครูหมอลำต้นฉบับทั้งสิ้น ซึ่งครูหมอลำกลอนต้นฉบับก็มีการถ่ายทอดความรู้ใกล้เคียงกัน คือ ฝากตัวเป็นศิษย์ก่อน หลังจากนั้นผู้เรียนก็จะได้รับกลอนลำจากครูมาหัดท่องจำ เมื่อท่องกลอนลำได้แล้วก็จะทำการลำประกอบแคนเมื่อเกิดความชำนาญแล้วก็สามารถออกแสดงและเผยแพร่ได้ และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการคลุกคลีกับหมอลำมาโดยตลอดจึงได้รับการซึมซับวัฒนธรรมเหล่านี้เต็มร้องเปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ครูทั้งสองกลุ่มได้รับสิ่งที่เรียนรู้จากหมอลำอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประสิทธิผลในความรู้ของหมอลำได้เป็นอย่างดี
จากการที่ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน ได้รับการเรียนรู้หมอลำที่ไม่แตกต่างกันทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า พื้นฐานการรับการถ่ายทอดมีเท่ากัน ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้น ๆว่าจะรับได้มากน้อยเพียงใด แต่ครูทั้งสองกลุ่มนี้ มีความต้องการเรียนรู้เพื่อจะนำวิชาความรู้นี้ไปประกอบหาเลี้ยงชีพจึงต้องเพียรพยายามอย่างมากซึ่งการเรียนรูปแบบนี้เรียกว่า การศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งมีความแตกต่างกับการเรียนในระบบในสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง
ในด้านการเผยแพร่ผลงาน พบว่า ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน สามารถประพันธ์กลอนลำได้เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ เป็นนักวิชาการโดยมีการค้นคว้าวิจัยด้านดนตรีประกอบการขับลำ ทำให้รู้เทคนิควิธีการประพันธ์กลอนลำที่เรียบง่ายตามฉันทลักษณ์ของกลอนลำสามารถนำไปถ่ายทอดให้นักศึกษาได้เรียนรู้ง่ายขึ้น ผลงานการเผยแพร่ของครูผู้ประพันธ์กลอนมักอยู่ในรูปของตำราวิชาการ งานวิจัย และประพันธ์เพื่อเผยแพร่ในระดับโรงเรียนและหน่วยงานของราชการเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการประพันธ์เพื่อใช้ในเชิงพานิชมักไม่ปรากฏหากมีก็น้อยมาก ส่วนครูหมอลำกลอนซึ่งเป็นหมอลำอาชีพ การเผยแพร่นั้นมีหลากหลายช่องทาง ได้แก่ การแสดงด้วยตนเอง การประพันธ์กลอนให้ลูกศิษย์ไปใช้ในการแสดง การประพันธ์กลอนให้กับหน่วยงานราชการ และการบันทึกเทป ซีดี จำหน่วยเป็นต้น แต่ยังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจอยู่ว่าครูผู้ประพันธ์กลอนลำมิได้ทอดทิ้งครูหมอลำกลอนแต่อย่างไร แต่ทั้งสองกลุ่มยังได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยดีมาโดยตลอด เช่น มีบ่อยครั้งที่ครูผู้ประพันธ์กลอนลำได้เชิญครูหมอลำกลอนไปร่วมสัมนาทางวิชาการด้านหมอลำอยู่เสมอ ทำให้ครูหมอลำกลอนได้มีบทบาทมากมายกับสังคมมาโดยตลอด
จากการที่ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน ได้มีการเผยแพร่ผลงานที่แตกต่างทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า สถานะภาพเป็นจุดที่ทำให้บุคคลสองกลุ่มมีความแตกต่างกัน ซึ่งจำเป็นต้องส่งผลกระทบต่องานที่ทำด้วย จะเห็นได้ว่าครูผู้ประพันธ์กลอนลำจะนำเสนอผลงานในรูปแบบเชิงวิชาการแต่ครูหมอลำกลอนจะนำเสนอผลงานในรูปแบบการปฏิบัติแสดงหมอลำกลอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ ซึ่ง
ในด้านการถ่ายทอดผลงาน พบว่า ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน มีการถ่ายทอดผลงานในลักษณะที่คล้ายกันโดยมีรูปแบบการถ่ายทอดที่มีขั้นตอนอย่างเห็นได้ชัดเจน มีสองลักษณะคือ ด้านการประชุมสัมมนา ได้แก่ การนำความรู้ด้านหมอลำไปจัดประชุมสัมมนาให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ หรืออาจอยู่ในเชิงอนุรักษ์ และสืบสาน เป็นต้น และการถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ มีอยู่ 3 กลุ่ม คือ1) กลุ่มลูกศิษย์หมอลำกลอนอาชีพ จะเรียนใกล้ชิดกับครูมากที่สุด 2) กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่อยู่สถานศึกษาในประเทศไทย ถ่ายทอดโดยการสาธิตและบรรยายหมอลำกลอนขั้นพื้นฐานเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าวิจัยต่อไป 3) กลุ่มผู้สนใจทั่วไป (ประชาชน) มีการเผยแพร่ทางสื่อ ทีวี วีซีดี อินเทอร์เน็ต และรับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องหมอลำกลอน
จากการที่ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ และครูหมอลำกลอน ได้มีการถ่ายทอดผลงานที่ไม่แตกต่างกันทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิธีการถ่ายทอดส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หรือในระดับมหาวิทยาลัยก็จะคล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่การเรียนหมอลำในอดีตก็มีส่วนใกล้เคียงกับปัจจุบันมาก เพียงแต่ในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีด้าน วีซีดี ทีวี วิทยุ และอินเทอร์เน็ต เพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้แก่หมอลำและผู้เรียนเท่านั้น แต่การเรียนที่เห็นผลดีที่สุดคือ การเรียนใกล้ชิดครูมากที่สุด ส่วนการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อเพียงให้รู้ว่าหมอลำเป็นอย่างไรเท่านั้น
ในด้านฉันทลักษณ์ของกลอนลำส่วนใหญ่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย กลอนลำทางสั้นจะมีจำนวนคำในประโยคระหว่าง 7-14 คำ จำนวนสัมผัสจะอยู่ระหว่างคำที่ 3หรือ4หรือ5 และไม่จำกัดจำนวนบท ส่วนกลอนลำทางยาวจะมีจำนวนคำในประโยคระหว่าง 12-24 คำ จำนวนสัมผัสจะอยู่ระหว่างคำที่ 3หรือ4หรือ5หรือ6 และไม่จำกัดจำนวนบท และกลอนลำเต้ยจะมีจำนวนคำระหว่าง12-24 คำจำนวนสัมผัสจะอยู่ระหว่างคำที่ 3หรือ4หรือ5หรือ6 และไม่จำกัดจำนวนบท
แต่ในปัจจุบันนี้มีบางกลอนลำที่นำเอาเนื้อหากลอนลำทางยาวไปเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น ทำให้กลายเป็นลำทางสั้นไปเลยก็มี แต่รูปแบบฉันทลักษณ์การประพันธ์ก็ยังเป็นทำนองลำทางยาวอยู่เช่นเดิม ผู้ที่จะขับลำในกลอนเหล่านี้ได้นั้นมักจะเป็นหมอลำอาชีพที่มีมีประสบการณ์สูงเพราะต้องอาศัยการรวบคำอย่างช่ำชอง
ในด้านทำนองลำพบว่า ในการลำในแต่ละทำนองกลอนลำจะมีความแตกต่างกัน คือ ทำนองลำทางสั้นมีลักษณะทำนองอยู่ในโมดเสียง เมเจอร์ ส่วนทำนองการขับลำของหมอลำอิงอยู่กับทำนองลายสุดสะแนน ทำนองลำทางยาวมีลักษณะทำนองอยู่ในโมดเสียงไมเนอร์ ทำนองการขับลำของหมอลำอิงอยู่กับทำนองลายใหญ่ ทำนองลำเต้ยมีลักษณะทำนองอยู่ในโมดเสียงไมเนอร์ ส่วนทำนองการขับลำของหมอลำอิงอยู่กับทำนองลายลำเต้ยที่แต่ละทำนองต่างก็เป็นเอกเทศ แต่สามารถเติมส่วนประดับประดาและเทคนิควิธีลำของหมอลำแต่ละคนได้
ด้านอัตลักษณ์ของกลอนลำทำนองขอนแก่น พบว่า อัตลักษณ์ของกลอนลำทำนองขอนแก่น เนื้อหากลอนลำทางสั้น ประกอบไปด้วยกลอนลำประวัติศาสตร์ กลอนลำผญา กลอนลำโจทย์แก้ กลอนลำพื้น กลอนลำสินไซ และกลอนเซิ้ง เป็นต้น เนื้อหาของกลอนลำทางสั้น ประกอบด้วย กลอนลำประวัติศาสตร์ กลอนลำอัศจรรย์ กลอนลำผีฟ้า และกลอนลำเพอะ เป็นต้น และเนื้อหาของกลอนลำเต้ย ประกอบด้วย กลอนลำเกี้ยวสาว และกลอนลำรณรงค์ เป็นต้น เนื้อหากลอนลำเหล่านี้จะมีสังคีตลักษณ์ ลำแต่ละทำนองมีทำนองที่ตัดขาดจากกันได้อย่างชัดเจนไม่สับสนปนเปรอกัน ผู้ฟังสามารถจำแนกประเภทของทำนองลำได้ทันทีที่ได้ยิน และมีฉันทลักษณ์ การประพันธ์บทร้องใช้จำนวนคำ และแต่ละจังหวะตรงกับจำนวนพยางค์ ที่กำหนดในทำนองย่อยเอกประโยค และท่อนเพลงโดยมีคำประดับประดาจำนวนไม่มาก ทำนองหลักของแต่ละประเภทลำและการใช้คำสัมผัสเป็นไปตามข้อบังคับของฉันทลักษณ์อย่างชัดเจน เนื้อหากลอนลำทางสั้นมีการใช้รสของหัสสะไนยะวาทีมากที่สุดเนื้อหากลอนลำทางยาวมีการใช้เลือกใช้รสของเสาวรจนีมากที่สุด และเนื้อหากลอนลำเต้ย มีการใช้รสของ หัสสะไนยะวาที และนารีปราโมทย์มากที่สุด
ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาวิจัยอัตลักษณ์ของลำกลอนทำนองขอนแก่น มีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1.1 หมอลำกลอนเป็นศิลปะการแสดงที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาไทย ตั้งแต่ปี 2552 แต่กระบวนการนำหมอลำกลอนมาฟื้นฟู และสืบทอดยังมีน้อยมาก ข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ชี้ว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ การเผยแพร่และการสืบทอดหมอลำกลอน ยังมีน้อยมากโดยเฉพาะครูผู้ประพันธ์กลอนลำและครูหมอลำกลอน ซึ่งปัจจุบันนี้เหลือน้อยมาก รัฐบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐควรจะหาแนวทาง และส่งเสริมการประพันธ์กลอนลำในหลักสูตรท้องถิ่นสถานศึกษานี้ให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป
1.2 จากกรณีศึกษาตัวอย่างกลอนลำทั้งสามประเภท ได้แก่ กลอนลำทางสั้น กลอนลำทางยาว และกลอนลำเต้ย ทำให้ทราบว่าในกลอนลำแต่ละประเภทได้มีเนื้อหาที่แตกต่างกัน ซึ่งบางประเภทนั้นได้รับความนิยมน้อยลงมาก อาจเป็นเพราะความเจริญทางเทคโนโลยีก็เป็นได้ เช่น กลอนลำผีฟ้า ซึ่งแทบจะหาดูได้อยาก หน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สำนักวัฒนธรรมประจำจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรได้ทำการบันทึกจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ให้ละเอียดและส่งเสริมการลำผีฟ้าที่ยังหลงเหลืออยู่เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป
2. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1. สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ควรนำผลงานวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์ใน การทำนุบำรุงการศึกษาทางภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้เป็นแนวทางในการจัดทำหลักท้องถิ่น ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาภูมิปัญญาไทย และใช้เป็นเอกสารประกอบการสัมนาและอบรม
2. ผู้ที่สนใจในการประพันธ์กลอนลำหรือผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องควรศึกษาฉันทลักษณ์ของกลอนลำให้ละเอียดเพราะกลอนลำแต่ละประเภทมีลักษณะทำนองที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัด และมีเนื้อหาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเภทของกลอนลำ ซึ่งสมารถศึกษาได้ในตำราการประพันธ์กลอนลำที่ได้จากวิจัยนี้
3. การประพันธ์กลอนลำอาจจะไม่ใช่รู้เพียงแต่การประพันธ์กลอนลำให้ถูกต้องตามหลักการเท่านั้น ผู้ประพันธ์ควรรู้จักการเลือกรสการประพันธ์ให้เหมาะสมด้วยเพื่อให้เกิดสุนทรียะในการรับฟัง และเกิดสุนทรียภาพสำหรับผู้ประพันธ์ ทำให้บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของครูผู้ประพันธ์คนนั้น ๆได้อย่างชัดเจน ซึ่งสมารถศึกษาได้ในตำราการประพันธ์กลอนลำที่ได้จากวิจัยนี้
3. ข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป
3.1 ควรมีการศึกษาวิจัยเรื่อง อัตลักษณ์ของหมอลำกลอน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3.2 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบอัตลักษณ์ของหมอลำกลอน และหมอลำประเภทอื่นๆ เพื่อหาความแตกต่างและนำมาถอดบทเรียน
3.3 ควรศึกษาวิจัย อัตลักษณ์ของหมอลำกลอนในประเทศไทยและประเทศลาว เพื่อทราบความแตกต่างของสังคีตลักษณ์ และอัตลักษณ์ของหมอลำกลอน
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณรายได้มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2555 ผู้วิจัยขอขอบคุณ สำนักวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ขอขอบพระคุณ รศ.สำเร็จ คำโมง ที่แนะนำวิธีวิทยาตลอดจนประสิทธ์สาทวิชาความรู้ด้านการประพันธ์กลอนลำ และดนตรี ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ยาใจ บริบูรณ์ รองศาตราจารย์ วิไลวัจส์ กฤษณะภูติ และรองศาสตราจารย์ประจิตร มหาหิง ที่ให้คำแนะนำด้านระเบียบวิธีการวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษาด้วยดีตลอดมา ขอขอบพระคุณดร.ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร พ่อครูเคน ดาเหลาศิลปิน แห่งชาติ พ่อทองเจริญ ดาเหลา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เจริญชัย ชนไพโรจน์ และอาจารย์ประมวล พิมพ์เสน ที่ให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน และสนับสนุนโครงการวิจัยด้วยดีตลอดมา
อ้างอิง
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, กระทรวงวัฒนธรรม. (2554). สืบสานฮีตฮอยหมอลำเฉลิมพระเกียรติฯ 84 พรรษา . ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์.
บุญจันทร์ จอมศรีประเสริฐ, (2554, กรกฎาคม.) เคน ดาเหลา. สัมภาษณ์. หลักของการแต่งกลอนลำและการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย (หมอลำกลอน), กล้องวีดีโอของผู้สัมภาษณ์ [2554, กรกฎาคม 18.]
ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร. (2544). สุนทรียภาพในกลอนลำของหมอลำกลอน: องค์ประกอบและปัจจัยเกื้อหนุนในการสร้างสรรค์. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สุจรรยา โชติช่วง. (2555). การศึกษาสภาพการพัฒนาอัตลักาณ์และเอกลักษณ์ของสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณุโลก เขต 1. สารนิพนธ์ กศ.ม. พิษณุโลก : มหาวิทยาลัยนเรศวร.
สุรพงษ์ ลือทองจักร, ผศ. (2552). หลักมานุษยวิทยาและหลักสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. อุดรธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี.
เสงี่ยม บึงไสย์. (2533, เมษายน.) พิมพ์ รัตนคุณศาสตร์. สัมภาษณ์. การเป็นนักแต่งกลอนลำ, 26-27[2533, เมษายน 25.].
Comments