top of page

หมอลำพื้น: ต้นเค้าของหมอลำกลอนอีสาน

อัปเดตเมื่อ 23 ม.ค. 2565

บทความโดยบุญจันทร์ เพชรเมืองเลย
พื้น บางทีเรียกว่า “ลำเรื่อง” คำว่า “พื้น”หรือ “เรื่อง” มีหมายความว่าเป็น “นิทาน” หรือ “เรื่องราว” ดังนั้น ลำพื้น จึงมีความหมายว่า การบอกเรื่องราว หรือการเล่าเรื่อง
ความเป็นมาหมอลำพื้น

ลำโบราณ เป็นการเล่านิทานของผู้เฒ่าผู้แก่ให้ลูกหลานฟัง ไม่มีท่าทาง และดนตรี ประกอบ หมอลำพื้น เป็นหมอลำที่เก่าแก่ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า หมอลำพื้นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่บางคนบอกว่า หมอลำพื้นเกิดมีในภาคอีสานตั้งแต่สมัยคนอีสานแรกรับเอาพุทธศาสนาเข้ามา ดังนั้นเรื่องทั้งหมดที่หมอลำนำมาใช้ลำจะเป็นเรื่องชาดกต่างๆ

ลำพื้น บางทีเรียกว่า “ลำเรื่อง” คำว่า “พื้น”หรือ “เรื่อง” มีหมายความว่าเป็น “นิทาน” หรือ “เรื่องราว” ดังนั้น ลำพื้น จึงมีความหมายว่า การบอกเรื่องราว หรือการเล่าเรื่อง

ในสมัยก่อนลำพื้นหรือลำโบราณนี้เป็นที่นิยมมาก ทุกๆหมู่บ้านมักจะว่าจ้างหมอลำพื้นมาลำในงานเทศกาลต่างๆ หมอลำพื้นจะใส่เสื้อและกางเกงขายาวสีขาว และลำเรื่องชาดก เวทีลำจะใช้บนพื้นดินปูด้วยสาดหวาย หรือเป็นเวทียกพื้นขึ้นเล็กๆ ซึ่งล้อมรอบด้วยผู้ฟัง จะลำตั้งแต่เวลาสองทุ่มไปจนถึงหกโมงเช้า

หมอลํา

ระยะแรกน่าจะยังไม่มีการจําแนกว่าเป็นหมอลําประเภทใด ต่อมาภายหลังเมื่อมีหมอลําเพิ่มมากขึ้น และบางคนพยายามหาเอกลักษณ์ของตน เป็นต้นว่า หากลอนลําและทํานองอื่น ๆ มาสอดแทรกในระหว่างแสดงเพื่อสร้างจุดสนใจ ชาวบ้านจึงเรียกหมอลำที่พัฒนามาจากการอ่านหนังสือผูกว่า “หมอลําพื้น” เพื่อให้แตกต่างจากหมอลําประเภทอื่น ที่เรียกเช่นนี้ เนื่องจากหมอลําพื้นเกิดจากประเพณีการ อ่านหนังสือ และหนังสือที่นํามาอ่านนั้น มักเรียกว่า “พื้น” หรือขึ้นต้นว่า “บัดนี้ จักได้เล่าพากพื้นกาลก่อนปางปฐม ก่อนแล้ว ตั้งหากเป็นนิทานแต่กาลปฐมเค้า” และ “พื้น” คํานี้ หมายถึง ตํานาน นิทาน หรือประวัติ ความเป็นมา

ดังนั้น หมอลําพื้นจึงมักลําขึ้นต้นว่า “บัดนี้จักกล่าวเบื้องตามเรื่องนิทาน” และ “แต่นั้น....จักกล่าวเบื้องตามเรื่องนิทาน” เป็นต้น ซึ่งแสดงให้ เห็นอย่างชัดเจนว่า หมอลําพื้นพัฒนามาจากการอ่านหนังสือผูก

ระยะแรกหมอลําพื้นส่วนใหญ่ยังคงจํากัดอยู่เฉพาะกลุ่มผู้ชาย เนื่องจากเป็นผู้ชํานาญ ในการอ่านหนังสือผูกมาก่อน อีกทั้งอ่านหนังสือผูกก็เลียนแบบมาจากการเทศน์ชาดกของพระสงฆ์ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างหมอลําพื้น ในฐานะเป็นผู้ผ่านการบวชเรียนมาจากวัดกับพระสงฆ์ในฐานะผู้ถ่ายทอดความรู้แก่หมอลําจึงยังคงเกี่ยวข้องกันอย่างเหนียวแน่นต่อมาภายหลังผู้หญิงจึงได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกฝนด้านการสวดหรืออ่านเช่นเดียว กับผู้ชาย ดังกรณีพระสงฆ์นํากระทู้ธรรมมาแต่งขยายความและนํานิทานพื้นบ้านที่มีคติธรรม และมีเรื่องราวประทับใจมาผูกเป็นบทสวด สําหรับให้กลุ่มผู้หญิง ประมาณ 5 คนขึ้นไป สวด หรือร้อง เรียกว่า “สารภัญญ์” เป็นต้น แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้หญิงมีความชํานาญเช่นเดียวกับผู้ชาย เนื่องจากไม่ได้ผ่านการ บวชเรียนจากวัดและสัมผัสกับหนังสือคัมภีร์ใบลานโดยตรง แต่การสวดหรือร้องสารภัญญ์ โดย ได้รับการฝึกฝนจากพระสงฆ์ ก็มีส่วนทําให้กลุ่มผู้หญิงซึมซับเอาความไพเราะของบทสวดได้ มากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกหัดเป็นหมอลําในระยะต่อมา เพราะภายหลังพบว่า มีหมอลําพื้นที่เป็นผู้หญิงด้วย

ลักษณะทั่วไปของหมอลําพื้น เจริญชัย ชนไพโรจน์ อธิบายไว้ว่า หมอลํามักใส่เสื้อและกางเกงขายาวสีขาว เรื่องที่ลำส่วนใหญ่เป็นเรื่องชาดก ลําตั้งแต่เวลาสอง ทุ่มจนถึงหกโมงเช้า เนื่องจากเรื่องที่นํามาลำมีเนื้อเรื่องยาวมาก เช่น ท้าวกาละเกด ท้าวสีทน นางแตงอ่อน นางสิบสอง และท้าวหมาหยุย เป็นต้น หมอลําพื้นลําคนเดียว โดยสวมบทบาทเป็นทั้งพระเอก นางเอก ตัวโกง ตัวตลก และตัวประกอบอื่น ๆ อุปกรณ์สําคัญที่ใช้ช่วย เปลี่ยนบทบาทของหมอลําคือ ผ้าขาวม้าหรือผ้าสะไบ นอกจากนี้ยังใช้ผ้าขาวม้าสมมติเป็นม้า เป็นเรือ เป็นช้าง เป็นอาวุธ หรือเครื่องมือเครื่องใช้อื่น ๆ การแสดงลําพื้นมักแสดงบนพื้นเสมอ กับผู้ชมผู้ฟัง ซึ่งนั่งล้อมวงรอบ ๆ บริเวณที่จะใช้เป็นเวที อาจมีเสาไม้ผูกตะเกียงหรือขี้ไต้หรือ หลอดไฟให้แสงสว่างอยู่ที่มุมหนึ่ง

ทํานองลําพื้น

แต่เดิมเรียกว่า “โอหนังสือ” หรือ “อ่านหนังสือ” เพราะทํานอง ดังกล่าว คล้ายคลึงกับทํานองเทศน์สของพระ แต่ปัจจุบัน พัฒนาเป็นทํานองที่เรียกตามความนิยม เช่น ลําทางยาว ลํายาว ลําล่องโขง และลําล่อง เป็นต้น (ลายแคนที่เป่าคลอประสานไปกับลําพื้นใช้ “ลายใหญ่” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลายอ่านหนังสือใหญ่” ในช่วงการสําจังหวะช้า ส่วน จังหวะเร็วในช่วงที่เรียกว่า “เดินกลอน” หรือ “เดินเรื่อง” หมอแคนจะใช้ “ลายโป้ซ้าย

กล่าวโดยสรุป สิ่งที่หมอลําพื้นพัฒนามาจากการอ่านหนังสือก็ คือ เน้นแสดงลีลาการ เล่าเรื่อง ทั้งโดยน้ำเสียงและท่าทางประกอบ นอกจากนี้เครื่องดนตรี คือ แคน ก็มีความชัดเจน ขึ้นในฐานะเป็นองค์ประกอบสําคัญของหมอลํา ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง


ตัวอย่างกลอนลําพื้น

(ลํา) บัดนี้ ฟังเพิ่งเรื่องกะตามเรื่องนิทาน ตามครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนมาลําเรื่อง ฝูงคนเฒ่าอย่าเหงานอนให้เจ้าชื่น ตื่นขึ้นตาม่องก่องสองเบื้องอย่าท่านอน ฟังเพิ่ง เรื่องกะตามเรื่องชาดก ยกมาเป็นนิทาน อ่านมาแต่ปางเค้า

(พูด) บัดนี้ เรื่องชาดกที่มาลําให้พี่น้องพี่ป้าน้าอาฟัง เกี่ยวกับเวสสันดรชาดก ของเฮา เวสสันดรชาดกมี 18 พระคาถา 13 กัณฑ์ ทศพร หิมพานต์ ทานขันธ์

วรรณะ พระเวส ชูชก จุลพน กุมารขั้นต้น กุมารบั้นปลาย ตลอดไปฮอดสักกะติ สักกะบัน บั้นเชิญ บัดนี้สิขอหยิบยกเอาตั้งแต่ตอนชูชก

(ลํา) ซูชกนั้น แต่ว่าเกิดอยู่บ้านนามว่าทุนนะวิก ติดกับเมืองกะลิงค์ สิเที่ยงจริง ให้จําไว้ บิดานั้นจันทีเป็นชื่อ โตละกาซื้อไว้สินามเค้าพ่อมัน ตาชูชกทั้งผู้ฮ้ายว่านั้น ปมีผู้ใดเร็ง จักมีแฮงหิตตอตะตุ่มเต็มตามโค้ง ทั้งเหม็นกุยปานแย้ง เหม็นแฮงแม่น ขี้เต่า คางกับเคราจนหยาบแม่า เป็นปุ่มสําบักตูม ดากกะซุ้มขี่คอล่องขนหลาย เดิน กายไปเหนือลุ่มเหมันชั่วสามหัวห้อง หัวกะหยองขาโป๊ ตาโปโป๊กั่ว สุดซาติเบิดขี้ ริ้วมาโฮมนั้นผู้เดียว หัวมะหลุดปูดเบี้ยว จึงเอ็นว่าชูชก ตกลงเป็นคนจน พ่อแม่ตาย หมดแล้ว

(ทองมาก จันทะลือ, ม.ป.ป. วัสดุบันทึกเสียง)

กลอนลำพื้น

(เกริ่น) ข้าพระพุทธเจ้า ชาวอีสานทุก ๆ ท่าน มือสิบนิ้ว ผู้ข้ายกใส่เกล้า เหนือเกศเกศา ขอขมาวันทา ใส่เศียรมาเวียนน้อม ขอให้จอมธรรมเจ้าเหนือหัวเกล้ากระหม่อม พระราชินีแม่เจ้า ลือเท่าทั่วแดน ทุกเขตแคว้น แดนถิ่นชาวอีสาน ขอกราบกรานอวยพร กษัตรีย์ ของชาวไทยให้อยู่เย็นสบายเนื้อ …ฯ


คำศัพท์ : คั่น = ถ้า-, อาโป๋ (อาโป) = น้ำ, พระเสโท = เหงื่อ, น้ำพระทัย = น้ำใจ, ภูมินทร์ = พระภูมิเจ้าที่ ฑีฆายุ=อายุยืน, โหตุ = จงมี, นที [นะ-ที] = น้ำ, แม่นที = แม่น้ำ

หมอลำพื้นในจังหวัดขอนแก่น

บ้านสาวะถี ตำบลสาวะถี เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีเศษ โดยมีราษฎรอพยพมาจากบ้านทุ่ม มาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณ "โนนเมือง" ซึ่งเป็นที่สูงติดกับหนองน้ำ ต่อมาได้มีการตั้งวัดขึ้น หลังจากนั้นชาวบ้านได้มีการขุดสระน้ำรอบ ๆ วัดเป็นจำนวนมากโดยได้ขุดสระที่ติดต่อกัน จึงเรียกติดปากว่า สระวัดถี่ ต่อมาได้แปลงชื่อเป็นสาวะถี ซึ่งเป็นชื่อบ้านและชื่อตำบลมาจนถึงปัจจุบันยกฐานะเป็น อบต. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 เป็น อบต. ขึ้น 3 ปกครอง 20 หมู่บ้าน

บ้านสาวะถีเป็นหมู่บ้านที่มีวัฒนธรรมด้านศิลปะกรรมอันเก่าแก่ คือ วัดไชยศรี มีคำนิยามว่า “วัดศรีพุทธศาสตร์ ธรรมชาติรื่นรมย์ ชื่นชมสิมเก่า จิตรกรรมฝาผนัง” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2408 ด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน ส่วนสิมวัดไชยศรีสันนิษฐานว่าเริ่มสร้างประมาณปี พ.ศ. 2443 ต่อมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ. 2460 ผู้นำศรัทธาในการสร้าง คือ หลวงปู่อ่อนสา เป็นการร่วมกันสร้างของพระสงฆ์ สามเณรและชาวบ้าน ฮูปแต้มหรือภาพจิตรกรรมฝาผนังสิมนั้นมีทั้งผนังด้านนอกและด้านใน เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องสินไซ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมของคนในท้องถิ่นในสมัยสร้างสิม นอกจากวัดไชยศรีแล้ววัฒนธรรมด้านอื่น ๆที่บ้านสาวะถีมีความเข้มแข็งอีกได้แก่ โนนเมือง ศาลปู่ตา ฐานพิพิธภันฑ์ เหล่าปู่ตา เหล่าพระเจ้า ศาลปู่ตา ซึ่งสถานที่เหล่านี้สามารถบรรยายความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชุมชนสาวะถีได้เป็นอย่างนี้

ศิลปะและวัฒนธรรมอันโดดเด่นของบ้านสาวะถีอีกอย่าง คือ หมอลำ ซึ่งบ้านสาวะถีนั้นเคยมีประวัติเกี่ยวกับกบฏผู้มีบุญเกิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2483 ที่บ้านสาวะถี จังหวัดขอนแก่น ในขณะนั้นหมอลำโสภา พลตรี เป็นหมอลำที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันมาก เป็นที่รักใคร่และชื่นชมของประชาชน ในบริเวณนั้น เป็นอย่างสูง หมอลำโสภา พลตรี ได้ใช้ความสามารถในการลำสอดแทรกความไม่เป็นธรรมของรัฐชาติสยาม(ซึ่งเปลี่ยน ชื่อเป็นไทย ในปีเดียวกันนี้) ลงไปในกลอนลำด้วย จนทางราชการ(รัฐ)เห็นว่าการกระทำของหมอลำโสภา พลตรี นั้นเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของรัฐ จึงได้จับหมอลำโสภา พลตรี และลูกศิษย์ไปขัง ศาลได้ตัดสินให้จำคุกหมอลำโสภา พลตรี และแกนนำตลอดชีวิต แต่ลดโทษให้เหลือจำคุก 16 ปี ต่อมาหมอลำโสภา พลตรี ได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนา เป็นการปิดฉากชีวิตหมอลำนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ของประวัติศาสตร์ ชาวสาวะถี ลงตั้งแต่ครั้งนั้น ซึ่งหมอลำโสภา พลตรี เป็นหมอลำพื้นที่มีปฏิพาณไหวพริบในขณะลำดีมาก

หมอลำพื้น ยุคแรกในจังหวัดขอนแก่นเริ่มจาก แม่แสงแซ่ง แม่ประสงค์ แม่ปั่น พ่ออินตา - แมสม

แม่สุนี - แม่เทียม

ประวัติความเป็นมาของหมอลำพื้น ช่วงรุ่งเรือง พ่ออินตา บุดทา อยู่บ้านเหล่านาดี ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นลูกศิษย์ของพ่อคำนั้น พ่ออินตานั้น ได้รับการยอมรับจากชาวขอนแก่นเป็นจำนวนมาก ว่าเป็นหมอลำที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงมากทั้งในกลุ่มของศิลปินหมอลำเองและกลุ่มคนดูคนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนก็ตาม คนที่เรียนรู้ได้เร็ว จดจำง่าย แสดงได้เหมือนจริง และมีปฏิภาณไหวพริบดี ต่อมาพ่ออินตา จึงเป็นต้นแบบจากพ่อคำมาโดยตลอด จากความสามารถของพ่ออินตานั้น และได้เปลี่ยนทำนองลำให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งมีความไพเราะยิ่งขึ้นอีกบวกกับความสามารถในการแสดงและแต่งกลอนลำเข้าไปอีกแต่ในสมัยนี้หมอลำพื้นเริ่มมีการพัฒนามาบ้างแล้วคือ เริ่มแสดงเป็น 2-3 คนคล้ายหมอลำกลอน เพราะในการลำแบบเดิมนั้น มันยากเนื่องจากต้องใช้ทักษะเยอะและเกิดการสับสนในตัวละครที่แสดงเพียงคนเดียว จึงเพิ่มตัวแสดงขึ้นมาอีกเพื่อง่ายต่อการแสดง จึงเกิด “หมอลำฮ้าน” ขึ้น เพราะการแสดงจะแสดงบนเตียงไม้ที่ทำเป็นเวที คำว่า “ฮ้าน” ภาษาไทยอีสานแปลว่า “เวที” ในช่วงแรกไม่มีผ้าฉากหลัง ๆมาไม่นานจึงค่อย ๆ มีผ้าฉากกั้นแต่ไม่มีลวดลาย มีหมอลำแคน 1 คน กลองสองหน้า1 ใบ จึงทำให้ผู้คนรู้จักมากและก็มีลูกศิษย์มาเรียนมากมายราว 400 กว่าคนในสมัยนั้นถือได้ว่าเป็นหมอลำที่ได้รับการตอบรับจากสังคมอีสานมาก (หิรัญ จักรเสน, 2561)หิรัญ จักรเสน. (2561). หมอลำพื้น. วารสารศิลปกรรมศาสตร์ ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 (2018): มกราคม-มิถุนายน 2561ลูกศิษย์ของแม่เสงแซ่งในปัจจุบัน 2561

พ่อบุญมาก แสงศรีเรือง

แม่สงวน แสงศรีเรือง


คุณพ่อบุญมาก แสงศรีเรือง ได้เล่าเรื่องหมอลำพื้นในอดีตให้ฟังว่า

“…หมอลำพื้นเริ่มจาก แม่ใหญ่แช่ง แม่ใหญ่สง และแม่ใหญ่ปั่น ผู้เขียนสัญนิฐานว่า หมอลำทั้งสามท่านนี้อาจได้รับการถ่ายทอดหมอลำโสภา พลตรี ก็เป็นได้ หมอลำทำทั้งสามท่านนี้จำแสดงลำเพียงคนเดียว ด้วยการด้นกลอนสด กลอนลำที่ใช้มีเนื้อหามาจากวรรณกรรมพื้นบ้าน จำปาสี่ต้น เป็นต้น ในขณะที่ลำจะปูเสื่อบนพื้นทราย แล้วยืนลำโดยไม่ได้สวมรองเท้าเพราะไม่มี หากร้อนเท้ามากก็จะทำการตัดต้นงิ้วมาทำเป็นรองเท้าอยู่ได้ 2-3 วันก็พัง หมอลำทั้งสามท่านนี้มีลูกศิษย์ที่มาขอเรียนหมอลำด้วยเป็นจำนวนมาก อยู่มาวันหนึ่ง หมอลำอินตา ซึ่งเป็นครูหมอลำที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่ง ได้นำคณะหมอลำมาแสดงที่บ้านสาวะถี โดยมีฉากหลังเวที และมีผู้แสดงเล่นเป็นบทสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ หมอลำบ้านสาวะถีทั้งสามท่านเป็นอย่างมาก ทั้งสามท่านจึงได้นำแนวคิดการแสดงหมอลำของหมอลำอินตรามาปรับใช้ในการแสดงของตน กลายมาเป็น หมอลำเรื่องต่อกลอนในปัจจุบัน…

ลูกศิษย์ที่รับการถ่ายทอดจากแม่ใหญ่แช่ง คือ ภักดี พลล้ำ เป็นลูกชายของ คุณพ่อระเบียบ พลล้ำ เกิดเมื่อวัน อาทิตย์ ที่ 25 มีนาคม พุทธศักราช 2483 ณ บ้านสาวะถี ตำบลสาวะถี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาวะถีราษฎรรังสฤษดิ์ด้วยฐานะครอบครัวยากจน ผู้เป็นมารดาจึงให้ไปเรียนลำพื้น กับครูแซ่ง นามคันที ครูหมอลำพื้นในหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านสาวะถีถือว่าเป็นพื้นที่ที่ปรากฏหมอลำพื้นมากที่สุดอันเป็นต้นกำหนดของหมอลำทำนองขอนแก่นในเวลาต่อมา

หมอลำพื้นสู่หมอลำลำโจทย์-แก้

เมื่ออ่านหนังสือได้พัฒนามาเป็น “หมอลํา” คือ “หมอลําพื้น” แล้ว ระยะแรกยังคง จํากัดเฉพาะผู้ชาย ต่อมาพระอาจารย์ในวัดจึงได้คิดริเริ่มแต่งกลอนสอนหมอลําให้มีการถามและ แก้แบบโต้วาที หรือที่เรียกว่า “ลำโจทก์แก้” ถ้าฝ่ายไหนติดหรือตอบคําถามไม่ได้ ถือว่าฝ่ายนั้น เสียเปรียบ ผู้ฟังก็สนับสนุนฝ่ายที่มีความรู้มากเรียกว่าเป็นผู้ชนะ งานต่อไปเจ้าภาพก็จะหาคน ใหม่มาเทียบเพื่อต่อสู้ แต่ผู้ที่สู้ไม่ได้ก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ต้องเตรียมแก้ตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเข้า เรียนต่อกับครูบาอาจารย์ดี ๆ ต่อไป

หลักสูตรการเรียนเป็นหมอลําในระยะแรกกว้างมาก คือมักเรียนความรู้ประเภท นิทานชาดกมาต่อสู้กัน เช่น นิทานเรื่องกาละเกด โดยแต่ละฝ่ายต้องถามความเป็นไปตลอด ทั้งเรื่อง หากฝ่ายไหนความรู้ไม่ทันก็เสียเปรียบ บางทีฝ่ายเสียเปรียบยอมแพ้ ฝ่ายชนะก็มีการสาด ท้าด่าว่าอย่างเสียหาย ฝ่ายคนฟังก็สนับสนุนผู้ชนะ จนผู้แพ้หนีออกจากวงไปไม่รับค่าจ้างก็มี ลักษณะการลําเช่นนี้ พบใน นิทานเรื่องผาแดงนาง ไอ่ ดังโคลงว่า

หมอลําพร้อม พากันแอะแอนฟ้อน

หมอแตนฟ้อนแข็น ลําย้อนโจทก์กัน


เจริญชัย ชนไพโรจน์ กล่าวว่า หมอลําประเภทนี้ มีต้นกําเนิดจาก จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง เช่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม เป็นต้น

รายนามผู้ให้สัมภาษณ์
  • นางสงวน แสงศรีเรือง. (23 กุมภาพันธ์ 2562 ). สัมภาษณ์. เชี่ยวชาญหมอลำ. บ้านสาวะถี จังหวัดขอนแก่น.

  • นายบุญมาก แสงศรีเรือง. (23 กุมภาพันธ์ 2562 ). สัมภาษณ์. เชี่ยวชาญแคน. บ้านสาวะถี จังหวัดขอนแก่น.

  • นางจันทร์เพ็ญ ศิริเทพ. (23 กุมภาพันธ์ 2562 ). สัมภาษณ์. เชี่ยวหมอลำ. บ้านสาวะถี จังหวัดขอนแก่น.


Comments


bottom of page